ลงทุนมา 8 ปีถึงตอนนี้เอาทุนออกได้แล้วครับ

กระทู้สนทนา
ลงทุนมา 8 ปี มีเงินเท่าไหร่ หักค่าใช้จ่ายส่วนตัวเหลือกี่บาท ก็แบ่งใส่ลงไปในหุ้นตลอดไม่เคยเก็บไว้ในแบงค์ ทั้งปันผล ทั้งเงินเดือน
ถึงตอนนี้ผมคิดว่า ผลของการ keep investing ของผมมันเริ่มเห็นผลมาบ้างแล้ว ก็เลยอยากจะขอแชร์ประสบการณ์ให้อ่านกันสักหน่อย

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่ใช่แนว vi แท้ๆ หรือ แนว technical จ๋านะครับ เพราะการซื้อและขายหุ้นของผมก็แหกทั้งสองแนวนี้ประจำ ยังไม่มีจุดยืนที่ชัดๆ ยังเล่นได้ทั้งหุ้นเน่าที่คาดว่าจะดีและหุ้นดีอยู่ แต่ไม่เล่นหุ้นเน่า เอาเป็นว่าผสมๆกันทั้งสองแบบละกัน...ท้าวความสักหน่อยละกันครับว่า เริ่มลงทุนจริงๆจังๆมาตั้งแต่ปี 2005 ..และช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่มาก เพราะขาดทุนเละเทะมาตลอดยันปี 2008 เลย ตัวเลขทางการเงินอะไร ก็ดูไม่เป็นเลย เทคนิคก็งูๆปลาๆ ไหนจะเจอทั้งการเมืองเขย่าหุ้น เจอทั้งตุ๋ยร้อยจุด แฮมเบอร์เกอร์ สารพัด แถมดวงไม่ดีเรื่องคนอีก เจอทั้งเซียนจอมปลอม กระเทยสองหน้า แฝงตัวมาในเวปบอร์ด เพื่อหลอกเชียร์หุ้น ทำให้ช่วงปี 2007 น่าเป็นช่วงที่มีกำไรบ้างแต่ก็ไม่กำไร

ตอนเล่นใหม่ๆ เจอหุ้นเน่า ผมยังไม่รู้เลยว่ามันเน่า รู้แค่ว่ามันถูก หุ้นอะไร หลักสตางค์ 2 ตัวบาท 3 ตัวบาท หรือ 3 ตัวสิบ 6 ตัวสิบ ก็หาเล่นแต่หุ้นพวกนี้ละครับ วอร์ก็เล่น ถือมาจนเป็นเศษกระดาษเลยก็มี...ช่วงนั้นหาแต่หุ้นประเภทนี้แหละโดยหารู้ไม่ว่า หายนะ กำลังมาเยือน...อีกอย่างตอนนั้นสนใจซื้อหุ้นตามกราฟมากกว่าพื้นฐานด้วย เลยยิ่งไปกันใหญ่เพราะไอ้เส้นกราฟเราก็แค่มือใหม่ จริงๆช่วงนั้นหนังสือแนวลงทุนก็ซื้อมาอ่านนะครับ แต่ก็ไม่ค่อยเก็ตหรอก ผิดทางอยู่ 4 ปี

