คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 17
ตอบข้อ 1
ท่านไม่ต้องแคร์หรอกว่าจะกู้มาจากไหน คนส่วนมากยังเข้าใจเรื่องการกู้เงินแบบผิดๆ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลตัดสินใจกู้มาแล้ว ท่านต้องมาแบกรับภาระจ่ายหนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น (คำว่าหนี้ต่อหัวมันคือ วาทะกรรม เพื่อหวังผลทางการเมือง ) การจ่ายเงินกู้ก็เอาเงินภาษี หรือ เงินได้จากการส่งออกนั่นแหละไปจ่าย ไม่ใช่ว่าเพราะไปกู้มาท่านถึงต้องเสียภาษี ถึงไม่กู้ท่านก็เสียอยู่แล้ว และถึงกู้ท่านก็ไม่ได้เสียภาษีมากขึ้นแต่อย่างใด ตราบเท่าที่ รายรับประเทศมากกว่ารายจ่าย (รายรับ = ส่งออก + ท่องเที่ยว + เงินลงทุนต่างประเทศ ) (รายจ่าย = นำเข้า + เที่ยวต่างประเทศ + ลงทุนต่างประเทศ + จ่ายหนี้ ) การบริหารเงินมันต้องมองภาพรวมทั้งระบบ มันก็มีโครงการที่ขาดทุนและได้กำไร แต่เงินที่นำมาใช้ในกิจการในประเทศเงินก็ไม่ออกไปไหน หมุนเวียนอยู่ในประเทศ ( จะเห็นว่ารัฐบาลพยายามส่งเสริมท่องเที่ยวในประเทศ เพราะเงินไม่รั่วไหล ) พอเงินหมุนในประเทศรัฐบาลก็ได้เงินกลับมาในรูปแบบการเก็บภาษี รัฐบาลจ่ายมากก็แปลว่าประชาชนมีรายได้มากขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้นก็ต้องเสียภาษีมากขึ้นเช่นการ ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนสร้าง โครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่เงินหายไปเลยๆ แต่หมายความว่าท่านได้โครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านมา ซึ่งมูลค่า 2 ล้านล้านในตอนนี้มันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ( เหมือนท่านกู้เงินไปซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ท่านก็ได้รถมาเป็นทรัพสินย์ ท่านสามารถนำไปขายต่อ หรือบริหารต่อได้ เช่น นำรถไปทำเป็น Taxi หารายได้ หรือ เอาคอนโดไปปล่อยเช่า หรือขายกินกำไรในอนาคต 9ล9 ) ตรงข้ามกับการกู้เงินของโครงการ "ใครเข้มแข็ง" ที่ของที่ได้มาไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ( เช่นเสาธงต้นละ 5 แสนมันดีกว่าเสาธง ธรรมดาอย่างไรทำไมต้องซื้อถึง 5 แสน หรือ งบสร้างโรงพักที่ได้มาแต่เสา ถ้าอยากใช้ต้องเอาเงินไปลงทุนต่อให้เป็นโรงพักขึ้นมา )
ตอบข้อ 2
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก (ตัวอย่างง่ายๆเช่นรถไฟฟ้า ตัดผ่าไปที่ไหน แถวนั้นที่ดินราคาขึ้น มีตึกรามบ้านช่องเกิดขึ้นมาเพียบ )
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น การเดินทางที่สะดวกช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้า หรือ การเดินทางติดต่อธุรกิจ ( ลองถามตัวเองว่า ทำไมอุตสาหกรรมถึงอยู่ แถว ชลบุรี กรุงเทพ เพราะการติดต่อธุรกิจสะดวกกว่าใช่หรือไม่ เพราะใกล้ท่าเรือ ใกล้สนามบิน เพื่อใช้กระจายสินค้าใช่หรือไม่) ถ้าการคมนาคม การขนส่งสะดวกและรวดเร็ว บริษัท ห้างร้าน หรือ โรงงานอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กรุงเทพอีกต่อไป พอมีการลงทุนกระจายไปตามต่างจังหวัดในเส้นทางที่คมนาคมสะดวก การจ้างงานก็ตามมา พอมีการจ้างงานมากขึ้นในต่างจังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพอีกต่อไป ( ท่านที่อยู่ต่างจังหวัด ลองถามตัวเองว่า ท่านมาทำงานในกรุงเทพเพราะเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ใช่หรือไม่ ) พอไม่จำเป็นต้องมาทำงานในกรุงเทพ ความหนาแน่นประชากรลดลง ปัญหาการจราจรในกรุงเทพก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ในระยะยาว เป็นการกระจายความเจริญสู้ภูมิภาคอย่างแท้จริง (ตอนนี้ยังเหมือนเป็นการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง ซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว )
