นิทานชาวสวน ๗ เม.ย.๕๖

กระทู้สนทนา
นิทานชาวสวน ๗ เม.ย.๕๖

สมเด็จโต (๔)

จากหนังสืออนุสรณ์ งานพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์ เทพ สาริกบุตร ท่าน มหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา (สอน โลหะนันท์)ได้เรียบเรียงถึงอภินิหารของสามเณรโตไว้ว่า

เมื่อสามเณรโตอายุได้ ๑๕ ปี บวชเป็นเณรได้ ๓ พรรษา ได้เล่าเรียนคัมภีร์มูละกัจจายนะปกรณ์จบแล้ว อยากจะเรียนคัมภีร์พระปริยัติเป็นกำลัง พระครูผู้เป็นอุปัชฌาย์ จึงแนะนำให้ไปเรียนกับท่านพระครูจังหวัด วัดเมือง ไชยนาทบุรี สามเณรโตก็มาบอกกับตาผลและยิ้มุด ให้พาไปหาพระครูที่เมืองไชยนาทบุรี

ครั้นได้เวลารุ่งเช้าสามเณรโตเข้าไปฉันที่บ้าน ครั้นฉันเช้าแล้วก็ออกเรือแจวออกไปทางแม่น้ำ ไชยนาทบุรี ครั้นคนแจวเรือ แจวเรือเป็ดมาสุดระยะทาง ๒ คืนก็ถึงท่าเรือวัด เมืองไชยนาทบุรี จึงได้จอดเรือเข้าที่ท่าในเวลากลางดึก คนแจวเรือเรียบร้อยแล้วจึงอาบน้ำดำเกล้าแล้วนอนพักในเรือทั้ง ๓ คน

ครั้นเวลารุ่งสว่างแล้ว จรเข้ใหญ่ในน่านน้ำหน้าท่านั้น ก็ยิ้มตัวมาตรงหัวเรือเป็ดของตาผลนั้น คนบนตลิ่ง ๓ คนแม่ลูก และผู้หญิงผู้ใหญ่ ลงอาบน้ำหน้าบันไดบ้านแต่เช้า ครั้นเห็นจรเข้ขึ้นจะคาบคนนอนหลับที่หัวเรือใหญ่ จึงพากันตกใจกลัวแล้วร้องบอกกล่าวกันโวยวายขึ้น คนแจวที่ ๒ นอนถัดเข้ามา ได้ยินเสียงคนบนบ้านเรือนนั้นร้องเอะอะโวยวาย จึงตกใจตื่นขึ้น เห็นจรเข้ขึ้นตรงหัวเรือ จึงลุกขึ้นยงโย่ จับบั้นเอวคนนอนหลับหัวเรือ เพื่อจะให้พ้นปากจรเข้ ส่วนคนแจวเรือคนที่ ๓ ก็ตื่นขึ้นนั่งไขว่ห้าง หัวเราะคนบนบ้านที่กำลังหนีจรเข้ ขึ้นบันไดผ้าผ่อนหลุดลุ่ยล่อนจ้อน ลูกเด็กหญิงเหนี่ยวขาแม่ นางแม่เหนี่ยวขายาย ยายผ้าลุ่ยหมดก้าวขาต่อไปก็ก้าวไม่ออก ตาผลอยู่ในเรือก็โผล่ออกมายืนดูอยู่หน้าอุดเรือเฉย จะว่าอย่างไรก็ไม่ว่า

ฝ่ายสามเณรโตก็ลุกขึ้นนั่งภาวนาอยู่ในประทุนเรือ จรเข้ขึ้นมาแล้วก็อ้าปากไม่ออก จมไม่ลง และไม่ว่ายมาฟาดหางทั้งนั้น ดูอาการอ่อนมาก คนบนบ้านก็งง คนในเรือก็งันอยู่ท่าเดียว

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ขึ้นครองราชย์ พระญาณโพธินำมหาโตเข้าเฝ้า ณ พระที่นั่งอัมรินทร์ ท่ามกลางขุนนาง ข้าราชการ จึงมีพระราชดำรัสว่า