จุดเปลี่ยนสำคัญ ก็คงต้องบอกว่าคงเป็นช่วงหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นี่แหละ ที่มาเริ่มศึกษาความถูกความแพงของหุ้นอย่างจริงจังมากทั้ง P/E P/BV PEG ROE ROA GPM NPM EBIT/DA CF FCF D/E dept replacement cost ต่างๆ (เน้นเลยครับว่าค่าพวกนี้สำคัญมาก ควรจะดูให้เป็น ใช้ให้เป็น) หรือการหัดดูงบกำไรขาดทุน ดูที่มาของรายรับ รายจ่าย ดูงบดุล และงบกระแสเงินสดอย่างคร่าวๆ ส่วนนึงเพราะตอนนั้นรู้สึกแล้วว่ากราฟคงช่วยไม่ได้แล้ว เพราะหุ้นเกือบทุกตัว กราฟมันเรี่ยดินหมดทุกตัว ไม่รู้ว่าตัวไหนแพงหรือถูก และช่วงนั้นพอร์ตก็แดงก่ำ ติดหุ้นทุกตัวอีก ไม่รู้จะซื้อเฉลี่ยตัวไหน โละตัวไหนทิ้ง หรือเข้าตัวไหนแทน เงินทุนที่ลงมาก็หายไปเกินครึ่ง  และยังโชคดีที่เรายังเป็นมนุษย์เงินเดือนยัง keep investing ต่อไป  จนตั้งแต่ปี 2009 ปลายปี พอเริ่มรู้จักตัวเลขต่างๆนี้มากขึ้น มีประสบการณ์ดูกราฟมากขึ้น...พอร์ตก็เริ่มดีขึ้นมาตลอด...จนปัจจุบัน สามารถดึงเงินทุนออกมาเกือบหมดแล้ว เหลือทุนอยู่ 2 ล้านเพิ่งใส่เข้าไปใหม่ วันสองวันนี้แหละ อิอิ

ที่เล่าๆมาทั้งหมดก็อยากจะสรุปส่วนตัวว่า กราฟนั้นหาค่าความถูก ความแพงของหุ้นไม่ได้หรอกครับ เห็นกราฟเรี่ยๆ นิ่งๆ หรือไหลลงจนที่นักวิเคราะห์เค้าชอบพูดว่า oversold แล้วเข้าไปสวนเค้า ก็อาจโดนขัง หรือติดดอยบนเหว เหวแล้วมีเหวกว่า ก็มีถมไป และผมก็จะไม่ชอบซื้อ หุ้นที่มีกราฟลักษณะนี้ด้วย ถ้าพื้นฐานมันไม่ถูกจริงๆ

ความถูกความแพง มันคือค่าตัวเลขต่างๆที่เซียนๆผู้แต่งตำราเค้าใช้กัน และมันก็ใช้ได้ดีอย่างเหลือเชื่อซะด้วย และยิ่งใครเป็น vi ดูงบการเงินเก่งๆ คาดกำไรในอนาคตได้ยิ่งได้เปรียบ แต่ผมคาดการณ์กำไรไม่เก่ง ผมก็เลยต้องใช้กราฟช่วย เพื่อหาจุดซื้อ หรือจุดที่คิดว่ายังซื้อได้ในกรณีที่ได้ของแพงหรือเจอหุ้นช้ากว่าเค้า ส่วนจุดขายก็แล้วแต่ความพอใจ หรือบางครั้งก็ใช้กราฟช่วย ถ้ารู้สึกว่าราคามันเริ่มแพงเกินเหตุ...

วิธีการลงทุนของผมส่วนใหญ่จะไม่คัตนะครับถ้าผิดทาง เพราะหุ้นที่เลือกแล้วส่วนใหญ่จะผ่านเกณฑ์ทางด้านพื้นฐานมาและกราฟระดับนึง ลงก็เฉลี่ยเพิ่ม คือราคาไม่เสียเปรียบ
ยกเว้นว่าจะหาข้อมูลมาพลาดจริงๆ หรือซื้อที่ราคาแพงกว่าชาวบ้าน หรือพินาดูแล้วกว่าจะกลับตัวอีกนาน
จะว่าไปจริงๆแล้ว ตลาดช่วงที่ผ่านมา ถ้าเป็นขาขึ้น ซื้อแล้วถือ ถึงผิดทางก็ยังมีโอกาสได้คืน หรือเป็นกำไร...เรื่องนี้ก็แล้วสไตล์ของแต่ละคน แต่สำหรับผมถ้าคิดว่าต้นทุนเสียเปรียบก็คัตแบบไม่ใยดีเลย

ปล..ลงทุนเอง หาหุ้นเองคนเดียวนะครับ ไม่รู้จักกลุ่มก๊วนใดๆ มาร์จิ้นก็ไม่เล่นครับ



ลืมสรุป จุดสำคัญอีกจุดนึงไปครับ คือ การ keep investing นี่แหละ ไม่ต้องกังวลว่าตลาดจะขึ้นหรือจะลง เพราะตลาดมันมีรอบของมันเสมอ ลงทุนไปเรื่อยๆ ทบต้นไปเรื่อยๆ หุ้นถูกก็ซื้อได้เยอะ หุ้นแพงก็ซื้อได้น้อยหรือซื้อน้อยหน่อย แล้วผลตอบแทนจะตามมาเองครับในท้ายที่สุด...

