จำเป็นหรือเปล่าสำหรับรถไฟความเร็วสูง

วันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2556 ปีที่ 22 ฉบับที่ 8162 ข่าวสดรายวัน


"ออกทะเลหรืออยู่ถ้ำ" ล้วนน่าห่วง

เมืองไทย 25 น.
ทวี มีเงิน


วันก่อนอ่านการ์ตูนพี่อรุณ ในมติชนรายวันได้แต่อมยิ้มทั้งชัดและคมในรูปเขียนว่าเริ่มแล้ว "ถก" พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้านบาท มีรูปเด็กเขียนว่าคนไทย แขนข้างหนึ่งถูกแม่ (เข้าใจหมายถึงนายกฯ ปู) ฉุดแล้วพูดว่ามา...ลงทะเลกับแม่ แขนข้างขวาก็มีมือพ่อ (น่าจะหมายถึงอภิสิทธิ์) บอกว่ามานี่เข้าถ้ำกับพ่อ



ภาพได้สะท้อนความคิดสุดโต่งทั้ง 2 ฝ่าย ข้างแม่ก็จะพาลูกออกทะเลเพราะลงทุนระบบราง 2 ล้านล้านบาท เริ่มมีคำถามเว่อร์ไปหรือไม่ กลัวลงทุนไม่คุ้มค่า ขณะที่พ่อไม่คิดจะออกจากถ้ำอยู่แต่ในโลกทั้งแคบทั้งมืด อันที่จริงโครงการลงทุนครั้งนี้ ไม่ใช่ดีจนไร้ข้อสงสัย แต่ไม่เลวร้ายจนหาส่วนดีไม่เจอ



ยังไงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็ยังจำเป็นจากการจัดอันดับศักยภาพการแข่งขันของไทยในเวทีโลก ระบบสาธารณูปโภคเราหล่นลงเรื่อยๆ แต่คำถามทำอย่างไรให้การลงทุน "พอดี" สมเหตุสมผลกับฐานะของประเทศและสอดคล้องกับการใช้งานจริงๆ ไม่ใช่คิดลอยๆ



ส่วนตัวเห็นด้วยแต่ตั้งข้อสังเกตว่า งบฯ ลงทุนออกแนว "เว่อร์" ไปหน่อย จำเป็นแค่ไหนที่จะลงทุนรวดเดียว 2 ล้านล้านบาท น่าจะประเมินฐานะตัวเองว่าพร้อมหรือไม่ เผื่อเหลือเผื่อขาดสำหรับรับมือวิกฤตในอนาคตหรือไม่ ทำไมไม่ทยอยลงทุนเฉพาะโครงการที่จำเป็นเร่งด่วนจริงๆ อย่างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยังคิดไม่ออกว่าจะแข่งกับแอร์เอเชีย นกแอร์ได้อย่างไร



เมื่อราว 9 ปีก่อนเคยไปดูงานเกาะฮอกไกโด คนญี่ปุ่นบอกว่ารัฐบาลได้สร้างรถไฟความเร็วสูงผ่านทางอุโมงค์ที่อยู่ใต้ทะเลจากกรุงโตเกียวมาฮอกไกโดใช้เวลา 6 ชั่วโมง



ปรากฏขาดทุนยับเพราะคนหันมานั่งเครื่องบินเสียเวลาแค่ชั่วโมงเดียวราคาก็พอๆ กัน หรือสายกรุงเทพฯ-หนองคายไม่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อพอหรือไม่ ตัวอย่างมากมายที่มีให้เห็นรัฐบาลทั่วโลกที่ลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูงขาดทุนจนต้องแปรรูปทุกราย



ยิ่งน่าห่วงรัฐบาลกู้เงินก้อนโตยามเศรษฐกิจโลกผันผวนถือว่าเสี่ยงยิ่งหากวิกฤตที่เกิดขึ้นภายในประเทศยิ่งน่ากลัว ใครจะรู้ว่าในอีก 50 ปีข้างหน้าจะเกิดวิกฤตแบบต้มยำกุ้งอีกกี่ครั้ง ถึงตอนนั้นหนี้จะเด้งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว



เห็นด้วยที่เราควรจะออกจากถ้ำแต่ก็อันตรายหากออกทะเลแบบหาทางกลับฝั่งไม่เจอ

หน้า 8

อีกบทความครับ

กำไรสายเดียว

หลังผ่านสภาฯวาระแรกไปแล้วอย่างสะดวกโยธิน ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศระยะ 7 ปี ก็เข้าสู่การแปรญัตติในขั้นกรรมาธิการ

“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าเป็นโอกาสเดียวที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทให้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์

