เรื่องเก่าเล่าอดีต ๘ เม.ย.๕๖
คนรักรถ
"เพทาย"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถ้าขึ้นต้นอีแบบนี้ก็คงไม่แคล้ว นิทานปรำปรา
ที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลง แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่นานนักหนา
เพียงแค่ประมาณสามสิบกว่าปีเท่านั้น สมัยที่ในกรุงเทพมหารนคร ยังมีรถเก๋งที่มีชื่อทาง
การค้าเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด คือไทรอัมพ์ ซึ่งคงจะอ่านว่าไทรอั้ม หรือไทรอ้ำ ไม่ใช่
อ่านว่าไซอ้ำ รุ่นที่เรียกกันว่าเมย์ฟลาวเออร์ มีสัญลักษณ์เป็นรูปเรือใบอยู่บนบนกระโปรง
หน้าหม้อของรถ รถชนิดนี้แปลกอยู่ตรงที่รูปร่าง ซึ่งไม่มีความโค้งมนให้ลู่ลมเหมือนอย่าง
รถสมัยนี้เอาเสียเลย เป็นเหลี่ยมหักมุมไปหมดทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย
เพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นครูโรงเรียนราษฎร์แถวเทเวศร์ ซึ่งในปัจจุบัน
ได้เลิกกิจการไปแล้ว เขาได้เป็นเจ้าของอยู่หนึ่งคัน ไม่ทราบว่าไปเลหลังต่อมาจากใคร
เขาชอบพาเพื่อน ๆ นั่งรถของเขาไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็ที่กินเหล้านั่นแหละครับ เรา
เรียกอาการอย่างนี้ว่าการย้ายที่กินเหล้า ไม่ได้ปักหลักกินอยู่ใต้ต้นสาเกที่เดียว เหมือน
บางกลุ่ม พวกเราขนานนามเจ้ารถคู่ยากของเพื่อนนี้ว่า รถประป๋อง
เจ้ารถกระป๋องคันนี้เป็นเหมือนเท้าของเพื่อนผมซึ่งลืมบอกว่าชื่อนายผึ่ง
เป็นเพื่อนที่นายจอด พามาแนะนำให้พวกเรา ซึ่งประกอบไปด้วยนายแมว นายชั้น นาย
ผี นายหงอก และผม ได้รู้จัก เมื่อนายจอดได้อำลาจากเพื่อนและจากโลกไป ด้วยความ
ช่วยเหลือของรถสองแถว ที่เอากระเป๋ามาเป็นคนขับแล้ว ผมกับเพื่อนก็คบกับนายผึ่งสนิท
สนมยิ่งขึ้น เพราะเราต่างก็รักนายจอดเท่า ๆ กัน แต่นายผึ่งอาจจะรักรถคันนี้มากกว่า
พวกเราสักนิดหน่อย เพราะเขาได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า
บางครั้งเขาไปส่งพวกเรา หลังจากที่กินกันสามสี่แห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกัน
ในสมัยนั้นก็คือ เริ่มด้วยร้านอาหารธรรมดา แล้วก็ต่อด้วยร้านที่มีไฟฟ้าสลัว ๆ มีดนตรี
และสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ แล้วสวมรองเท้าหนังสูงเลยหัวเข่า เป็น
นักร้อง จากนั้นก็แถไปตามร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่ง โดยไม่ได้กินข้าวกันเลยสักคนเดียว
เมื่อเขาขับรถไปส่งเพื่อนจนถึงบ้านครบทุกคนแล้ว เขาจึงจะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่แถวบาง
พลัด พอถึงหน้าบ้านที่แน่ใจว่าเป็นบ้านของเขาแล้ว เขาก็จะดับเครื่อง นอนฟุบหลับอยู่