เป็นสมัยของฉันปกครองแผ่นดิน ท่านต้องช่วยฉันพยุงพระบวรพุทธศาสนาด้วยกัน

แล้วมีพระบรมราชโองการให้กรมสังฆการี วางฎีกาตั้งพระราชาคณะตามธรรมเนียม พระมหาโตก็เข้าไปตามฎีกานิมนต์ จึงทรงถวายสัญญาบัตรตาลปัตรแฉกหักทองขวาง ด้ามงา เป็นพระราชาคณะที่ พระธรรมกิติ เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม

ท่านก็กลับมาวัดมหาธาตุ ลาพระสงฆ์ทั้งปวงลงเรือกราบสีที่ได้รับพระราชทานมาแต่พระพุทธเลิศหล้า ข้ามไปกับเด็กช้างผู้เป็นหลาน ท่านถือบาตรผ้าไตรและบริขาร ไปบอกพระวัดระฆังว่า

เจ้าชีวิตทรงตั้งฉันเป็นที่พระธรรมกิติ มาเฝ้าวัดระฆังวันนี้จ้ะ เปิดประตูโบสถ์รับฉันเถอะจ้ะ ฉันจะต้องเข้าจำวัดเฝ้าโบสถ์ จะเฝ้าวัดตามพระราชโองการรับสั่งจ้ะ

ท่านแบกตาลปัตรพัดแฉก สะพายถุงย่ามสัญญาบัตรไปเก้ ๆ กัง ๆ พะรุงพะรัง พวกพระนึกขบขันจะช่วยท่านถือ เจ้าคุณธรรมกิติก็ไม่ยอม พระเลยสนุกตามมุงดูกันแน่น แห่กันเป็นพรวนเข้าไปแน่นโบสถ์ บางองค์จัดโน่นทำนี่ ต้มน้ำบ้าง ตักน้ำถวายบ้าง ตะบันหมากบ้าง กิตติศัพท์เกรียวกราวตลอดกรุง คนนั้นก็มาเยี่ยม คนนั้นก็มาดู เลื่อมใสในจรรยาบ้าง เลื่อมใสในยศศักดิ์บ้าง ท่าทำขบขันมากดูสนุกเป็นมหรสพโรงใหญ่ทีเดียว บางคนชอบหวย ก็เอาไปแทงหวย ขลังเข้าทุก ๆ วันคนก็ยิ่งเอาไปแทงหวย ถูกกันมากรายยิ่งขึ้น เลยไม่ขาดคนไปมาหาสู่บางคนว่าท่านบ้า ท่านก็ว่า

เมื่อขรัวโตบ้าพากันนิยมชมว่าขรัวโตเป็นคนดี ยามนี้ขรัวโตเป็นคนดี พูดกันบ่นอู้อี้ว่าขรัวโตบ้า

บางวันเขานิมนต์ไปเทศน์ เมื่อจบท่านก็บอกว่า เอวัง พังกุ้ย บ้าง บางวันก็บอกว่า เอวังกังสือ บางวันก็บอก เอวัง บ้วนกิม บางวันก็บอกว่า เอวัง หังหุน เล่ากันต่อ ๆ มาว่าท่านเทศน์ไม่เว้นแต่ละวัน

ครั้งหนึ่งได้ถูกนิมนต์เทศน์หน้าที่นั่ง พอเข้าไปถึงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออก จึงปราศรัยสัพยอก

ว่าไงเจ้าคุณ เขาพากันชมว่าเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องลองดู

พระธรรมกิติ (โต) ถวายพระพรว่า

ผู้ที่ไม่มีความรู้เหตุผลในธรรม ครั้นเขาฟังรู้เขาก็ชมว่าดีถวายพระพร

พระองค์ทรงพระสรวล แล้วทรงถามว่า

ได้ยินข่าวเขาว่า เจ้าคุณบอกหวยเขาถูกกันจริงหรือ

ทูลว่า ถวายพระพร อาตมาภาพจะขอแถลงแจ้งคำให้การแก้พระราชกระทู้โดยสัจจ์ว่ าตั้งแต่อาตมาภาพได้อุปสมบทมา ไม่เคยออกวาจาว่าหวยจะออก ด กวางเหมง ตรง ๆ เหมือนดังบอก ด กวางเหมง แด่สมเด็จพระบพิตรพระราชสมภารเจ้า อย่างวันนี้ ไม่ได้เคยบอกแก่ใครเลย

