พระพรหมมีจริงไหม มีคำตอบละเอียดที่สุด (ต่อจากตอนที่แล้ว ๑)

ต้นเหตุที่ได้พบพระพรหม
อาตมภาพจะได้กล่าวถึงต้นเหตุที่ได้พบพระพรหมเป็นลำดับไปดังนี้
    เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๙๗ อาตมากำลังรักษาคนไข้อยู่ที่ศาลาร่วมบุญ ครั้นเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. ได้มีหญิงผู้เฒ่าขายน้ำอบไทยคนหนึงมาขอให้อาตมาภาพช่วยทำการรักษา เนื่องจากมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายมาหลายวันแล้ว อาตมภาพจึงได้ทำการรักษาให้ตามวิธีการที่เคยปฏิบัติ ขณะที่อาตมภาพร่ายพระเวทที่ใช้ทำการบำบัดรักษาโรค เป่าไปยังร่างของหญิงผู้เฒ่าคนนั้น ปรากฏมีอาการในลักษณะที่มีวิญญาณเข้าประทับร่างทรง อาตมภาพจึงถามขึ้นว่า วิญญาณที่มาประทับร่างทรงนั้นเป็นผู้ใด และมีนามว่าอย่างไร วิญญาณที่มาประทับร่างทรงนั้นได้หัวเราะดังก้องแล้วตอบว่า เรามีนามว่า สมมุติเทวราช อาตมภาพจึงได้อุทานว่า สาธุ สาธุ และถามต่อไปว่าท่านคงจะมีข่าวดีอะไรมาบอกให้อาตมภาพทราบกระมัง
วิญญาณที่มีนามว่า สมมุติเทวราช จึงได้พูดว่า เราได้ยินเล่าลือกันว่า พระคุณเจ้าเป็นพระสงฆ์ที่มีคุณธรรมและจิตใจดี จึงอยากมาชมบุญ และช่วยเสริมสร้างบุญบารมีสืบไป
อาตมภาพจึงได้ตอบว่า ทราบความประสงฆ์ดีของท่านแล้ว วันนี้ยังมีคนไข้รอรับทำการบำบัดรักษาอยู่อีกหลายคน ไว้คราวหน้าจะอัญเชิญมาปรึกษาหารือเพื่อช่วยเหลืออาตมภาพใหม่ วันนี้ขอให้ถอนทรงไปเสียก่อน
วิญญาณนั้นก็ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขอนมัสการลาพระคุณเจ้าไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยพบกันใหม่ แล้วก็ออกจากร่างประทับทรงไป
    เมื่ออาตมภาพเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ จึงได้สอบถามหญิงผู้เฒ่าคนนั้นว่าชื่ออะไร บ้านช่องอยู่ที่ไหน จึงได้รู้ว่าชื่อ นางกุหลาบ ประสบสิน บ้านอยู่ในตรอกศาลเจ้าเจ็ดสี่พระยา อาการป่วยไข้ของหญิงเฒ่านั้นปรากฏว่าหายดี อาตมภาพจึงไดให้ คุณบัณฑิต กีรติบุตร ไปส่งนางกุหลาบ ประสบสิน เพื่อจะได้รู้จักบ้าน และนัดหมายพบกันใหม่
ในวันต่อมา นางกุหลาบ ประสบสิน ได้มาพบอาตมภาพที่บนกุฏิ อาตมภาพได้สอบถามข้อความอีกหลายประการ จึงได้พบว่า คุณโยมผู้นี้ เคยเป็นร่างประทับทรงของเทพเจ้ามาแล้วหลายองค์ อาตมภาพจึงทดลองอัญเชิญเทพยเจ้ามาประทับร่างทรง ปรากฏว่าเทพเจ้ามีนามว่า สุวรรณรัตน์ (มีชื่อภาษาจีนว่า เซ่งเทียนจู้) มาประทับทรง แต่ไม่ใช่เป็นเทพยเจ้าที่เคยประทับทรงในร่างของคุณโยมผู้นี้มาก่อน เป็นเทพยเจ้าองค์ใหม่ อาตมภาพจึงสอบถามจุดประสงฆ์ในการที่มาประทับร่างทรง ได้ความว่า เทพยเจ้าองค์นี้ได้เคยมีบุพกรรมกับอาตมภาพมาในกาลก่อน มีความประสงฆ์มาช่วยเหลือและส่งเสริมกิจกรรมของอาตมภาพ ขอรับเป็นที่ปรึกษาและได้ประสิทธิประสาทความรู้กับพระคาถาอาคมต่างๆให้อาตมภาพมากมาย ซึ่งอาตมภาพทดลองนำไปใช้ปรากฏว่า มีผลศักดิ์สิทธิ์จริงตามที่ประสิทธิ์ประสาทให้ไว้ อาตมภาพจึงได้ทำการอัญเชิญ เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ประทับร่างทรงเสมอมา จนกระทั่งวันหนึ่งอาตมภาพได้นำเรื่องพระพรหม มาปรารภกับท่านว่า