กับพวงลัยรถจนสว่าง ภรรยาต้องมาปลุกให้ อาบน้ำอาบท่าไปทำงานเสียที
กาลครั้งหนึ่ง(อีกแล้ว) เราไปในงานแต่งงานแถว ๆ ถนนตก ขากลับ
ก็นั่งกลับมาด้วยกันทั้งหกคน เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว
สมัยนั้นยังไม่มีรถเต็มถนนทุกเวลาอย่างเดี๋ยวนี้ เขาจึงค่อย ๆ ประคองรถแล่นมาจนถึง
สามแยกโรงภาพยนต์โอเดี้ยน จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ทางตรงนั้นห้ามเข้า ต้องแยก
ซ้ายอ้อมมาทางซอยหน้าโรงภาพยนต์ เราที่เป็นผู้โดยสารต่างก็คุยกันเสียงลั่นรถ เลยไม่
มีคนเตือนนายผึ่งให้เลี้ยว ดันผ่าไปในทางที่เขาไม่ให้เข้า พอได้ยินเสียงนกหวีดดังอยู่
ข้างหลังนายผึ่งก็ถามว่าเขาเป่านกหวีดทำไม พรรคพวกต่างก็บอกว่า ตำรวจจราจรเขา
คงเรียกรถคันอื่นกระมัง ไม่เกี่ยวกับเราหรอก อย่าไปสนใจเลย
พอถึงแยกที่จะเข้าถนนเยาวราชและถนนเจริญกรุง ก็มีจราจรออกมา
โบกมือให้รถหยุด นายผึ่งก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ขอใบขับขี่ พวกเราต่างก็ชี้แจงประ
สานเสียงกันเอะอะ จนจราจรผู้นั้นต้องชะโงกเข้ามาชิดหน้าต่างรถ แล้วถามด้วยเสียง
ที่ไม่อ่อนหวานว่า เมาทั้งหมดใช่ไหม จะได้เอาไปโรงพัก นั่นแหละพวกเราจึงได้เงียบ
เสียงลง รวมทั้งนายผึ่งด้วย และยอมให้ใบขับขี่ไปแต่โดยดี
วันรุ่งขึ้น นายผึ่งจึงได้ขอร้องให้เพื่อนที่เป็นนายทหาร ช่วยไปเอาใบ
ขับขี่คืน โดยมีการว่ากล่าวตักเตือนตามธรรมเนียม
เย็นวันหนึ่งผมเดินผ่านโรงพักสามเสน ก็เห็นรถเมย์ฟลาวเออร์จอดอยู่
ริมถนนข้างหน้า โดยมีสภาพที่ดูยับเยินเต็มที เพราะแม้ทั้งหัวและท้ายจะเรียบร้อยดี แต่
หลังคาด้านขวาตั้งแต่กระจกหน้า ย่นยู่เข้าไปจนเกือบถึงกระจกหลัง แล้วคนขับจะรอดไป
ได้อย่างไร ผมรีบเข้าไปถามสิบเวรด้วยความตื่นเต้นว่าคนขับเป็นยังไงบ้าง ก็ได้รับคำ
ตอบว่าบาดเจ็บเล็กน้อย ทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วก็คงกลับบ้านไปได้ เพราะเรื่องเกิด
ขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน
ผมก็ค่อยเบาใจ แต่ก็รีบโหนรถเมล์ข้ามสะพานกรุงธน ไปบางพลัดทันที
เมื่อถึงบ้านนายผึ่งก็พบว่า เจ้าของบ้านคือเพื่อนผมกำลังเปิดจุกขวดโซดาอยู่พอดี
"ไงห่อ" เขารีบทักผม "ไปไงมาไงถึงมาถึงนี่ได้"
"ก็มาเยี่ยมแกน่ะซี เป็นไงบ้างล่ะ"
"ไม่เห็นเป็นไร ก็สบายดีอย่างเคยแหละ มาพอดีทีเดียว"
"อ้าว..." ผมอ้าปากไม่ออกด้วยความงุนงง เขารีบส่งแก้วที่มีน้ำสี
อำพันเป็นฟองเดือดปุด ๆ ให้อย่างรู้ใจ
"เอ้า...ล่อซะคนละกรุบ จะได้หายเหนื่อย ดูหน้าแกซิยังกะเห็นผี"
"แกไม่เป็นอะไรหรอกรึ"
"ก็เป็นครูไงล่ะ"
"ไอ้เวร..." ผมว่าจะนึกในใจแต่ดันโพล่งออกไปแล้ว
"ฉันนึกว่าแกเป็นผีไปแล้ว ถึงได้มาถามข่าว เห็นรถไปจอดแหงแก๋อยู่ที่
หน้าโรงพักสามเสน...."
