-"การจัดการควบคุมน้องสาวทั้งสองในฐานะตัวแทนทางการเมืองเป็นเหมือนเชือกที่ถูกดึง เพื่อทิ่มแทงประเทศไทย ที่มีการบริหารแปลกประหลาดและน่าละอายอย่างที่สุดที่ได้อนุญาตให้ความเป็นผู้นำของประเทศถูกไฮแจ็กไป โดยคนไม่ปกติ ร่ำรวย และทะเยอทยาน ผู้เนรเทศตัวเองอยู่ในดูไบ"
บทวิเคราะห์ของ ฟิลิป เจ. คันนิงแฮม นักวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนและนักเขียนอิสระ ในหัวข้อ "ทักษิณพูดมากก็จริง แต่มีใครฟังบ้างหรือเปล่า ? " ซึ่งตีพิมพ์ใน เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หนังสือพิมพ์ของฮ่องกง โดยนสพ.ไทยโพสต์ นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา
บทวิเคราะห์ดังกล่าวมีเนื้อหาเสียดแทงใจดำ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พอสมควร โดยเฉพาะการระบุว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังมีปัญหาในกรณีรายงานทรัพย์สินที่บกพร่อง ซึ่งทำให้ตำแหน่งนายกฯ ของเธออยู่ในอันตราย แต่นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวของเธอก็ได้รับการวางตัวไว้ทดแทนแล้ว”
"แม้ว่าไหวพริบทางด้านการทำธุรกิจทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐี แต่ทักษิณ ยังมีประวัติหมกมุ่นกับตัวเองอย่างเซ่อซ่า และนิยมใช้ความแตกแยกของประชาชนเพื่ออำนวยให้กับเป้าหมายของตัวเอง"
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังระบุอีกว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับความนิยมมากกว่าทักษิณเสียอีก ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสคริปต์ เมื่อตอนที่ทักษิณตั้งเธอขึ้นสู่อำนาจ และสิ่งที่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ เมื่อทักษิณพูด ไม่มีใครฟังอีกแล้ว การโฆษณาชวนเชื่อโดยการสไกป์แผนนิรโทษกรรมได้หายไปกับสายลม และได้รับความสนใจเพียงเล็กน้อยจากสังคม โดยผลโพลระบุว่ามีคนเห็นด้วยเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
ทำให้ทักษิณโกรธตัวสั่น จนต้องโพสต์รูปตัวเองในหน้าเฟซบุ๊ก
ที่สำคัญบทวิเคราะห์ยังได้อธิบายถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อตัวเอง
แต่ความไม่แนนอนทางการเมือง โดยความพยายามผลักดันให้ส.ส.ในสังกัด สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย ทำให้ต้องมีแผนนำร่องในการยืดอำนาจรัฐบาล
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จึงกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หมายเลข 2 แทนที่ ส.ส.ในสังกัดที่ลาออกไปตามคำสั่ง
โดยไม่แคร์ว่า จะต้องใช้เงินอีก 10 ล้านบาท จัดการเลือกตั้ง
เหตุผลสำคัญก็คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยเงินกู้ 30 ล้านบาทให้บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ที่มีนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีถือหุ้นอยู่
หากไม่มีการยืมเงินจริง นั่นหมายถึงการส่งเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเป้าของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
แผนรวบอำนาจสะดุด !!
บทวิเคราะห์ของ ฟิลิป เจ. คันนิงแฮม นักวิจัยทางด้านสื่อสารมวลชนและนักเขียนอิสระ ในหัวข้อ "ทักษิณพูดมากก็จริง แต่มีใครฟังบ้างหรือเปล่า ? " ซึ่งตีพิมพ์ใน เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ หนังสือพิมพ์ของฮ่องกง โดยนสพ.ไทยโพสต์ นำมาเผยแพร่เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา
บทวิเคราะห์ดังกล่าวมีเนื้อหาเสียดแทงใจดำ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พอสมควร โดยเฉพาะการระบุว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังมีปัญหาในกรณีรายงานทรัพย์สินที่บกพร่อง ซึ่งทำให้ตำแหน่งนายกฯ ของเธออยู่ในอันตราย แต่นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ พี่สาวของเธอก็ได้รับการวางตัวไว้ทดแทนแล้ว”
"แม้ว่าไหวพริบทางด้านการทำธุรกิจทำให้เขากลายเป็นมหาเศรษฐี แต่ทักษิณ ยังมีประวัติหมกมุ่นกับตัวเองอย่างเซ่อซ่า และนิยมใช้ความแตกแยกของประชาชนเพื่ออำนวยให้กับเป้าหมายของตัวเอง"
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ยังระบุอีกว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับความนิยมมากกว่าทักษิณเสียอีก ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสคริปต์ เมื่อตอนที่ทักษิณตั้งเธอขึ้นสู่อำนาจ และสิ่งที่เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ เมื่อทักษิณพูด ไม่มีใครฟังอีกแล้ว การโฆษณาชวนเชื่อโดยการสไกป์แผนนิรโทษกรรมได้หายไปกับสายลม และได้รับความสนใจเพียงเล็กน้อยจากสังคม โดยผลโพลระบุว่ามีคนเห็นด้วยเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”
ทำให้ทักษิณโกรธตัวสั่น จนต้องโพสต์รูปตัวเองในหน้าเฟซบุ๊ก
ที่สำคัญบทวิเคราะห์ยังได้อธิบายถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อตัวเอง
แต่ความไม่แนนอนทางการเมือง โดยความพยายามผลักดันให้ส.ส.ในสังกัด สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย ทำให้ต้องมีแผนนำร่องในการยืดอำนาจรัฐบาล
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จึงกลายเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย หมายเลข 2 แทนที่ ส.ส.ในสังกัดที่ลาออกไปตามคำสั่ง
โดยไม่แคร์ว่า จะต้องใช้เงินอีก 10 ล้านบาท จัดการเลือกตั้ง
เหตุผลสำคัญก็คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบกรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยเงินกู้ 30 ล้านบาทให้บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ จำกัด ที่มีนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามีถือหุ้นอยู่
หากไม่มีการยืมเงินจริง นั่นหมายถึงการส่งเรื่องให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเป้าของการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้