พระพรหมนั้นมีจริงหรือไม่ มี ๔ พักตร์จริงหรือเปล่า เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ได้บอกแก่อาตมภาพว่าพระพรหมนั้นมีอยู่จริง แต่ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นไม่ขอตอบ กับได้ประสิทธิพระคาถาให้อาตมภาพสวดติดต่อกันทุกๆวัน แล้วอาตมภาพจะได้รู้เองว่า จะมีสิ่งที่ปรารถนามาปรากฏให้เห็นผลเป็นอย่างไร
อาตมภาพได้พากเพียรสวดพระคาถาที่เทพยเจ้าสุวรรณรัตน์ ได้ประสิทธิให้ไว้ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลาถึง ๒ ปี จนถึงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๙ เวลา ๒๐.๑๒ น. ขณะที่อาตมภาพให้ศิษย์ผู้ชายคนหนึ่งนั่งเป็นร่างประทับทรงได้มีวิญญาณมาประทับร่างทรง อาตมภาพได้สอบถามนามของวิญญาณนั้น บอกว่าชื่อ ท้าวขี้เกียจ เมื่ออาตมภาพได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือ ว่าจะมีนามเช่นนั้นจริง จึงได้สอบถามข้อความอื่นๆอีกนาๆประการ ด้วยเกิดความสงสัยว่าจะเป็นท้าวขี้เกียจได้อย่างไร และก่อนที่ท้าวขี้เกียจจะออกจากร่างประทับไป ได้บอกไว้ว่าท่านคือ จตุระเทวา
เมื่ออาตมภาพได้ทราบดังนั้น จึงตีความหมายคำว่า จตุระเทวา คือ เทวดาทั้ง ๔ คงได้แก่ พรหมวิหาร ๔ นั่นเอง ดังนั้นจึงลงความเห็นได้ว่า จตุระเทวา นั้นก็คือ พระพรหมนั่นเอง เมื่อบังเกิดความแน่ใจเช่นนี้ อาตมภาพจึงได้กระทำพิธีอัญเชิญพระพรหมให้มาประทับร่างทรงโดยตรง เมื่อมาประทับร่างทรงแล้ว วิญญาณนั้นก็ยังคงบอกชื่อว่า จตุระเทวา ท่านมีธุรกิจอะไรกับเราจึงต้องการพบ เมื่ออาตมภาพได้บอกถึงการตีความหมายดังได้กล่าวมาแล้ว ท่านจึงได้ยอมรับว่า เท่าที่อาตมภาพได้ตีความหมายนั้นถูกต้องแล้วและได้ประทานพระนามเต็มว่า ท้าวมหาพรหมสหัมปติ อาตมภาพเมื่อได้ทราบความเป็นจริงว่า พบกับท้าวมหาพรหมสหัมปติพระองค์จริงเช่นนี้ นับว่าเป็นกุศลบารมีของอาตภาพอย่างยิ่ง จึงได้ขอร้องให้พระองค์ประทานโอกาสที่อาตมภาพจะได้ทำการอัญเชิญมาประทับทรงในเวลาต่อไป เพื่อขอประทานความรู้และความช่วยเหลือที่จะเสริมสร้างคุณความดีในพระศาสนาสืบไป ท้าวมหาพรหมสหัมปติได้มีพระดำรัสอนุญาตให้ตามที่อาตมภาพขอ ในโอกาสเดียวกันนี้ อาตมภาพได้ทูลขอพระคาถาที่จะให้ญาติโยมทั้งหลายใช้สวดภาวนาเพื่อความสุขความเจริญต่อไป พระองค์จึงได้ประทานพระคาถาเรียกเงินเรียกทอง เป็นการอนุเคราะห์แก่ญาติโยมดังนี้
โอม พุทธะโธ ธัมมะโม สังฆะโฆ ให้มือข้าโต เรียกเงินได้เงิน เรียกทองได้ทอง
ยะมาหายะ ยะมาหายัง นะนะนะโม
เงินทองพอประมาณ กวักเงินได้เงิน กวักทองได้ทอง
กับได้ประทานพระดำรัสอธิบายวิธีใช้พระคาถาดังนี้
เวลาก่อนนอนให้ภาวนา ๓ ครั้ง หรือ ๙ ครั้ง แล้วใช้มือกวักไปทั้ง ๔ ทิศ ภาวนาเรียกเงินเรียกทอง เมื่อจะออกจากบ้านไปทำธุระ ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ ครั้ง แล้วยกมืออธิษฐานชื่อท่าน จตุระเทวา นึกตามที่จะปรารถนา ผู้ใดปฏิบัติได้ดังนี้ จะได้สมมโนรถของตน
ญาติโยมทั้งหลายที่ไดรับพระคาถานี้ไปสวดภาวนาปรากฏว่า ได้รับความสุขความเจริญโดยทั่วกัน


เจริญพร
(องสรภาณมธุรส บ๋าวเอิง)
เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร
๘กันยายน ๒๕๐๓
ที่มา หนังสือเรื่อง พรหมลิขิต โดยองสรภาณมธุรส (บ๋าวเอิง)

ท่านสามารถเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ทีเฟสบุ๊คของวัด
http://www.facebook.com/Samananamboriharn
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่