ความรู้ เมื่อ รู้ มันอาจไม่ใช่ ความจริงแล้ว
เพราะ มันได้แยกหรือถูกแยกออกมา จากโลกที่เคลื่อนไหว
มันจึงเป็น แค่คำอธิบาย หรือทฤษฏี หรือชิ้นส่วนของความจริง เพื่อ ใช้สื่อสารเท่านั้น
การศึกษา สำคัญที่ต้องรู้จักทำความรู้ให้มีชีวิต ด้วยการวิพากษ์มัน
การวิพากษ์ เป็น การประเมินความรู้ต่อคุณค่า ด้วยการโยงใยกับความรู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ
เป็นการสำรวจความรู้อีกชั้นหนึ่ง ว่า มันทำงานอย่างไร และเกี่ยวข้องกับเราอย่างไรในปัจจุบัน
เช่น น้ำ ประกอบด้วยไฮโดรเจนกับออกซิเจน สามารถแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง และไอน้ำได้
ทำให้เกิดฤดูกาล ความผันผวนของฤดูกาล ก็คือ การเปลี่ยนสถานะของน้ำ ที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิโลก
อันมีไอน้ำในกระแสลม กับ ตัวน้ำในทะเลที่สะสมอุณภูมิไปกำหนดความผันผวนของกระแสลม รวมถึงกระแสน้ำร้อนเย็นเช่นกัน
ทัศนะวิพากษ์ก็คือ การรู้ว่า การบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ย่อมมี
ส่วนไปทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซต์ที่สร้างเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
ยิ่งไปเพิ่มความร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ย้อนกลับมาทำให้กระแสน้ำร้อน-เย็นผันผวน
เช่นนี้แล้ว เราควรบริโภคทรัพยการอย่างไรจึงจะเป็นมิตรกับโลกหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือเป็นมิตรกับตนเองย้อนกลับ
เช่น ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานใหม่อย่างไร ทำไมการรีไซเกิลจึงถือว่าทันสมัย เท่ห์ และจัดเป็นทัศนะก้าวหน้า
ดังนั้น ความรู้ที่ขาดการวิพากษ์ ก็เป็นเพียงความรู้ในหัว หรือตำรา ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้
เพราะ มันไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นหรือชุบชีวิตโดยผู้ศึกษา โดยการประเมินค่า การนำไปเกี่ยวโยงกับบริบทแห่งหนของตน
ซึ่งรวมถึงการทดสอบหรือการใช้ประโยชน์จริง ความรู้ทำนองนี้มีมากก็ยิ่งเป็นภาระ ผู้รู้ไม่ได้เป็นอิสระจากสิ่งที่รู้ แต่อย่างใด
เช่น อริยสัจสี่เรารู้จากการถูกพร่ำสอนว่า เป็นแนวทางการดับทุกข์ แต่เราได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งนี้บ้างหรือไม่อย่างไร ว่าใช้ได้จริง
หรือมันหมายถึงอะไร เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ทำไมการใบ้หวย การเชื่อไสยศาสตร์จึงมีดาษดื่นตา ศาสนาไม่ได้ทำให้เราเป็นอิสระ
จากทุกข์มากสักเท่าไรเลยหรือ หรือเพราะ การศึกษาไม่ได้สอนให้เอาไปปฏิบัติ เรารู้สักแต่รู้เฉยๆงั้นหรือ เราเรียนเพื่อจะแบกความรู้ไว้เท่านั้นหรือ? หรือเพราะนิสัยคนไทย ชอบทำอะไรง่ายๆ หวังผลเชิงปฏิบัติ ชอบการป้อนรับวิธีสำเร็จรูป ไม่ชอบคิดเอง ไม่รู้ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์..
ทำความรู้ให้มีชีวิต ด้วยทัศนะวิพากษ์
เพราะ มันได้แยกหรือถูกแยกออกมา จากโลกที่เคลื่อนไหว
มันจึงเป็น แค่คำอธิบาย หรือทฤษฏี หรือชิ้นส่วนของความจริง เพื่อ ใช้สื่อสารเท่านั้น
การศึกษา สำคัญที่ต้องรู้จักทำความรู้ให้มีชีวิต ด้วยการวิพากษ์มัน
การวิพากษ์ เป็น การประเมินความรู้ต่อคุณค่า ด้วยการโยงใยกับความรู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ
เป็นการสำรวจความรู้อีกชั้นหนึ่ง ว่า มันทำงานอย่างไร และเกี่ยวข้องกับเราอย่างไรในปัจจุบัน
เช่น น้ำ ประกอบด้วยไฮโดรเจนกับออกซิเจน สามารถแปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง และไอน้ำได้
ทำให้เกิดฤดูกาล ความผันผวนของฤดูกาล ก็คือ การเปลี่ยนสถานะของน้ำ ที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิโลก
อันมีไอน้ำในกระแสลม กับ ตัวน้ำในทะเลที่สะสมอุณภูมิไปกำหนดความผันผวนของกระแสลม รวมถึงกระแสน้ำร้อนเย็นเช่นกัน
ทัศนะวิพากษ์ก็คือ การรู้ว่า การบริโภคทรัพยากรของมนุษย์ย่อมมี
ส่วนไปทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น เกิดกาซคาร์บอนไดออกไซต์ที่สร้างเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ
ยิ่งไปเพิ่มความร้อนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ย้อนกลับมาทำให้กระแสน้ำร้อน-เย็นผันผวน
เช่นนี้แล้ว เราควรบริโภคทรัพยการอย่างไรจึงจะเป็นมิตรกับโลกหรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือเป็นมิตรกับตนเองย้อนกลับ
เช่น ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานใหม่อย่างไร ทำไมการรีไซเกิลจึงถือว่าทันสมัย เท่ห์ และจัดเป็นทัศนะก้าวหน้า
ดังนั้น ความรู้ที่ขาดการวิพากษ์ ก็เป็นเพียงความรู้ในหัว หรือตำรา ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้
เพราะ มันไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นหรือชุบชีวิตโดยผู้ศึกษา โดยการประเมินค่า การนำไปเกี่ยวโยงกับบริบทแห่งหนของตน
ซึ่งรวมถึงการทดสอบหรือการใช้ประโยชน์จริง ความรู้ทำนองนี้มีมากก็ยิ่งเป็นภาระ ผู้รู้ไม่ได้เป็นอิสระจากสิ่งที่รู้ แต่อย่างใด
เช่น อริยสัจสี่เรารู้จากการถูกพร่ำสอนว่า เป็นแนวทางการดับทุกข์ แต่เราได้วิพากษ์วิจารณ์สิ่งนี้บ้างหรือไม่อย่างไร ว่าใช้ได้จริง
หรือมันหมายถึงอะไร เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ทำไมการใบ้หวย การเชื่อไสยศาสตร์จึงมีดาษดื่นตา ศาสนาไม่ได้ทำให้เราเป็นอิสระ
จากทุกข์มากสักเท่าไรเลยหรือ หรือเพราะ การศึกษาไม่ได้สอนให้เอาไปปฏิบัติ เรารู้สักแต่รู้เฉยๆงั้นหรือ เราเรียนเพื่อจะแบกความรู้ไว้เท่านั้นหรือ? หรือเพราะนิสัยคนไทย ชอบทำอะไรง่ายๆ หวังผลเชิงปฏิบัติ ชอบการป้อนรับวิธีสำเร็จรูป ไม่ชอบคิดเอง ไม่รู้ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์..