"เฮ้ย...รถฉันเข้าอู่ ซ่อมแล้วมันกระดำกระด่าง ก็เลยว่าจะเปลี่ยนสี
ใหม่ อีกสองสามวันก็ได้นั่ง"
"งั้นที่โรงพักมันของใคร รถกระป๋องเหมือนกันเดี๊ยะเลย"
"อ๋อ...ฉันรู้แล้ว" เขาว่าพลางหัวร่อกั้ก ๆ
"รถคันนั้นมันของเพื่อนครู โรงเรียนเดียวกับฉันเอง ชื่อครูสำรวม"
นายผึ่งค่อย ๆ บรรจงรินเหล้าไทยเติมแก้วทั้งสอง ผมรีบใส่น้ำก้อน
รินโซดาตาม แล้วซดกันคนละฮวบ สมัยนั้น (อีกที) โซดายังเป็นฟอง กระเด็นขึ้นถึงจมูก
ดื่มชื่นใจดีจริง ๆ แล้วจึงถามเขาว่า
"เรื่องเป็นยังไง เขาถึงไม่เป็นอะไรมาก"
"มันเล่าให้ฟังว่า....." เขาหมายถึงครูสำรวม
"มันขับรถข้ามสะพานกรุงธนจะไปโรงเรียน ตอนขาลงฝั่งโน้น ใกล้
จะถึงวัดส้มเกลี้ยง สวนกับสิบล้อที่แซงล้ำเข้ามาทางขวา มันหลบไม่ได้เพราะรถเรียง
สองตามกันมาเป็นพืด เลยเหยียบเบรค แล้วล้มตัวลงฟุบบนเบาะ มุมรถสิบล้อข้างตัวคน
ขับก็ปาดเอาหลังคาเปิงไป แต่ตัวเองไม่ไเป็นไรเลย"
ผมก็เลยดื่มคล่องคอขึ้นมาหน่อย
อยู่ต่อมาอีกนานรถกระป๋องคันนี้ก็ทำเหตุขึ้นอีก แต่คราวนี้เขาไปสองคน
กับนายชั้น ขากลับจากเลิกงานแล้ว ก็ไถลไปตามเคยจนดึกพอสมควร จึงกลับมาทางถนน
จรัญสนิทวงศ์ เพราะนายผึ่งนั้นมีนิวาสถานอยู่แถวบางพลัด สมัยนั้นถนนยังไม่ได้เป็นทางคู่
อย่างเดี๋ยวนี้ และทางเท้าก็ยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อยตลอดสาย
นายชั้นเล่าว่านายผึ่งขับรถกินขวา เกินครึ่งถนนมาตลอด นาน ๆ จึง
จะแถกลับมาอยู่ในทางซ้ายของตน พอดีมีรถบรรทุกขนาดใหญ่เปิดไฟจ้าสวนมา นายผึ่งตก
ใจได้สติ รีบหักพวงมาลัยรถหลบเข้าทางซ้ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นทางข้างหน้า รถ
จึงเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แล้วชนเข้ากับมุมตึกแถว เสียงดังกึงแล้วรถก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ตัว
นายผึ่งนั้นฟุบเงียบอยู่กับพวงมาลัย แต่นายชั้นไม่บาดเจ็บที่ไหนเลย เพราะรถแล่นช้ามาก
เมื่อตรวจดูว่าเพื่อนก็ไม่มีบาดแผล แต่เขย่าเท่าไรก็ไม่หือไม่อือ คิดว่าคงจะสลบไป นาย
ชั้นจึงเดินไปหาตู้โทรศัพท์ เพื่อจะแจ้งตำรวจท้องที่ให้ช่วยมาดูแลหน่อย และในสมัยนั้นตู้
โทรศัพท์ก็ไม่เกลื่อนเมืองเหมือนเดี๋ยวนี้ จึงเดินออกไปไกลกว่าที่เกิดเหตุมาก กว่าจะได้
กลับมา ก็มีคนมุงเต็มไปหมด
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์กันจ้อกแจ้กจอแจ ว่าคนขับคงจะแย่แน่ นายผึ่ง
