วิเคราะห์เรื่องความรักตามธรรม
เมื่อใครสักคนเป็นที่พอใจของเรา(เมื่อตาเห็น จึงเกิดความรัก ความชอบ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น กายสัมผัส ใจคิดนึก ล้วนเกิดจากความพอใจ) จึงมีความพยายามที่จะเอาเขาคนนั้นมาเป็นของเรา เมื่อได้มาเป็นของเรา เกิดความเป็นเจ้าของ ยึดติดในขันธ์ ๕ กองนั้น:
เมื่อใครสักคนพึงพอใจในเรา(เมื่อตาเห็น หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น กายสัมผัส ใจคิดนึก) เขาก็พยายามที่จะเป็นเจ้าของเรา เมื่อได้ตามปรารถนา เกิดความเป็นเจ้าของ ยึดติดในขันธ์ ๕ กองนี้:
วิเคราะห์ให้ดี ความรักเกิดจากความพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น สัมผัสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ซึ่งสิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เกิด ดับตามเหตุตามปัจจัย เมื่อใดที่ รูปไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป เสียงไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป กลิ่นไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป สัมผัสไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป ธรรมารมณ์ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป ความพอใจไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไปเป็นความไม่พอใจ ทุกข์เกิด ความสุขที่เคยมีให้กันและกันเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ ได้มาเป็นสุขแต่มันไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนเป็นสุขชั่วคราว สิ่งที่ตามมาคือ ความทุกข์ถาวร ไม่สามารถหาทางออกจากทุกข์ได้ หากไม่รู้วิธีการปฏิบัติฝึกฝนเพื่อออกจากทุกข์ทั้งปวงได้ตามหลักธรรมคำสอนที่ตรงตามธรรม
ความรักเป็นความพอใจ เริ่มจากพอใจอย่างหยาบ เมื่อมีความผูกพันธ์กันในระยะเวลายาวนาน ความพอใจที่เกิดขึ้นจากความรักยิ่งละเอียด ฝังแน่นในชวนะจิต ย้ำแล้ว ย้ำอีกอย่างยากที่จะลืม
เมื่อใดที่เขาเกิดความไม่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสโผฏฐัพพะ ความนึกคิดธรรมารมณ์ที่เกิดในเรา เราเกิดความไม่พอใจในสิ่งที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในตัวเขา ความรักที่เคยมีก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่สามารถคงอยู่ได้
เมื่อใดที่เกิดความรัก ความชอบใจ คือ เราตามไม่ทันความพอใจในรูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทุกข์จึงเกิดทันทีอย่างไม่รู้ตัวในทันที ในขณะที่บางท่านสมหวังในความรัก ได้ทุกอย่างตามปรารถนาจึงมองไม่เห็นความทุกข์อย่างเนียนๆที่ยอมรับมันด้วยความพอใจ และสุดท้ายเมื่อยึดติดว่า เขาคือคนรักของเรา เราคือคนรักของเขา ก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อเกิด ทุกข์สัจจะที่ไม่มีใครหนีพ้น ความแก่ ความเจ็บ ความตายมาเยือน ทุกข์เขาหรือเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องพลัดพราก
แปลงความรักเป็นความเมตตา รู้ เข้าใจ รู้เท่าทันความพอใจ ไม่พอใจที่เกิดขึ้นระหว่าง ตัวฉันขันธ์ ๕ กองนี้และขันธ์ ๕ กองอื่นๆที่เป็นทุกข์เหมือนกัน มีความไม่เที่ยง เกิด ดับ เหมือนกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ เมตตาซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความจริงเป็นฐานความคิด เมื่อร่างกายต้องแก่ เจ็บ ตายไปตามความไม่เที่ยง ตามสภาวะธรรมเช่นนั้น ความทุกข์จึงไม่เกิดกับผู้รู้เท่าทันในความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ ทุกกองดังนี้
ความรัก เป็นเพียงสมมุติสัจจะ ที่ขึ้นอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์และอิทัปปัจจยตาปฏิจสมุปบาท คือความไม่เที่ยง เกิด ดับตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนๆ รักแบบพ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่ รักแบบเพื่อน รักแบบพี่น้อง รักแบบสามีภรรยา ฯลฯ
ผลจากการปฏิบัติวิปัสสนาไม่เที่ยง เกิด ดับ ; สรรพสิ่งทั้งปวงรวมทั้งขันธ์ ๕ กองนี้ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนแท้จริงเป็นของตน ของตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ของของเรา จึงไม่ควรไปยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา ว่าเป็นของของเราให้เกิดความทุกข์...