ในครั้งนั้น พระธรรมกิติตั้งคัมภีร์บอกศักราชต่อจนจบ ถวายพระพรแล้วเดินคาถา จุณณียบท อันมีมาในพรหมณสังยุตตนิกาย ปาฏิกวรรค แปลถวายว่า

ยังมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง แกนั่งคิดว่า กูจะเข้าไปหาพระสมณโคดม แล้วก็จะถามปัญหากับสมณโคดมดูสักหน่อย พราหมณ์ผู้นั้นคิดฉะนี้แล้ว แกจึงลงอาบน้ำ ดำเกล้าในห้วยแล้ว แกผลัดผ้านุ่งแล้ว แกออกจากบ้านแก แกตั้งหน้าตรงไปพระเชตวนมหาวิหาร ถึงแล้วแกจึงตั้งข้อถามขึ้นต้น แกเรียกกระตุกให้รู้ตัวขึ้นก่อนว่า โภ โคตม นี่แน่ะ พระโดม ฯ

ครั้นท่านว่ามาถึงคำว่า นี่แน่ะพระโคดม เท่านี้แล้วก็กล่าวว่า

คำถามของพราหมณ์ และคำเฉลยของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีอยู่ประการใด สมเด็จพระบรมบพิตรเจ้า ได้ทรงตรวจตราตริตรองแล้ว ก็ได้ทรงทราบแล้วทุกประการ

ดังรับประทานวิสัชนามาก็สมควรแก่เวลาแต่เพียงนี้ เอวัง ก็มีด้วยประการดังนี้ ขอถวายพระพร

พอยถาสัพพีแล้ว ก็ทรงพระสรวลตบพระหัตถ์ว่าเทศน์เก่งจริง


อีกครั้งหนึ่งเมื่อท่านได้เลื่อนเป็นที่ พระเทพกวี แล้วมีพระวัดระฆังเต้นด่าท้าทายกันขึ้นคู่หนึ่ง ท่านเจ้าคุณโตเอกเขนกนั่งอยู่นอกกุฏิท่าน แลเห็นเข้า ทั้งได้ยินพระทะเลาะกันด้วย

ท่านจึงลุกเข้าไปในกุฏิ จัดดอกไม้ธูปเทียนใส่พาน รีบเดินเข้าไปในระหว่างวิวาท ทรุดองค์ลงนั่งคุกเข่าเข้าไปถวายดอกไม้ธูปเทียนพระคู่นั้น แล้วอ้อนวอนฝากตัวว่า

พ่อเจ้าประคุ้น พ่อจงคุ้มฉันด้วย ฉันฝากตัวกับพ่อด้วย ฉันเห็นจริงแล้วว่าพ่อเก่งเหลือเกิน เก่งพอใข้เก่งแท้แท้ พระเจ้าประคุ้นลูกฝากตัวด้วย

เลยพระคู่นั้นเลิกทะเลาะกัน มาคุกเข่ากราบพระเทพกวี ท่านก็กราบตอบพระ กราบกันอยู่นั่น หมอบกันอยู่นั่นนาน ฯ

อีกครั้งหนึ่งขณะท่านเป็นที่พระเทพกวี ได้เข้าไปเทศน์ถวายสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ไม่พอพระราชหฤทัย จึงทรงไล่ลงจากธรรมาสน์ ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดนของฟ้า ไปให้พ้น

พระเทพกวีออกจากวัง เข้าไปนอนในโบสถ์วัดระฆังออกไม่ได้นาน ใช้บิณฑบาตรบนโบสถ์ลงดินไม่ได้ เกรงผิดพระบรมราชโองการ ครั้นถึงคราวถวายพระกฐินเสด็จมาพบเข้า