ก็ผงกหัวขึ้นมาร้องถามว่า
"เฮ้ย....เกิดอะไรขึ้น คนง่วงจะตายขอนอนสักงีบก็ไม่ได้รึไง"
นายชั้นรีบเข้าไปเปิดประตูด้านคนขับ ถามว่า
"เป็นไงบ้างพี่ผึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า..ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอนหลับอยู่ดี ๆ ดันมีคนมาถอดนาฬิกา
ข้อมือซะนี่ ถ้าไม่ตื่นก็คงสูญไปแล้ว"
พลันก็มีเสียงฮาขึ้นพร้อมกัน แล้วกลุ่มชนเหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายสลาย
ตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันนายผึ่งยังคบหาสมาคมกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่
เขาเลิกขับรถอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะต้องใช้ไม้เท้าเป็นขาที่สาม ตั้งแต่เกษียณอายุ
ราชการมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง.
###########
วางเมื่อ เวลา ๐๕.๕๓
เรื่องเก่าเล่าอดีต ๘ เม.ย.๕๖
คนรักรถ
"เพทาย"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ถ้าขึ้นต้นอีแบบนี้ก็คงไม่แคล้ว นิทานปรำปรา
ที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลง แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่นานนักหนา
เพียงแค่ประมาณสามสิบกว่าปีเท่านั้น สมัยที่ในกรุงเทพมหารนคร ยังมีรถเก๋งที่มีชื่อทาง
การค้าเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด คือไทรอัมพ์ ซึ่งคงจะอ่านว่าไทรอั้ม หรือไทรอ้ำ ไม่ใช่
อ่านว่าไซอ้ำ รุ่นที่เรียกกันว่าเมย์ฟลาวเออร์ มีสัญลักษณ์เป็นรูปเรือใบอยู่บนบนกระโปรง
หน้าหม้อของรถ รถชนิดนี้แปลกอยู่ตรงที่รูปร่าง ซึ่งไม่มีความโค้งมนให้ลู่ลมเหมือนอย่าง
รถสมัยนี้เอาเสียเลย เป็นเหลี่ยมหักมุมไปหมดทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย
เพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นครูโรงเรียนราษฎร์แถวเทเวศร์ ซึ่งในปัจจุบัน
ได้เลิกกิจการไปแล้ว เขาได้เป็นเจ้าของอยู่หนึ่งคัน ไม่ทราบว่าไปเลหลังต่อมาจากใคร
เขาชอบพาเพื่อน ๆ นั่งรถของเขาไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ ก็ที่กินเหล้านั่นแหละครับ เรา
เรียกอาการอย่างนี้ว่าการย้ายที่กินเหล้า ไม่ได้ปักหลักกินอยู่ใต้ต้นสาเกที่เดียว เหมือน
บางกลุ่ม พวกเราขนานนามเจ้ารถคู่ยากของเพื่อนนี้ว่า รถประป๋อง
เจ้ารถกระป๋องคันนี้เป็นเหมือนเท้าของเพื่อนผมซึ่งลืมบอกว่าชื่อนายผึ่ง