ใช้ความเพียรในการวิปัสสนาไม่เที่ยง เกิด ดับ เพื่อดับทุกข์ให้กับขันธ์ ๕ กองนี้ ที่ธรรมชาติให้ยืมมาเพื่อฝึกฝนปฏิบัติฟอกจิตใจให้สะอาดปราศจากความมัวหมองอันเกิดจาก โลภะ โทสะ โมหะ ที่สะสมไว้ในใจเราอย่างรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพราะจิต(ขันธ์ ๕)ทำงานเก็บความพอใจ ไม่พอใจอย่างรวดเร็วและเนียน ละเอียด เมื่อรักยังไม่เกิดไม่เที่ยง เกิด ดับเป็นฉนวนกันความเกิดได้ เมื่อรักเกิดขึ้นแล้วนำไม่เที่ยง เกิด ดับไป ขจัด ควบคุมไม่ให้ความทุกข์ซ้ำเติม...เพื่อเอาชนะตัวเอง..เอาชนะกิเลส..ชนะความพอใจ ไม่พอใจที่ถมทับขันธ์ ๕ ของเราอยู่ทุกขณะจิตที่ไม่วิปัสสนา..สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เกิด ดับ ตัวฉันไม่เที่ยง เกิด ดับ
วิเคราะห์เรื่องความรักตามธรรม
เมื่อใครสักคนเป็นที่พอใจของเรา(เมื่อตาเห็น จึงเกิดความรัก ความชอบ ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น กายสัมผัส ใจคิดนึก ล้วนเกิดจากความพอใจ) จึงมีความพยายามที่จะเอาเขาคนนั้นมาเป็นของเรา เมื่อได้มาเป็นของเรา เกิดความเป็นเจ้าของ ยึดติดในขันธ์ ๕ กองนั้น:
เมื่อใครสักคนพึงพอใจในเรา(เมื่อตาเห็น หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น กายสัมผัส ใจคิดนึก) เขาก็พยายามที่จะเป็นเจ้าของเรา เมื่อได้ตามปรารถนา เกิดความเป็นเจ้าของ ยึดติดในขันธ์ ๕ กองนี้:
วิเคราะห์ให้ดี ความรักเกิดจากความพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น สัมผัสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ซึ่งสิ่งทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง เกิด ดับตามเหตุตามปัจจัย เมื่อใดที่ รูปไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป เสียงไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป กลิ่นไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป สัมผัสไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป ธรรมารมณ์ไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไป ความพอใจไม่เที่ยงเปลี่ยนแปรไปเป็นความไม่พอใจ ทุกข์เกิด ความสุขที่เคยมีให้กันและกันเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ ได้มาเป็นสุขแต่มันไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนเป็นสุขชั่วคราว สิ่งที่ตามมาคือ ความทุกข์ถาวร ไม่สามารถหาทางออกจากทุกข์ได้ หากไม่รู้วิธีการปฏิบัติฝึกฝนเพื่อออกจากทุกข์ทั้งปวงได้ตามหลักธรรมคำสอนที่ตรงตามธรรม
ความรักเป็นความพอใจ เริ่มจากพอใจอย่างหยาบ เมื่อมีความผูกพันธ์กันในระยะเวลายาวนาน ความพอใจที่เกิดขึ้นจากความรักยิ่งละเอียด ฝังแน่นในชวนะจิต ย้ำแล้ว ย้ำอีกอย่างยากที่จะลืม
เมื่อใดที่เขาเกิดความไม่พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสโผฏฐัพพะ ความนึกคิดธรรมารมณ์ที่เกิดในเรา เราเกิดความไม่พอใจในสิ่งที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในตัวเขา ความรักที่เคยมีก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่สามารถคงอยู่ได้
