คดีปูปล่อยกู้ 30 ล้าน เขย่าขวัญ "เพื่อไทย"

กระทู้ข่าว

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย


จับอาการของพรรคเพื่อไทยเวลานี้ จะเห็นได้ว่าออกอาการอยู่ไม่น้อย หลังจากเริ่มมีหลายปัจจัยเขย่าเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้จากเดิมที่มั่นใจว่าอยู่ครบ 4 ปี อาจจะไปไม่ถึงจุดหมายก็ได้

ปัจจัยที่ว่านั้น ประกอบด้วย “การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ศาลรัฐธรรมนูญกำลังเข้ามาเป็นตัวแปรชี้ขาดอีกครั้งว่าพรรคเพื่อไทยจะใช้อำนาจรัฐสภาแก้ไขรายมาตราได้หรือไม่

“ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ” หรือกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สถานะทางกฎหมายของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีความชอบธรรมอยู่ โดยสภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาในขั้นตอนคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ

พรรคเพื่อไทยกางปฏิทินไว้ว่า จะเสนอให้สภาพิจารณาในวาระ 2 และ 3 ในช่วงเดือน พ.ค. ที่รัฐบาลจะขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญก่อนส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

แต่สถานะทางการเมืองของกฎหมายกู้เงินถือว่ามีความง่อนแง่นอยู่พอสมควร มีหลายภาคส่วนออกมาตั้งข้อสังเกตและแสดงความคิดเห็นว่า การลงทุนโครงการสร้างพื้นฐานครั้งนี้อาจไม่คุ้มทุนและภาระหนี้ที่ประเทศต้องแบกต่อไปอีก 50 ปี

โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงแบบกุดๆ ที่ไม่ได้ตอบโจทย์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งรัฐบาลเองก็ยังชี้แจงเรื่องนี้ไม่ชัดเท่าไหร่นัก นอกจากตอบแบบย้ำไปย้ำมาทำนองว่า “จะลงทุนขยายเส้นทางต่อเมื่อถึงเวลาเหมาะสม”

ไม่เพียงเท่านี้ กว่ากฎหมายกู้เงินจะคลอดออกมาเพื่อให้สร้างผลงานให้กับรัฐบาลได้จะต้องผ่านศาลรัฐธรรมนูญอีก ตามที่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม 40 สว. เตรียมยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยทันทีที่วุฒิสภาให้ความเห็นชอบและเตรียมประกาศบังคับใช้ ไม่รู้ว่าหวยจะออกเลขไหน

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองปัจจัยข้างต้นยังไม่หนักหนาเท่ากับคดีปล่อยกู้เงิน 30 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีนัดรับฟังรายงานการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ในวันนี้

คดีนี้มีปมอยู่ที่การแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้ให้บริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ ของ “อนุสรณ์ อมรฉัตร” สามี กู้ยืมเงิน 3 ครั้ง ระหว่างปี 25492550 แบ่งเป็น ครั้งที่ 1 จำนวน 20 ล้านบาท ครั้งที่ 2 และ3 ครั้งละ 5 ล้านบาท รวม 30 ล้านบาท แต่ในหมายเหตุประกอบการเงินของบริษัท แอ็ด อินเด็กซ์ กลับมีการบันทึกว่ากู้เงินระยะยาวจาก “ยิ่งลักษณ์” เพียงครั้งเดียว คือ ในปี 2549 เป็นจำนวน 20 ล้านบาท

ส่งผลให้ ป.ป.ช.ต้องเข้ามาตรวจสอบใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1.การให้กู้เงิน 3 ครั้ง อยู่ในระยะรอบบัญชีของบริษัทช่วงใด และได้แจ้งไว้ในงบดุลบัญชีบริษัทหรือไม่ 2.อัตราดอกเบี้ย ทำไมนายกฯ คิดอัตราดอกเบี้ย 1% ขณะที่งบดุลของบริษัทแจ้งว่า คิดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.53.75% ต่อปี

หากที่ประชุม ป.ป.ช.เห็นว่าข้อมูลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่หลักฐานเพียง กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนจะอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 เพื่อตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายกฯ ต่อไป

เส้นทางของคดีนี้กว่าจะได้ข้อยุติต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร นายกฯ มีสิทธิชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. ถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าฟังขึ้นนายกฯ ก็พ้นความผิด แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น นายกฯ จะถูกชี้มูลความผิดและส่งคดีให้อัยการสูงสุดฟ้องศาลตามขั้นตอน

แม้ว่านายกฯ จะถูกชี้มูลความผิด แต่ยิ่งลักษณ์ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.ป.ป.ช.มาตรา 55 กำหนดให้ผู้ถูกชี้มูลความผิดต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะคดีในความผิดเกี่ยวกับการถอดถอนออกจากตำแหน่งและความผิดการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่

แต่ถึงกระนั้น เงิน 30 ล้านบาท จะมีผลกระทบกับ “ยิ่งลักษณ์” โดยตรงเมื่อศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้อง ซึ่งจะเป็นผลให้นายกฯ จะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ตรงนี้เองที่พรรคเพื่อไทยเริ่มเกิดอาการระส่ำ

ตามกฎหมายรัฐบาลสามารถดำรงความเป็นรัฐบาลได้โดยมีนายกรัฐมนตรีรักษาการ แต่ในทางปฏิบัติไม่อาจอยู่ได้ด้วยผู้นำเบอร์สองตลอดไป ถึงตอนนั้นจะเป็นผลให้พรรคเพื่อไทยต้องหานายกฯ คนใหม่ อันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในพรรค

“เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” เป็นเต็งหนึ่งที่จะขึ้นเป็นผู้นำประเทศทันทีที่ชนะเลือกตั้ง สส.เชียงใหม่ และยิ่งลักษณ์ต้องเจอกับอุบัติเหตุการเมือง ทว่าการเป็นนายกฯ นั้นไม่ยากเท่ากับการบริหารความขัดแย้ง

อย่าลืมว่ากลุ่มก๊วนในบางจำนวนไม่น้อยที่สะสมความไม่พอใจเป็นทุนเดิมจากการไม่ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีทั้งที่ถึงกำหนด เพียงเพราะไม่ได้มีนามสกุลว่า “เด็กเจ๊” จึงไม่ได้รับการอวยยศ และต้องทนกับความอึดอัดต่อไป

ทั้งหมดจึงเป็นคำตอบว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงได้ออกอาการฟาดงวงฟาดงาภายหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกำลังรู้ตัวว่าเวลาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มเหลือน้อยลงทุกที

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่