เป็นเพื่อนที่นายจอด พามาแนะนำให้พวกเรา ซึ่งประกอบไปด้วยนายแมว นายชั้น นาย
ผี นายหงอก และผม ได้รู้จัก เมื่อนายจอดได้อำลาจากเพื่อนและจากโลกไป ด้วยความ
ช่วยเหลือของรถสองแถว ที่เอากระเป๋ามาเป็นคนขับแล้ว ผมกับเพื่อนก็คบกับนายผึ่งสนิท
สนมยิ่งขึ้น เพราะเราต่างก็รักนายจอดเท่า ๆ กัน แต่นายผึ่งอาจจะรักรถคันนี้มากกว่า
พวกเราสักนิดหน่อย เพราะเขาได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า
บางครั้งเขาไปส่งพวกเรา หลังจากที่กินกันสามสี่แห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกัน
ในสมัยนั้นก็คือ เริ่มด้วยร้านอาหารธรรมดา แล้วก็ต่อด้วยร้านที่มีไฟฟ้าสลัว ๆ มีดนตรี
และสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ แล้วสวมรองเท้าหนังสูงเลยหัวเข่า เป็น
นักร้อง จากนั้นก็แถไปตามร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่ง โดยไม่ได้กินข้าวกันเลยสักคนเดียว
เมื่อเขาขับรถไปส่งเพื่อนจนถึงบ้านครบทุกคนแล้ว เขาจึงจะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่แถวบาง
พลัด พอถึงหน้าบ้านที่แน่ใจว่าเป็นบ้านของเขาแล้ว เขาก็จะดับเครื่อง นอนฟุบหลับอยู่
กับพวงลัยรถจนสว่าง ภรรยาต้องมาปลุกให้ อาบน้ำอาบท่าไปทำงานเสียที
กาลครั้งหนึ่ง(อีกแล้ว) เราไปในงานแต่งงานแถว ๆ ถนนตก ขากลับ
ก็นั่งกลับมาด้วยกันทั้งหกคน เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว
สมัยนั้นยังไม่มีรถเต็มถนนทุกเวลาอย่างเดี๋ยวนี้ เขาจึงค่อย ๆ ประคองรถแล่นมาจนถึง
สามแยกโรงภาพยนต์โอเดี้ยน จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ทางตรงนั้นห้ามเข้า ต้องแยก
ซ้ายอ้อมมาทางซอยหน้าโรงภาพยนต์ เราที่เป็นผู้โดยสารต่างก็คุยกันเสียงลั่นรถ เลยไม่
มีคนเตือนนายผึ่งให้เลี้ยว ดันผ่าไปในทางที่เขาไม่ให้เข้า พอได้ยินเสียงนกหวีดดังอยู่
ข้างหลังนายผึ่งก็ถามว่าเขาเป่านกหวีดทำไม พรรคพวกต่างก็บอกว่า ตำรวจจราจรเขา
คงเรียกรถคันอื่นกระมัง ไม่เกี่ยวกับเราหรอก อย่าไปสนใจเลย
พอถึงแยกที่จะเข้าถนนเยาวราชและถนนเจริญกรุง ก็มีจราจรออกมา
โบกมือให้รถหยุด นายผึ่งก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ขอใบขับขี่ พวกเราต่างก็ชี้แจงประ
สานเสียงกันเอะอะ จนจราจรผู้นั้นต้องชะโงกเข้ามาชิดหน้าต่างรถ แล้วถามด้วยเสียง
ที่ไม่อ่อนหวานว่า เมาทั้งหมดใช่ไหม จะได้เอาไปโรงพัก นั่นแหละพวกเราจึงได้เงียบ
