มีพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนตรงตามธรรมเป็นที่พึ่ง

กระทู้สนทนา
มีพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องครบถ้วนตรงตามธรรมเป็นที่พึ่ง

*ในหลายๆพระสูตรที่พระองค์ตรัสสอนแก่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนให้มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ท่านเป็นที่พึ่ง พึ่งอย่างไร พึ่งด้วยปัญญา คือ การศึกษาเรียนรู้และน้อมนำความจริงของโลกและชีวิตไปใส่ไว้ในใจ ให้มีให้มากเพื่อพาตนเองข้ามพ้นความเชื่อ ข้ามพ้นความศรัทธาที่เกิดบนพื้นฐานความพอใจ ไม่พอใจ เป็นศรัทธาที่เป็นอันตรายต่อตัวเราเอง เป็นการทำร้ายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว เป็นความเนียนละเอียด และลึกซึ้งของมารที่สามารถพาเราให้หลงทางได้ตลอดเวลาหากประมาท ดังที่พระพุทธองค์ตรัสสอนในหลายๆพระสูตร

**พระพุทธองค์ทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย" จงดูกายอันนี้เถิด ฟันหัก ผมหงอก หนังเหี่ยวๆ ยานๆ มีอาการทรุดโทรมให้เห็นอย่างเด่นชัด เหมื่อนเกวียนที่ชำรุดแล้ว ชำรุดอีกได้อาศัยแต่ไม้ไผ่มาซ่อมไว้ผูกระหนาบคาบค้ำไว้จะยืนนานไปได้สักเท่าไร การแตกสลายย่อมจะมาถึงเข้าสักวันหนึ่ง "ภิกษุทั้งหลายพวกเธอจงมีธรรมเป็นที่เกาะที่พึ่งเถิด          อย่าคิดยึดสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลยแม้ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกทางเท่านั้น"

***“ดูกรอานนท์ ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่เราล่วงไปก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดำรงชีวิตอยู่ ภิกษุเหล่านั้นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักอยู่เหนือความมืด”

****ภิกษุทั้งหลาย เธอจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่คนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ อันบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยสิ้นเชิง

*****พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกพระภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ อยู่เถิด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ
มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่จะต้องพิจารณาโดยแยบคายว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส  มีกำเนิดมาอย่างไร  เกิดมาจากอะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส มีกำเนิดมาอย่างไร เกิดมาจากอะไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้วในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน ๑  ย่อมเห็นตนมีรูป ๑  ย่อมเห็นรูปในตน ๑  ย่อมเห็นตนในรูป ๑ รูปนั้นของเขาย่อมแปรไป ย่อมเป็นอย่างอื่นไป

สรรพสิ่งใหม่เก่า แตกสลาย ตัวเราตัวท่านหนุ่ม แก่ ตาย ไม่เที่ยง เกิด ดับชี้ไปรอบๆตัว ๓๖๐ องศาแล้วชี้กลับมาที่ตัวเรา ไม่มีอะไรรอด ไม่เที่ยง เกิด ดับหมดทั้งโลกและเรา จะไปยึดมั่นถือมั่นอะไรว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นตัวตนของเรา ว่าเป็นเขา ว่าเป็นของเขา ว่าเป็นของของใคร ยึดเมื่อไรอวิชชาก็เกิด อวิชชาเกิดทุกข์เกิด ดับอวิชชา วิชชาเกิด ความจริงของโลกและชีวิตแจ่มแจ้ง สุขเกิดขึ้น เร่งทำความเพียรให้วิชชาเกิดขึ้นกับตัวเราจนเสถียร เชื่อมต่อกับโลกและชีวิต เชื่อมต่อชีวิตกับความจริงในธรรมชาติได้เสถียรเมื่อไร สุขถาวรหรือ นิพพานเกิด นิพพานเกิดตัวฉันดับไปทันที
"นิพพานมีอยู่ แต่ไม่มีผู้เข้าถึงนิพพาน มรรคามีอยู่ แต่ปราศจากผู้ดำเนินไป"
"ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ 4) รู้แล้วด้วยตนเอง เมื่อนั้นพราหมณ์ย่อมหลุดพ้นแล้วจากรูปและอรูป จากความสุขและความทุกข์"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่