บทความ ธรรมชาติตลาดกระทิง(Bull Market) By Nexttonothing

กระทู้ข่าว
ไปเจอบทความดี ๆ มา เก่าไปนิดนึงแต่ยังทันสมัยเลยเอามาฝาก คุณ Next เขียนขึ้นเมื่อ 06 มกราคม 2011 - 09:24
เป็นเรื่องเกี่ยวกับทองแต่ก็ใช้ได้ดีกับตลาดหุ้น โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่ Set ร่วงลงมาร้อยจุด

ที่มา http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/383-โอกาสทอง-จริงๆ-mania-phase/page__st__1530__gopid__75028

ธรรมชาติตลาดกระทิง(Bull Market)

วันนี้ปากกาขายดีแน่ๆ เซียนทำหักกันหลายคน ทองคำและเงิน (Gold and Silver)
โดนทุบราคาลงมาอย่างหนักถึง 30$ ภายในคืนเดียว เหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
เคยเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง นั่นเพราะราคาทองคำไม่ได้ขึ้นเป็นเส้นตรง ทุกวันๆ
ถึงจุดหนึ่งมันจะมีการปรับฐาน-พักตัว แต่ในระยะยาวแล้ว


“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม”



ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง อารมณ์ของตลาดต่างหากที่เปลี่ยน สิ่งเหล่านี้เป็น “ธรรมชาติ”
การลงแรงๆ ของราคาทองคำ หลายต่อหลายครั้งในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีความหมายอะไร
(สุดท้ายก็ขึ้นคืนกลับมาตลอด)การลงของทองคำเมื่อวานก็เช่นกัน


นั่นทำให้ผมเคยเตือนเพื่อนๆสมาชิกว่า อย่าเพิ่งเข้าเทรด Gold Future เพราะการลงแรงๆ
ลักษณะนี้เกิดขึ้นได้เป็นเรื่องธรรมดา แต่Margin เราจะโดนกวาดทิ้ง หากเราขายตัดขาดทุนหรือ
ไม่สามารถหาเงินมาเติมหลักประกันได้จนโดนบังคับขาย (Force Sell) นั่นเท่ากับว่า
เราจะโดนเชิญให้ออกจากตลาด

ใครที่อ่านบทความผมแล้วเห็นว่าทองจะขึ้น เลยซื้อสัญญา Gold Future เยอะๆเข้าไว้
บางทีอาจจะไม่ได้ง่ายและไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจและศึกษาธรรมชาติของตลาดกระทิงกันก่อนลงสู่สนามครับ
ขึ้นชื่อว่ากระทิง นั้นต้อง “พยศ” แน่ๆ หากคิดจะขึ้นขี่ จึงต้องรู้วิธี.


ธรรมชาติ ข้อที่ 1 : ตลาดกระทิงเวลาขึ้น-ขึ้นบันได / แต่เวลาลง–ลงลิฟท์


อาจารย์ผมสอนไว้ว่า ในภาวะตลาดขาขึ้นนั้น ราคาจะทำการไต่ระดับค่อยๆขึ้นๆ ใช้เวลาพอสมควร
แต่เวลาลงนั้นจะลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ

ตลาดจะทำการ “กำจัดผู้เล่นที่มาทีหลังให้ออกจากตลาดไปก่อน”

สังเกตจากล่าสุด ราคาทองคำใช้เวลาถึง 1 อาทิตย์กว่าจะปรับขึ้น 400 บาท (ถือว่าขึ้นเร็วแล้วนะครับ)
แต่เวลาลง 400 บาทนั้น เกิดขึ้นได้ภายในคืนเดียว

“เปรียบไปก็เหมือนกระทิงตัวนี้ จะสะบัดคนให้ตกจากหลังมันให้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยวิ่ง”

นักลงทุนที่รอให้ราคาตลาดขึ้นไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าขึ้นแน่ๆ แล้วค่อยซื้อจึง
มักจบลงโดยการ “ตัดขาดทุน” ผู้เล่นที่จิตใจไม่มั่นคง และปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล+ปัจจัยพื้นฐาน
จึงมักจะเป็นผู้แพ้ และจบลงด้วยการเสียตังค์

ตรงกันข้ามกับตลาดหมี (Bear Market) ตลาดนี้เวลาขึ้น-ขึ้นลิฟท์ แต่เวลาลง-ลงบันได
ราคาจะปรับตัวขึ้นแรง เพื่อเรียกความมั่นใจให้กับนักลงทุนว่าราคาขึ้นแน่ๆ จนกระโจนเข้าใส่
แต่หลังจากนั้นก็เป็นแค่การขึ้นหลอก ค่อยๆตกกลับลงมาเรื่อยๆ ไม่ให้เรารู้ตัว