เสียงลง รวมทั้งนายผึ่งด้วย และยอมให้ใบขับขี่ไปแต่โดยดี
วันรุ่งขึ้น นายผึ่งจึงได้ขอร้องให้เพื่อนที่เป็นนายทหาร ช่วยไปเอาใบ
ขับขี่คืน โดยมีการว่ากล่าวตักเตือนตามธรรมเนียม
เย็นวันหนึ่งผมเดินผ่านโรงพักสามเสน ก็เห็นรถเมย์ฟลาวเออร์จอดอยู่
ริมถนนข้างหน้า โดยมีสภาพที่ดูยับเยินเต็มที เพราะแม้ทั้งหัวและท้ายจะเรียบร้อยดี แต่
หลังคาด้านขวาตั้งแต่กระจกหน้า ย่นยู่เข้าไปจนเกือบถึงกระจกหลัง แล้วคนขับจะรอดไป
ได้อย่างไร ผมรีบเข้าไปถามสิบเวรด้วยความตื่นเต้นว่าคนขับเป็นยังไงบ้าง ก็ได้รับคำ
ตอบว่าบาดเจ็บเล็กน้อย ทำแผลที่โรงพยาบาลแล้วก็คงกลับบ้านไปได้ เพราะเรื่องเกิด
ขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน
ผมก็ค่อยเบาใจ แต่ก็รีบโหนรถเมล์ข้ามสะพานกรุงธน ไปบางพลัดทันที
เมื่อถึงบ้านนายผึ่งก็พบว่า เจ้าของบ้านคือเพื่อนผมกำลังเปิดจุกขวดโซดาอยู่พอดี
"ไงห่อ" เขารีบทักผม "ไปไงมาไงถึงมาถึงนี่ได้"
"ก็มาเยี่ยมแกน่ะซี เป็นไงบ้างล่ะ"
"ไม่เห็นเป็นไร ก็สบายดีอย่างเคยแหละ มาพอดีทีเดียว"
"อ้าว..." ผมอ้าปากไม่ออกด้วยความงุนงง เขารีบส่งแก้วที่มีน้ำสี
อำพันเป็นฟองเดือดปุด ๆ ให้อย่างรู้ใจ
"เอ้า...ล่อซะคนละกรุบ จะได้หายเหนื่อย ดูหน้าแกซิยังกะเห็นผี"
"แกไม่เป็นอะไรหรอกรึ"
"ก็เป็นครูไงล่ะ"
"ไอ้เวร..." ผมว่าจะนึกในใจแต่ดันโพล่งออกไปแล้ว
"ฉันนึกว่าแกเป็นผีไปแล้ว ถึงได้มาถามข่าว เห็นรถไปจอดแหงแก๋อยู่ที่
หน้าโรงพักสามเสน...."
"เฮ้ย...รถฉันเข้าอู่ ซ่อมแล้วมันกระดำกระด่าง ก็เลยว่าจะเปลี่ยนสี
ใหม่ อีกสองสามวันก็ได้นั่ง"
"งั้นที่โรงพักมันของใคร รถกระป๋องเหมือนกันเดี๊ยะเลย"
"อ๋อ...ฉันรู้แล้ว" เขาว่าพลางหัวร่อกั้ก ๆ
"รถคันนั้นมันของเพื่อนครู โรงเรียนเดียวกับฉันเอง ชื่อครูสำรวม"
นายผึ่งค่อย ๆ บรรจงรินเหล้าไทยเติมแก้วทั้งสอง ผมรีบใส่น้ำก้อน
รินโซดาตาม แล้วซดกันคนละฮวบ สมัยนั้น (อีกที) โซดายังเป็นฟอง กระเด็นขึ้นถึงจมูก
ดื่มชื่นใจดีจริง ๆ แล้วจึงถามเขาว่า
"เรื่องเป็นยังไง เขาถึงไม่เป็นอะไรมาก"
"มันเล่าให้ฟังว่า....." เขาหมายถึงครูสำรวม
"มันขับรถข้ามสะพานกรุงธนจะไปโรงเรียน ตอนขาลงฝั่งโน้น ใกล้
จะถึงวัดส้มเกลี้ยง สวนกับสิบล้อที่แซงล้ำเข้ามาทางขวา มันหลบไม่ได้เพราะรถเรียง
สองตามกันมาเป็นพืด เลยเหยียบเบรค แล้วล้มตัวลงฟุบบนเบาะ มุมรถสิบล้อข้างตัวคน
ขับก็ปาดเอาหลังคาเปิงไป แต่ตัวเองไม่ไเป็นไรเลย"