เมื่อใดที่เกิดความรัก ความชอบใจ คือ เราตามไม่ทันความพอใจในรูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทุกข์จึงเกิดทันทีอย่างไม่รู้ตัวในทันที ในขณะที่บางท่านสมหวังในความรัก ได้ทุกอย่างตามปรารถนาจึงมองไม่เห็นความทุกข์อย่างเนียนๆที่ยอมรับมันด้วยความพอใจ และสุดท้ายเมื่อยึดติดว่า เขาคือคนรักของเรา เราคือคนรักของเขา ก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อเกิด ทุกข์สัจจะที่ไม่มีใครหนีพ้น ความแก่ ความเจ็บ ความตายมาเยือน ทุกข์เขาหรือเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องพลัดพราก
แปลงความรักเป็นความเมตตา รู้ เข้าใจ รู้เท่าทันความพอใจ ไม่พอใจที่เกิดขึ้นระหว่าง ตัวฉันขันธ์ ๕ กองนี้และขันธ์ ๕ กองอื่นๆที่เป็นทุกข์เหมือนกัน มีความไม่เที่ยง เกิด ดับ เหมือนกัน ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ เมตตาซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างมีความจริงเป็นฐานความคิด เมื่อร่างกายต้องแก่ เจ็บ ตายไปตามความไม่เที่ยง ตามสภาวะธรรมเช่นนั้น ความทุกข์จึงไม่เกิดกับผู้รู้เท่าทันในความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ ทุกกองดังนี้
ความรัก เป็นเพียงสมมุติสัจจะ ที่ขึ้นอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์และอิทัปปัจจยตาปฏิจสมุปบาท คือความไม่เที่ยง เกิด ดับตามเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหนๆ รักแบบพ่อแม่รักลูก ลูกรักพ่อแม่ รักแบบเพื่อน รักแบบพี่น้อง รักแบบสามีภรรยา ฯลฯ
ผลจากการปฏิบัติวิปัสสนาไม่เที่ยง เกิด ดับ ; สรรพสิ่งทั้งปวงรวมทั้งขันธ์ ๕ กองนี้ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เป็นทุกข์ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนแท้จริงเป็นของตน ของตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่ของของเรา จึงไม่ควรไปยึดมั่นในสิ่งทั้งปวงว่าเป็นเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา ว่าเป็นของของเราให้เกิดความทุกข์...
ใช้ความเพียรในการวิปัสสนาไม่เที่ยง เกิด ดับ เพื่อดับทุกข์ให้กับขันธ์ ๕ กองนี้ ที่ธรรมชาติให้ยืมมาเพื่อฝึกฝนปฏิบัติฟอกจิตใจให้สะอาดปราศจากความมัวหมองอันเกิดจาก โลภะ โทสะ โมหะ ที่สะสมไว้ในใจเราอย่างรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพราะจิต(ขันธ์ ๕)ทำงานเก็บความพอใจ ไม่พอใจอย่างรวดเร็วและเนียน ละเอียด เมื่อรักยังไม่เกิดไม่เที่ยง เกิด ดับเป็นฉนวนกันความเกิดได้ เมื่อรักเกิดขึ้นแล้วนำไม่เที่ยง เกิด ดับไป ขจัด ควบคุมไม่ให้ความทุกข์ซ้ำเติม...เพื่อเอาชนะตัวเอง..เอาชนะกิเลส..ชนะความพอใจ ไม่พอใจที่ถมทับขันธ์ ๕ ของเราอยู่ทุกขณะจิตที่ไม่วิปัสสนา..สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เกิด ดับ ตัวฉันไม่เที่ยง เกิด ดับ