รับสั่งว่า อ้าวไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรสยาม ทำไมยังขืนอยู่อีกเล่า

ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้อยู่ในพระราชอาณาจักร อาตมภาพอาศัยอยู่ในพุทธจักร ตั้งแต่วันมีพระบรมราชโองการ อาตมภาพไม่ได้ลงดินของมหาบพิตรเลย

ก็กินข้าวที่ไหน ไปถาน ถานที่ไหน

ขอถวายพระพร บิณฑบาตรบนโบสถ์นี้ฉัน ถานในกระโถน เทวดาคนนำไปลอยน้ำ

รับสั่งว่า โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาสยามหรือ

ถวายพระพร โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้ ขอถวายพระพร

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงขอโทษ ครั้นถวายกฐินเสร็จแล้ว รับสั่งให้อยู่ในราชอาณาจักรสยามได้ แต่วันนี้เป็นต้นไป
ต่อมาอีก เมื่อสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว ทรงสถาปนาพระเทพกวี (โต) เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ คราวหนึ่งนักองค์ด้วง เจ้าแผ่นดินเขมร กลุ้มพระหฤทัย จึงมีใบบอกเข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณาให้ทรงทราบ จึงมีพระบรมราชโองการให้เผดียง สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ให้ออกไปแสดงธรรมโปรดนักองค์ด้วง ณ เมืองเขมร

คราวนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงกับบ่นที่วัดระฆังว่า

สมเด็จพระนั่งเกล้าก็ไม่ใช่โง่ แต่ว่าใช้ขรัวโตไม่ได้ สมเด็จพระจอมเกล้าฉลาดว่องไว กลับมาได้ใช้ขรัวโต ฯ

ครั้นถึงวันกำหนด ท่านก็พาพระถานา ๔ รูป ไปลงเรือสยามูปสดัมภ์ เจ้าพนักงานไปส่งถึงเมืองจันทบุรี แล้วขึ้นเกวียนไปทางเมืองตราด ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งแขวงเมืองตราดนั้น เป็นตำบลที่มีเสือชุมมาก มันเผ่นเข้าขวางหน้าเกวียน เวลารอน ๆ จวนค่ำ คนหน้าเกวียนจดพลองเล่นตีกับเสือ เจ้าเสือแยกเขี้ยวหื้อใส่รุกขนาบ คนถือพลองถอยหลังทุกที จนถึงหน้าเกวียนสมเด็จ คนหน้าเกวียนยกเท้ายันคนถือพลองไว้ไม่ให้ถอย ฯ

สมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านเห็นเสือมีอำนาจดุมาก ท่านจึงว่า

เสือเขาจะธุระฉันคนเดียวดอกจ้ะ ฉันจะพูดจาขอทุเลาเสือสักคืนในที่นี้

ครั้นแล้วท่านก็ลง ส่งเกวียนส่งคนให้ไปคอยอยู่ข้างหน้า ท่านก็นอนขวางทางเสือเสีย ยิ้ม็นั่งเฝ้าท่านคืนหนึ่ง ยิ้ม็ไปไหนไม่ได้ จะไปไล่คนอื่นก็ไปไม่ได้ ต้องเฝ้ายามสมเด็จยันรุ่ง ครั้นเวลาเช้าท่านเชิญเสือให้กลับไป แล้วท่านลาเสือว่า

ฉันลาก่อนจ้ะ เพราะมีราชกิจใช้ให้ไปจ้ะ

ว่าแล้วท่านก็เดินตามเกวียนไปทันกัน แล้วท่านเล่าให้พระครูปลัดฟัง (พระครูปลัดคือพระธรรมถาวรเดี๋ยวนี้) พวกครัวก็หุงต้มเลี้ยงท่าน เลี้ยงกันเสร็จแล้วก็นิมนต์สมเด็จขึ้นเกวียนคนลาก ท่านไม่ชอบวัวควายเทียมเกวียน