ผมก็เลยดื่มคล่องคอขึ้นมาหน่อย
อยู่ต่อมาอีกนานรถกระป๋องคันนี้ก็ทำเหตุขึ้นอีก แต่คราวนี้เขาไปสองคน
กับนายชั้น ขากลับจากเลิกงานแล้ว ก็ไถลไปตามเคยจนดึกพอสมควร จึงกลับมาทางถนน
จรัญสนิทวงศ์ เพราะนายผึ่งนั้นมีนิวาสถานอยู่แถวบางพลัด สมัยนั้นถนนยังไม่ได้เป็นทางคู่
อย่างเดี๋ยวนี้ และทางเท้าก็ยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อยตลอดสาย
นายชั้นเล่าว่านายผึ่งขับรถกินขวา เกินครึ่งถนนมาตลอด นาน ๆ จึง
จะแถกลับมาอยู่ในทางซ้ายของตน พอดีมีรถบรรทุกขนาดใหญ่เปิดไฟจ้าสวนมา นายผึ่งตก
ใจได้สติ รีบหักพวงมาลัยรถหลบเข้าทางซ้ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นทางข้างหน้า รถ
จึงเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แล้วชนเข้ากับมุมตึกแถว เสียงดังกึงแล้วรถก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ตัว
นายผึ่งนั้นฟุบเงียบอยู่กับพวงมาลัย แต่นายชั้นไม่บาดเจ็บที่ไหนเลย เพราะรถแล่นช้ามาก
เมื่อตรวจดูว่าเพื่อนก็ไม่มีบาดแผล แต่เขย่าเท่าไรก็ไม่หือไม่อือ คิดว่าคงจะสลบไป นาย
ชั้นจึงเดินไปหาตู้โทรศัพท์ เพื่อจะแจ้งตำรวจท้องที่ให้ช่วยมาดูแลหน่อย และในสมัยนั้นตู้
โทรศัพท์ก็ไม่เกลื่อนเมืองเหมือนเดี๋ยวนี้ จึงเดินออกไปไกลกว่าที่เกิดเหตุมาก กว่าจะได้
กลับมา ก็มีคนมุงเต็มไปหมด
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์กันจ้อกแจ้กจอแจ ว่าคนขับคงจะแย่แน่ นายผึ่ง
ก็ผงกหัวขึ้นมาร้องถามว่า
"เฮ้ย....เกิดอะไรขึ้น คนง่วงจะตายขอนอนสักงีบก็ไม่ได้รึไง"
นายชั้นรีบเข้าไปเปิดประตูด้านคนขับ ถามว่า
"เป็นไงบ้างพี่ผึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่า"
"เปล่า..ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอนหลับอยู่ดี ๆ ดันมีคนมาถอดนาฬิกา
ข้อมือซะนี่ ถ้าไม่ตื่นก็คงสูญไปแล้ว"
พลันก็มีเสียงฮาขึ้นพร้อมกัน แล้วกลุ่มชนเหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายสลาย
ตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันนายผึ่งยังคบหาสมาคมกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่
เขาเลิกขับรถอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะต้องใช้ไม้เท้าเป็นขาที่สาม ตั้งแต่เกษียณอายุ
ราชการมาเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง.
###########
วางเมื่อ เวลา ๐๕.๕๓