ให้คุ้มค่าที่สุดกับที่ประเทศต้องแบกหนี้ก้อนโตถึง 50 ปี

ในการประชุมคณะกรรมาธิการนัดแรก เมื่อวานซืน ได้มีมติเลือก กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลังเป็นประธาน

โดยมี กรณ์ จาติกวณิช, จาตุรนต์ ฉายแสง, วราเทพ รัตนากร, วิทยา แก้วภราดัย และไพจิตร ศรีวรขาน เป็นรองประธานกรรมาธิการ กำหนดประชุมสัปดาห์ละ 2 วัน

คาดว่าการปะทะกันยก 2 ต้องมันยกร่องอย่าบอกใคร

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าฝ่ายค้านต้องปรับกระบวนท่าการต่อสู้เสียใหม่ให้เหมาะกับสถานการณ์

ต้องเลิกวิธีค้านแบบเดิมๆที่มุ่งคว่ำร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ทั้งฉบับไม่ให้คลอดผ่านสภาฯอ้างว่าขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ

เพราะการคว่ำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไม่ให้ผ่านออกมาใช้ เท่ากับหยุดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศอย่างสิ้นเชิง

ฝ่ายค้านจะกลายเป็นอุปสรรคการพัฒนาประเทศเสียเอง

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าเมื่อร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลผ่านสภาฯ ยกแรกไปแล้วอย่างสะดวกโยธิน

ในยกที่ 2 ฝ่ายค้านต้องแปรญัตติเฉพาะบางโครงการที่ใช้เงินลงทุนสูง  และมีแนวโน้มว่าไม่คุ้มการลงทุน

ถ้าเหตุผลของฝ่ายค้านมีน้ำหนัก สามารถหักล้างเหตุผลของรัฐบาลอย่างชัดเจน กระแสสังคมจะช่วยกดดันให้รัฐบาลต้องยอมทบทวนโครงการก่อนส่งกลับเข้าสภาฯในวาระต่อไป

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าในบรรดาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านขนส่งและคมนาคมที่บรรจุอยู่ในแผนการ ลงทุนระยะ 7 ปี

เป็นโครงการที่มีประโยชน์ ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยที่ล้าหลังคู่แข่งไปหลายช่วงตัว

ยกเว้น...โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 4 สาย ที่มีเสียงท้วงติงจากหลายฝ่ายว่าอาจไม่คุ้มค่าการลงทุน

แถมเสี่ยงต่อการขาดทุนทั้งระยะสั้น และระยะยาว

ฉะนั้น ฝ่ายค้านควรเน้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูงโครงการเดียว

“แม่ลูกจันทร์” ยอมรับว่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเป็นโครงการที่ดี แต่เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงเกือบเจ็ดแสนล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล

ถ้าจะชะลอโครงการนี้ออกไปก่อนจะลดภาระหนี้บวกดอกเบี้ยไปอีกก้อนโต

แถมย่นเวลาการผ่อนชำระหนี้อีกไม่ต่ำกว่า 10 ถึง 15 ปี

“แม่ลูกจันทร์” เห็นด้วยกับข้อเสนอของ ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ อดีตประธานทีดีอาร์ไอ ที่ชี้ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงทั้ง 4 สาย มีสายกรุงเทพฯ–เชียงใหม่ เท่านั้นที่มีแนวโน้มว่าจะไม่ขาดทุน

เพราะระยะทางเหมาะสม คือประมาณ 600 กม.

เวลาเดินทางเหมาะสม คือไม่เกิน 3 ชั่วโมง

เปรียบเทียบรถไฟชิงกันเซ็น สายโอซากา–โตเกียว เป็นฐานพิจารณา พบว่าคน 80 เปอร์เซ็นต์เลือกเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงมากกว่าเดินทางโดยเครื่องบิน

จุดแข็งของรถไฟความเร็วสูงคือค่าโดยสารถูกกว่าเครื่องบิน

สามารถเดินทางจากกลางเมืองไปถึงปลายทางที่กลางเมือง

แตกต่างจากเครื่องบินที่ต้องเดินทางไปสนามบิน และเมื่อถึงที่หมายก็ต้องเดินทางต่อเข้าไปถึงกลางเมือง

“แม่ลูกจันทร์” ฟันธง ถ้ารัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงก็ควรเริ่มเฉพาะสายกรุงเทพฯ–เชียงใหม่ สายเดียว

ส่วนสายกรุงเทพฯ–หัวหิน กรุงเทพฯ–โคราช และกรุงเทพฯ–ระยอง มีโอกาสขาดทุนริดสีดวงบาน

อย่าเสี่ยงดีกว่าโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

ไทยรัฐ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่