ธรรมชาติข้อที่ 2 : ในตลาดกระทิงคุณต้องกล้าซื้อเมื่อมันลง


“Buy the dip" คือหัวใจสำคัญในการเข้าสู่ตลาด
เหมือนอย่างที่ วอร์เรน บัฟเฟต เคยพูดไว้ว่า “ต้องกล้าในเวลาที่คนอื่นกลัว” ในภาวะ ที่คนส่วนมากในตลาด
นั้นมีการเทขายอย่างรุนแรง (Sell off) หากเรามองที่อีกด้าน มีคนจำนวนหนึ่ง “รับซื้อ” อยู่
หากไม่มีคนซื้อก็เกิดการซื้อขายไม่ได้) คนเหล่านี้เป็นใคร ?? ทำไมมองต่างจากคนอื่น ??

คนเหล่านี้คือ ผู้เล่นที่ฉลาด (Smart Money) กล้าซื้อในเวลาที่คนอื่นไม่ซื้อ
สำหรับตลาดทองคำนั้น บอกได้เลยว่า ยิ่งลงแรง เราควรจะดีใจ

เพราะยิ่งลงมาก หมายความว่า ประตูแห่งโอกาสเปิดกว้างมากขึ้นตามไปด้วย
(The bigger sell off The bigger buying opportunity)

ใช้จังหวะแบบนี้เติมทองคำในพอร์ทของคุณ แล้วกอดมันไว้แน่นๆ นะครับ


ธรรมชาติข้อที่ 3 : “เซอร์ไพรส์” ทองขึ้น !


พวกเรามักจะคอยติดตามและอ่านข่าวกันอย่างหนัก เพื่อที่จะได้คาดเดาราคาได้ถูก แท้จริงแล้ว

ราคาต่างหากที่กำหนดข่าว -ไม่ใช่ข่าวกำหนดราคา

หลายต่อหลายครั้งนักลงทุนแม้จะติดตามอ่านข่าวทุกสำนัก ก็ยังขาดทุน นั่นเพราะ ราคามันจะวิ่งลงหรือขึ้นก่อน
ข่าวค่อยตามมาสนับสนุน ทีหลังเป็นแบบนี้อยู่ทุกครั้งไป เราจึงคิดไปว่า "ตลาดที่เราลงทุนอยู่นี่ สมเหตุสมผลจริงๆ"ร้องไห้มีข่าวรองรับตลอด)
แต่หากเป็นอย่างนั้นจริง คนที่จะกำไรจากการลงทุนมากที่สุด ควรจะเป็น นักข่าว
เพราะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ก็ยังเห็นมานั่งอ่านข่าวให้เราฟังทุกวันเหมือนเดิม

ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ศึกษาหาข้อมูลนะครับ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การอ่านข่าว
แต่อยู่ที่การ เอาข่าวมาวิเคราะห์ ถึงผลที่จะตามมาในอนาคตมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความน่าเชื่อถือของข่าวก็มีส่วนสำคัญ

หลายปีที่ผมเฝ้าติดตาม ตลาดทองคำ หลายต่อหลายครั้งทองขึ้นในช่วงเวลาที่เราคาดไม่ถึง
ทำให้เราประหลาดใจและซื้อไม่ทันอยู่บ่อยๆ การไม่มีทองคำติดพอร์ทเลยทำให้เราพลาดโอกาสแบบนี้


ธรรมชาติ ข้อที่ 4 : หากไม่หวังกินรอบเล็ก ก็จะไม่พลาดรอบใหญ่


เทรนหลักของตลาดทองคำ คือ “ขึ้น” ลองมาย้อนดูกันครับ

10 ปี

5 ปี

ปีเดียว

หรือจะแค่ 6 เดือน





พอเราถอยห่างออกมาดู กราฟในระยะกลางและระยะยาวแล้ว ก็พบว่า ทิศทาง เป็นไปในลักษณะเดียวกันคือ “ขึ้น”

“การซื้อแล้วถือรออย่างอดทน จะทำให้เราได้ผลตอบแทน ที่ดีกว่าการ ซื้อๆขายๆ เข้าๆออก พยายามจะทำรอบ”

คนที่ยืนยันเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนที่ใครหลายๆคนยึดเป็นต้นแบบ

