ถ้าไปบวชแล้วเกิดอารมณ์ทางเพศ?

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลยผมต้องกราบขอโทษ ที่ถามอะไรไม่สร้างสรรค์ แต่คือผมอยากรู้จิงๆ ว่าพระที่ท่านบวชกันนานๆ เกิดอารมณ์ทางเพศกันบ้างไหม แล้วถ้ามีเขามีวิธีแก้ยังไง ปลดปล่อยได้ไหม?  ขอบคุณครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
การบวชไม่ใช่ของง่ายที่คนทั่วไปทำได้หรอกครับ สิ่งที่ยากที่สุดคือเรื่องนี้แหละ เรื่องกินเรื่องอยู่นี่เรื่องเล็ก แต่กามกำหนัดนี่เรื่องใหญ่เลย หลาย ๆ คน สู้ไม่ได้จำต้องออกจากผ้าเหลืองไป แทบจะทั้งหมดก็เพราะเรื่องกามกำหนัดนี้แหละครับ  ดังนั้นใครคิดว่าเป็นพระแล้วสบายคิดใหม่เลยครับ  (อันนี้หมายถึงบวชเพื่อเป็นพระจริง ๆนะครับ ไม่ใช่เป็นอลัชชีละเมิดวินัย อยู่กินไปวัน ๆ )  สิ่งที่ท่านต้องต่อสู้หนักหนามาก  ดังนั้นใครไปกล่าวหาท่านว่าเป็นขอทานโดยเฉพาะคนต่างศาสนา พึงระลึกรู้ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่กินฟรี ๆ ง่าย ๆ งานที่ท่านต้องทำแลกคือเข้าสู้กับกิเลสสุดฝีมือ  สละความสุขที่ละได้ยาก เอาชีวิตเข้าแลกกันไปเลย ไม่เหมือนนักบวชบางศาสนาที่มีคู่ครองปฏิบัติกามกิจกันได้ตามสบาย    

การบวชถ้าแค่บวชตามประเพณีไม่กี่อาทิตย์ ไม่กี่เดือน อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ใช้วิธีทนเอา เดี๋ยวก็ชินเอง และใจมันรู้ว่าเดี๋ยวสึกไปก็ได้เสพย์ มันก็ทนได้สบาย ๆ กิเลสดูเหมือนลูกแมว  แต่ถ้ากะบวชยาวกันตลอดชีวิตอันนี้เรื่องใหญ่มากครับ เพราะใจมันรู้ว่า มันจะไม่ได้ทำอีกแล้ว บางคนบอกว่ากิเลสที่เคยคิดว่าจะเบาบางเพราะเคยถือศีลแปดอะไรกันมา พอต้องจะต้องไปใช้ชีวิตแบบนักบวชจริง ๆ กิเลสมันจะแสดงตัวอย่างกับพญามังกรเลยทีเดียว เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ กลายเป็นเครื่องกระตุ้นกิเลสไปได้เสียหมด ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงได้ขนาดนี้  

ดังนั้นการจะบวชกันตลอดชีวิตและจะสู้กามราคะได้นั้นมีเพียงสถานเดียวคือ ต้องมุ่งปฏิบัติธรรมลูกเดียวชีวิตที่มีต้องทุ่มให้กับการปฏิบัติเท่านั้น มีปีติสุขเอกัคคตาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา โดยเฉพาะยิ่งเล่นให้ถึงฌานให้ได้ก็จะช่วยไปได้มาก เพราะสุขจากฌานเป็นปฏิปักษ์กับกาม  ถ้าได้ฌานจะไม่อยากกามเลย  แต่ก็ระงับได้เป็นคราว ๆ  การจะข้ามเรื่องเพศไปได้อย่างเด็ดขาดต้องปฏิบัติจนได้พระอนาคามีเท่านั้น  เหมือนจะเคยได้ยินว่า สมัยก่อนโดยมากแล้ว เขาจะนิยมออกบวชเมื่อได้โสดาบันหรือสกทคามีขึ้นไปแล้ว
ความคิดเห็นที่ 22
... ขออนุญาตในการแสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ ท่านเจ้าของกระทู้