ตอบข้อ 3
ข้อเสียที่ชัดเจนที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การให้การรถไฟบริหาร ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า บริหารแย่แค่ไหน (เชื่อหรือไม่ถ้า แอรพอร์ทลิงค์เป็น รางคู่ตลอดสายและ มีการเดินรถสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอนาน คนใช้บริการจะมากขึ้นอย่างมาก ไม่รู้คิดได้ยังไง ทำแอร์พอร์ตลิงค์บางช่วงเป็นรางเดี่ยว ทำให้ต้องเสียเวลาจอดรอให้รางว่าง เกิดปัญหาล่าช้าเสียเวลา เดินรถจำนวนมากก็ไม่ได้เพราะ รางเต็ม ) ซึ่งถ้าถึงเวลาจริงเป็นการรถไฟบริหาร โอกาศเจ๊งค่อนข้างสูง แทนที่จะได้กำไรรายได้จากส่วนนี้กลับต้องเสียงบประมาณในการดำเนินการและบำรุงรักษาแทน เหมือน รัฐวิสาหกิจ บางรายที่ไม่สามารถหากำไรได้ยังคงต้องใช้เงินสนับสนุนจากภาครัฐ และข้อเสีย ของรัฐวิหาหกิจพวกนี้คือ การบริหารงานเหมือนราชการ คนอายุราชการมากแต่ไม่มีความสามารถได้เงินเดือนสูงไม่คุ้มความสามารถ และการ คอรัปชั่นในรัฐวิสาหกิจค่อนข้างเยอะ คนมีความสามารถอยู่ไม่ค่อยได้เพราะ อาศัยระบบอาวุโสในการบริหาร ซึ่งบางครั้งไอ้ผู้อาวุโสนิ ความคิดมันตกยุคไปแล้ว (ไม่แปลกใจใช่หรือไม่ว่า หน่วยราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ มีการบริหารงานแบบ เต่าล้านปี)
ท่านไม่ต้องแคร์หรอกว่าจะกู้มาจากไหน คนส่วนมากยังเข้าใจเรื่องการกู้เงินแบบผิดๆ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลตัดสินใจกู้มาแล้ว ท่านต้องมาแบกรับภาระจ่ายหนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น (คำว่าหนี้ต่อหัวมันคือ วาทะกรรม เพื่อหวังผลทางการเมือง ) การจ่ายเงินกู้ก็เอาเงินภาษี หรือ เงินได้จากการส่งออกนั่นแหละไปจ่าย ไม่ใช่ว่าเพราะไปกู้มาท่านถึงต้องเสียภาษี ถึงไม่กู้ท่านก็เสียอยู่แล้ว และถึงกู้ท่านก็ไม่ได้เสียภาษีมากขึ้นแต่อย่างใด ตราบเท่าที่ รายรับประเทศมากกว่ารายจ่าย (รายรับ = ส่งออก + ท่องเที่ยว + เงินลงทุนต่างประเทศ ) (รายจ่าย = นำเข้า + เที่ยวต่างประเทศ + ลงทุนต่างประเทศ + จ่ายหนี้ ) การบริหารเงินมันต้องมองภาพรวมทั้งระบบ มันก็มีโครงการที่ขาดทุนและได้กำไร แต่เงินที่นำมาใช้ในกิจการในประเทศเงินก็ไม่ออกไปไหน หมุนเวียนอยู่ในประเทศ ( จะเห็นว่ารัฐบาลพยายามส่งเสริมท่องเที่ยวในประเทศ เพราะเงินไม่รั่วไหล ) พอเงินหมุนในประเทศรัฐบาลก็ได้เงินกลับมาในรูปแบบการเก็บภาษี รัฐบาลจ่ายมากก็แปลว่าประชาชนมีรายได้มากขึ้น ประชาชนมีรายได้มากขึ้นก็ต้องเสียภาษีมากขึ้นเช่นการ ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนสร้าง โครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่เงินหายไปเลยๆ แต่หมายความว่าท่านได้โครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านมา ซึ่งมูลค่า 2 ล้านล้านในตอนนี้มันจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ( เหมือนท่านกู้เงินไปซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ท่านก็ได้รถมาเป็นทรัพสินย์ ท่านสามารถนำไปขายต่อ หรือบริหารต่อได้ เช่น นำรถไปทำเป็น Taxi หารายได้ หรือ เอาคอนโดไปปล่อยเช่า หรือขายกินกำไรในอนาคต 9ล9 ) ตรงข้ามกับการกู้เงินของโครงการ "ใครเข้มแข็ง" ที่ของที่ได้มาไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ( เช่นเสาธงต้นละ 5 แสนมันดีกว่าเสาธง ธรรมดาอย่างไรทำไมต้องซื้อถึง 5 แสน หรือ งบสร้างโรงพักที่ได้มาแต่เสา ถ้าอยากใช้ต้องเอาเงินไปลงทุนต่อให้เป็นโรงพักขึ้นมา )
ตอบข้อ 2