ดร.บอกว่า การลงทุนก็เหมือนการขับรถ จุดหมายปลายทางคือความสำเร็จ
บางครั้งระหว่างทาง เลนที่เราขับมันดูติดขัดเหลือเกินเมื่อเทียบกับเลนข้างๆ
พอเราเห็นอย่างนี้ เราจึงชอบ “เปลี่ยนเลน”

เคยมั๊ยครับ ? เลนข้างๆ วิ่งฉิว แต่พอเราเปลี่ยนเลนไปเท่านั้น
ติดทันทีเลย ส่วนเลนเก่าของเราวิ่งแซงไปซะอย่างงั้น

การที่เราเห็น คันอื่นพยายามเปลี่ยนเลนไปมาบ่อยๆ
ดูเหมือนเค้าจะไปได้ไวกว่าเรา เอาเข้าจริงๆ อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้

การซื้อทองคำแล้วติดดอยไม่ได้กำไร เทียบกับคนอื่น
ซื้อๆขายๆ เล่นรอบ ทำกำไรบ่อย ๆ เหมือนเค้าจะไปไวกว่าเรา ท้ายที่สุด พอทองขึ้นเค้าอาจจะ
ไม่ได้กำไรเหมือนอย่างที่เราคิดก็ได้


นอกจากนี้การเปลี่ยนเลน ปาดแซงบ่อยๆ ยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ (ขาดทุน) อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนที่ดี บางทีมันน่าเบื่อครับ เปรียบเหมือนเรา วิ่งเลนขวาเลนเดียวไปเลย
มันติดบ้างช้าบ้าง “รอเถอะครับ”
ปลอดภัยคุ้มค่ารอและถึงจุดหมายปลายทางแน่นอน

หากยังไม่ชัดเจน ผมอยากจะเทียบกับการ “หุงข้าว” พอร์ททองคำของเรานั้น
หากว่าอยากจะให้สุกงอมและออกมาสวยน่ารับประทาน ต้องให้เวลามันครับ

หากคุณใจร้อนเปิดฝาหม้อดูบ่อยๆ สุดท้าย คงได้กินข้าวแข็งๆ
อดใจรอ จนสวิตซ์ มันดีดเองเถอะครับ รับรองข้าวสวยฟูได้ที่แน่ๆครับ.


ธรรมชาติ ข้อที่ 5 :อย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล


ทุกอย่างที่ผมได้พูดมา ในทุกบทความ คือ“สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง” หากว่าคุณเชื่อและรู้แบบนี้แล้ว
สิ่งเดียวที่จะขัดขวางไม่ให้คุณได้เข้าร่วมในโอกาสทอง (จริงๆ) ครั้งนี้
ก็คงเหลือแต่ “อารมณ์” ของคุณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

นักลงทุน หลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำเหนือเหตุผลที่ตัวเองรับรู้
แผนการที่วางเอาไว้เลยพังไม่เป็นท่า

เลิกทรมานตัวเองด้วยการจ้องราคาอยู่หน้าคอมพ์แล้วลุ้นระทึกไปกับมันเถอะครับ
มองไปในระยะยาวดีกว่า ไม่วุ่นวายใจ-หลับสบายทุกคืนครับ


ตลาดทองคำปี 2011 ผมเชื่อว่า ราคาสวิงไปมาต้องมีอยู่แล้ว
การขึ้นลง ระดับ 5-10% นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้
แต่เนื่องจากฐานของทองคำมันกว้างขึ้น

เช่น

- ทองบาทละ 10,000 : ขึ้นลง 5-10% คือ 500-1000 บาท

- แต่ตอนนี้ทองบาทละ 20,000 : ขึ้นลง 5-10% เลยกลายเป็น 1,000-2,000 บาท


การเคลิ่อนไหวระดับนี้อาจจะดูหวือหวา แต่เราต้องทำใจรับมันให้ได้ เพราะท้ายที่สุด
ทิศทางยังเป็นขาขึ้น

ในปี 2011 นี้ผมขอคาดการณ์แบบ "ถ่อมตัวและกลัวผิด" ว่า
อย่างน้อย เราน่าจะได้เห็น ราคาทองคำที่ระดับ 22,000-23,000 ต่อบาท
แต่หากเข้า Mania Phase แล้ว ระดับราคาที่ว่านี้ถือว่าจิ๊บๆ ครับ


ปล. ลุ้นเหนื่อยเลยครับสำหรับเป้าของลุงจิม : Widget ผมแจ้งเตือนว่าเหลือเวลาอีกเพียง 9 วัน
ผมเฝ้านับมา ตั้งแต่ 400 กว่าวัน ก็จะขอลุ้นกับลุงไปจนถึงที่สุดหละครับ ตามกันต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่