-------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ...จริงๆวิธีที่ผมใช้ ส่วนนึงก็เอาหลักของน้า endophine เจ้าของต้นตำรับคลายเครียดเรโช เข้ามาใช้ด้วยนะครับ คือพยายามดึงทุนออกทุกครั้งเมื่อกำไรถึงเป้าหมาย และเก็บกำไรเป็นหุ้นไว้ เพราะบางครั้งเราไม่สามารถบอกได้เลยว่าหุ้นมันจะขึ้นไปถึงเมื่อไหร่จึงเลิก และเนื่องจากผมไม่สามารถคาดการณ์กำไรในอนาคตได้ด้วย.. จะพิจารณาขายหุ้นส่วนที่เป็นกำไรออกไปก็เมื่อกำไรมันขึ้นเกินความคาดหวังไปมากเกินไปแล้วจริงๆ เช่น ตั้งเป้าไว้ 10 บาทเอาทุนออกไป แต่มันดันขึ้นไปอีกโดยไม่มีเหตุผลถึง 25 บาท อะไรเช่นนี้เป็นต้น...จะยกเว้นก็พวก superstock หรือ megatrend ที่กำไรเพิ่มทุกปี ก็ยังกอดไปเรื่อยๆ
แล้วก็ทำแบบนี้วนทบเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ ทั้งทุนเก่า เงินเดือน และปันผล  ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ..4 ปีแรกไม่นับนะครับ เพราะมั่วมาก ซื้อแล้วคัตๆๆ จนทุนหายไปเกินครึ่ง

กลับกันถ้าหุ้นที่ซื้อแล้วลง ผมก็ต้องหาเหตุผลแล้วว่าทำไมมันถึงลง เราหาข้อมูลมาผิดหรือศึกษามาไม่ดีหรือปล่าว พื้นฐานมันเปลี่ยนหรือไม่ และถ้าพื้นฐานมันยังดีอยู่ ผมก็จะทยอยซื้อเรื่อยๆ และก็ซื้อเพิ่มทุกครั้ง ถ้าคิดว่าทุนยังไม่เสียเปรียบ ไม่ว่ามันจะซื้อแล้วขึ้น หรือ ลง

จริงๆแล้วการลงทุนในตลาดให้ประสบความสำเร็จ ส่วนนึงก็คือการมีกลยุทธ์ และทัศนคติที่ดีต่อการลงทุน นี่แหละครับ ไม่ท้อเมื่อหุ้นที่ซื้อนั้นตกหนักๆ หรือ เผชิญช่วงตลาดวิกฤต เอาง่ายๆช่วงปี 2008-2009 หุ้นถูกอยู่เต็มตลาด เพื่อนผมหลายคนก็กลัว กลัวว่าจะเป็นแบบต้มยำกุ้ง ที่ตลาดซบเซาอยู่หลายปี ก็ไม่กล้าซื้อกัน กอดเงินไว้ในแบงค์ ทั้งๆที่ดอกเบี้ยเงินฝากก็ถูกแสนถูก

กลับกันถ้ามาดูผลประกอบการของหุ้นหลายตัว จริงๆแล้วก็ยังดีอยู่ หลายตัวลงมาจนอัตราปันผลดีกว่าฝากแบงค์ แถมดีกว่าดอกเบี้ยพันธบัตร เสียอีก ผมเห็นอย่างนั้นผมก็ซื้อละครับ

เหมือนที่ buffet เคยพูดไว้ รู้จักกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และรู้จักกล้าเมื่อคนอื่นกลัว...
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่