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมเป็นการกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก (ตัวอย่างง่ายๆเช่นรถไฟฟ้า ตัดผ่าไปที่ไหน แถวนั้นที่ดินราคาขึ้น มีตึกรามบ้านช่องเกิดขึ้นมาเพียบ )
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น การเดินทางที่สะดวกช่วยลดเวลาในการขนส่งสินค้า หรือ การเดินทางติดต่อธุรกิจ ( ลองถามตัวเองว่า ทำไมอุตสาหกรรมถึงอยู่ แถว ชลบุรี กรุงเทพ เพราะการติดต่อธุรกิจสะดวกกว่าใช่หรือไม่ เพราะใกล้ท่าเรือ ใกล้สนามบิน เพื่อใช้กระจายสินค้าใช่หรือไม่) ถ้าการคมนาคม การขนส่งสะดวกและรวดเร็ว บริษัท ห้างร้าน หรือ โรงงานอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้กรุงเทพอีกต่อไป พอมีการลงทุนกระจายไปตามต่างจังหวัดในเส้นทางที่คมนาคมสะดวก การจ้างงานก็ตามมา พอมีการจ้างงานมากขึ้นในต่างจังหวัด ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานในกรุงเทพอีกต่อไป ( ท่านที่อยู่ต่างจังหวัด ลองถามตัวเองว่า ท่านมาทำงานในกรุงเทพเพราะเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ใช่หรือไม่ ) พอไม่จำเป็นต้องมาทำงานในกรุงเทพ ความหนาแน่นประชากรลดลง ปัญหาการจราจรในกรุงเทพก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ในระยะยาว เป็นการกระจายความเจริญสู้ภูมิภาคอย่างแท้จริง (ตอนนี้ยังเหมือนเป็นการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง ซึ่งมันล้าสมัยไปแล้ว )
ตอบข้อ 3
ข้อเสียที่ชัดเจนที่ปฏิเสธไม่ได้คือ การให้การรถไฟบริหาร ซึ่งผลงานที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่า บริหารแย่แค่ไหน (เชื่อหรือไม่ถ้า แอรพอร์ทลิงค์เป็น รางคู่ตลอดสายและ มีการเดินรถสม่ำเสมอ ไม่ต้องรอนาน คนใช้บริการจะมากขึ้นอย่างมาก ไม่รู้คิดได้ยังไง ทำแอร์พอร์ตลิงค์บางช่วงเป็นรางเดี่ยว ทำให้ต้องเสียเวลาจอดรอให้รางว่าง เกิดปัญหาล่าช้าเสียเวลา เดินรถจำนวนมากก็ไม่ได้เพราะ รางเต็ม ) ซึ่งถ้าถึงเวลาจริงเป็นการรถไฟบริหาร โอกาศเจ๊งค่อนข้างสูง แทนที่จะได้กำไรรายได้จากส่วนนี้กลับต้องเสียงบประมาณในการดำเนินการและบำรุงรักษาแทน เหมือน รัฐวิสาหกิจ บางรายที่ไม่สามารถหากำไรได้ยังคงต้องใช้เงินสนับสนุนจากภาครัฐ และข้อเสีย ของรัฐวิหาหกิจพวกนี้คือ การบริหารงานเหมือนราชการ คนอายุราชการมากแต่ไม่มีความสามารถได้เงินเดือนสูงไม่คุ้มความสามารถ และการ คอรัปชั่นในรัฐวิสาหกิจค่อนข้างเยอะ คนมีความสามารถอยู่ไม่ค่อยได้เพราะ อาศัยระบบอาวุโสในการบริหาร ซึ่งบางครั้งไอ้ผู้อาวุโสนิ ความคิดมันตกยุคไปแล้ว (ไม่แปลกใจใช่หรือไม่ว่า หน่วยราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ มีการบริหารงานแบบ เต่าล้านปี)
แสดงความคิดเห็น
ขอถามข้อดี ข้อเสีย เรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้าน บาท ครับ
จึงอยากขอเก็บข้อมูลจากความคิดเห็นในนี้บ้างครับว่ามีความเห็นอย่างไรบ้างในคำถาม 3 คำถามจากนี้ครับ
1.เงินกู้นี้กู้จากไหนครับต่างประเทศหรือ IMF อีกหรือเปล่า
/ หรือวงเงินกู้ที่สูงขนาดนี้สามารถกู้กับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ไหมครับ
2. ข้อดีของการกู้เงิน 2 ล้านล้าน คืออะไรครับขอเหตุผลที่ดีที่สุด 1 ข้อ
*ยกเว้นเรื่องสร้างระบบขนส่งรถไฟความเร็วสูง
อ้อ มาเพิ่มอีกนิดครับ จะได้ยินคำว่าหนี้ต่อหัวคนละหมื่น เกิดมารับเลยหนี้หมื่นนึง คห ส่วนตัวคิดว่ามันเหมือนกับการคิดแบบไม่ค่อยมีวิศัยทัศเท่าไหร่เลยครับ
3.ข้อเสียคืออะไรครับ ขอเหตุผลที่ดีที่สุด 1 ข้อ
*ยกเว้นเรื่องการโกงกินเงินก้อนนี้ของนักการเมือง
ขอบคุณสำหรับการแชร์ความคิดเห็นครับ