... เรื่องกามราคะ ..สำหรับมนุษย์ปกติทั่วไป ..มีกันทุกคนละครับ (แต่มันสามารถระบายออกได้ จึงไม่ค่อยเป็นประเด็นมากนัก ..ถ้าควบคุมตนเองไม่ให้ละเมิดศีลข้อ 3 ยินดีในคู่ของตน ..อันนี้ไม่เดือดร้อนแน่)


... สำหรับผู้ที่รักษาศีล 8 หรือบวชเป็นพระหรือสามเณรก็ดี ..จะถือศีลพรหมจรรย์ ..พูดง่ายๆ ว่า ..อวัยวะเพศมีหน้าที่แค่เอาไว้ขับถ่ายของเสีย คือ ปัสสาวะ เพียงอย่างเดียวครับ


... ถามว่า ..หากเกิดอารมณ์ทางเพศทำอย่างไร? ..จะแนะนำให้ตามประสพการณ์ที่ผมปฏิบัติมานะครับ


... สิ่งที่ต้องพึงระวังอย่างมาก ในระหว่างนั้น ..เมื่อร่างกายมันอยากระบายถึงขีดสุด ..ร่างกายมันจะกระตุ้นทำให้เราเกิดความคิดในเรื่องกามบ่อยมากๆ ..เช่น ความฝันในรูปที่เราพึงใจ หรือมีกิจกรรมในการเสพกาม , ย้อนนึกถึงผัสสะจากการถูกต้องสัมผัสอวัยวะเพศและความผ่อนคลายจากการปลดปล่อย, ความสนใจในเพศตรงข้ามมากกว่าปกติ หรือแย่กว่านั้นก็ คือ ในบางความคิดมันอยากจะไปลงที่สิ่งอื่นๆ ไปเลย เช่น สัตว์หรือสิ่งของ เป็นต้น (สรุปง่ายๆ ..ฟุ้งซ่านในเรื่องกามครับ) ..ซึ่งมันจะกลายเป็นไฟเผาหัวใจและร่างกายให้คุณทุรนทุรายไปกับมันเลยครับ

... ดังนั้นเพื่อการรับมือ ..คุณต้องมีวิธีบริหารทั้งร่างกาย และจิตใจที่พร้อมรับมือกับมันครับ

ด้านร่างกาย

... กินอาหารให้เพียงพอต่อร่างกาย ...อย่าให้มากเกินไป  ..เพราะจากที่ผมสังเกตตนเองดู ..ช่วงนี้ผมฝึกทานมื้อเดียวมาเกือบๆ 1-2 เดือน ..ผลจากการผ่อนอาหาร ..ปรากฏว่า ..ใช้เวลาเกือบๆ 2 เดือน น้ำกามจะเคลื่อนเอง ..โดยร่างกายขับออกมาตามธรรมชาติ (ไม่ได้เกิดจากฝันเปียก หรือช่วยตนเองแต่ประการใดทั้งสิ้น) ..ก่อนหน้านั้นที่ไม่เคยคุมเรื่องอาหาร .. เมื่อทานอาหารมากเกินความจำเป็น ไม่เกิน 25-30 วันก็เรียบร้อยครับ (สรุปง่ายๆ ว่า ..หากลดอาหารลง ..รอบแห่งการกระตุ้นจะใช้เวลานานมากขึ้น ..ในหนึ่งปีคุณก็จะไม่ค่อยโดนกวนบ่อยมากครับ)

... การออกกำลังกาย ทำงานหนักๆ ..เพื่อลดพลังงานในส่วนที่เกิน ..เช่น กวาดลานวัด, ล้างห้องขี้ห้องเยี่ยว (อันนี้มีแถมอสุภะให้ด้วย), เดินจงกลมเป็นเวลานานๆ, หากิจกรรมอื่นๆ ทำ ..อย่าให้เราอยู่ตัวคนเดียวหรืือกับคนที่เราพึงใจในที่ลับหูลับตา เป็นต้น (ตอนหลวงปู่เจี๊ยะท่านโดน ท่านเอาขวานทื่อจามขอนไม้อยู่นาน จนท่านเพลีย ทำไปเพ่ือลดความต้องการลงแบบปัจจุบันทันด่วนเลยครับ)

... การสำรวมในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ..พูดง่ายๆ อย่าพยายามเข้าไปแหล่งที่ไม่สมควรครับ ..ตาก็อย่าไปเที่ยวสอดส่ายมองดูแต่ความสวยงาม ..หูก็อย่าไปสอดส่ายหาเรื่องรักๆใคร่ๆมาใส่หู ..กลิ่นหอม ก็ไม่ต้องเที่ยวไปพิสูจน์ความหอมของใครๆเขา  ..ใจหรือการระวังความคิด ก็อย่าไปคิดวิพากวิจารย์สัดส่วนความสวยงาม คิดฟุ้งซ่านในเรื่องรักๆใคร่ๆ หรือต้องหมั่นเตือนตนเองเสมอว่าเราเป็นพระ

ด้านจิตใจ

... ต้องหมั่นพิจารณาความไม่งาม ..ความสกปรก ความเหม็นเน่า ของร่างกายตนเองครับ ..ตอนไม่อาบน้ำเคยเอามือควักรักแร้มาดมใหมครับ? ..ตอนถ่ายอุจจาระเคยเอามือตนที่ล้วงไปขึ้นมาดูมาดมใหมครับ? ..กลิ่นปัสสาวะตอนหมักหมมเหม็นเน่าเคยดมตอนเข้าไปใช้ตอนห้องน้ำสาธารณะใหมครับ? ..ตรงนี้สัมผัสจริง และให้พิจารณาเอาเลยครับ ..มีมนุษย์ทั่วไป หากไม่อาบน้ำ มีขี้ มีเยี่ยว ไม่เอาน้ำหอมมาพรม ..มันก็เป็นอย่างนี้ทุกคนนั่นแหละครับ

... ดูศพในรูปแบบต่างๆ เช่น ศพบวมเขียว มีน้ำหนองน้ำเลือด หนอนกิน ตาถลน โดนสัตว์แทะแหว่งๆ เว้าๆ ร่างขาดเป็นท่อนๆ จนกลายเป็นซากกระดูก ค่อยๆ ผุพังไปจนกลายเป็นฝุ่นผง ..ภาพตามเน็ทเยอะแยะ ..หรือไปดูชำแหละของจริงตามที่ชันสูตรศพ .. อันนี้ยาขนานแรงครับ

... ถ้าดีกว่านั้น ..คือ ต้องฝึกสติสัมปชัญญะ ให้พร้อม ..เมื่อเห็นการกระทบหรือผัสสะ ..ตาเห็นรูปที่พึงใจ หูได้ยินเสียงน่าหลงใหล จมูกได้กลิ่นที่หอม ลิ้นสัมผัสรสชาตที่ชื่นชอบ กายสัมผัสความนิ่มนวล หรือความคิดเรื่องกามที่เกิดขึ้นในใจ ..เมื่อเรารู้แล้วว่าจะนำไปสู่ผลที่เผาใจเร่าร้อน ..ก็ต้องละความสนใจในสิ่งนั้นๆ ลง ..อย่ารอให้มันคิดทบทวนปรุงแต่งจนควบคุมไม่ได้ ..ระงับได้เร็วเท่าไหร่ก็ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น (การระงับ อาจใช้การนึกถึงความไม่งามที่เราเคยฝึกมาในข้อแรกๆ ช่วยครับ หรืออาจใช้การเดินจงกลม นั่งสมาธิประกอบกัน)

... ถ้าดียิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก ..คือ พิจารณาถึงความทุกข์โทษที่เกิดจากกาม ..ดูความร้อนที่เผาใจให้เราทุรนทุราย อึดอัด คับข้อง ..เมื่อเรามีสติ หมั่นสังเกตุมากๆ เข้า ..มันจะเริ่มเบื่อหน่ายกับสิ่งนั้น ..ดูเท่าไหร่ๆ ก็ทุกข์ทั้งนั้น ..จนจิตมันจะเริ่มคลายลง คือ ต่อให้เกิดกามขึ้น ก็ไม่ค่อยจะอยากเท่าที่ควรแล้ว ..จนท้ายสุดแม้ความสนใจ ในสิ่งที่เป็นกามคุณก็จะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ..ถึงตอนนั้นใจคุณก็โปร่งเบา มีความสุขจากการลดละกามได้แล้วครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่