ในครั้งนี้เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) เดินทางไปถึงเมืองพระตะบองแล้ว ก็ได้เทศน์ให้นักองค์ด้วง เจ้านายฝ่ายเขมร และเจ้าพระยา พ่อค้าคฤหบดีเขมรทั้งปวง เข้าใจถึงพระมหากรุณาธิคุณของกรุงสยาม ด้วยเชื่อมกับสาสนปสาสน์ และพระรัฏฐะปสาสน์ ให้กลมเกลียวกลืนกัน เทศน์ให้ยืดโยงหยั่งถึงกัน ชักเอาเหตุผลตามชาดกต่าง ๆ พระสูตรต่าง ๆ ทางพระวินัยต่าง ๆ อานิสงส์สันติภาพ และอานิสงส์สามัคคีธรรม นำมาปรุงเป็นเทศนากัณฑ์หนึ่ง

ครั้นจบลงแล้วนักองค์จันทร์มารดานักองค์ด้วง ได้สละราชบุตร ราชธิดา บูชาธรรม และสักการะด้วยแก้วแหวนเงินทองผ้าผ่อน และชัชชะโภชาหารตระการต่าง ๆ เขมรนอกนั้นก็เลื่อมใส เห็นจริงตามเทศนาของสมเด็จทุกคน และต่างก็เกิดความเลื่อมใสในองค์เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ

สมเด็จพระพุฒาจารย์ จึงได้ฝากนางธิดากุมารีไว้กับมารดาเจ้านักองค์ด้วง รับมาแต่เจ้ากุมารชายคนเดียว นักองค์ด้วงเจ้าเมืองเขมรจึงจัดการส่งสมเด็จ มีเกวียนส่งเข้ามาจนถึงเมืองตราด เจ้าเมืองตราดจัดเกวียนส่งมาถึงเมืองจันทบุรี เจ้าเมืองจันทบุรีจัดเรือใบเรือเสาส่งมาถึงกรุงเทพมหานคร จอดหน้าวัดระฆังทีเดียว

บางครั้งเวลาจำวัดอยู่กุฏิของท่านที่วัดระฆังนั้น เจ้าขโมยเจาะพื้นกุฏิล้วงเอาข้าวของที่วางเกลื่อนไว้ เจ้าขโมยล้วงไม่ถึง ท่านก็ช่วยเอาไม้เขี่ยของนั้น ๆ เข้าไปให้ใกล้มือขโมย เจ้าขโมยลักเข็นเรือใต้ถุนกุฏิ ท่านก็เปิดหน้าต่างสอนขโมยว่า

เข็นเบา ๆ หน่อยจ้ะ ถ้าดังไปพระท่านได้ยินเข้า ท่านจะตีเอาเจ็บเปล่าจ้ะ เข็นเรือบนแห้งเขาต้อง เอาหมอนรองข้างท้ายให้โด่งก่อนจ้ะ ถึงจะกลิ้งสะดวกดี เรือก็ไม่ช้ำไม่รั่วจ้ะ

เลยเจ้าขโมยเกรงใจไม่เข็นต่อไป

เกล็ดฝอยในเรื่องอภินิหารของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆังโฆสิตารามนั้น ยังมีอีกมากมาย ที่นำมาเล่านี้เป็นส่วนน้อยเท่านั้น ท่านผู้เรียบเรียง และผู้จัดพิมพ์ ได้สรุปไว้ว่า

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) องค์โน้น ท่านเป็นสัปปุรุษเที่ยงแท้ผู้หนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นจนปลายท่านมิได้เบียฬตน และเบียฬผู้อื่นให้ได้ความทุกข์ยากลำบากเลย แม้สักคนเดียว ตั้งแต่เกิดมาเห็นโลก จนตลอดวันมรณภาพ จนถึงปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ก็ยังมีพระโตตั้งไว้ให้เป็นที่ไหว้ที่บูชา แก่บรรดาพุทธศาสนิกชน คนทุกชั้นได้รำพรรณนับถือไม่รู้วาย.


วางเมื่อ เวลา ๐๕.๓๗
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่