เนื่องจากได้กลิ่นเหม็นดองอะไรสักอย่างที่โน๊ตบุคตัวเอง เปิดไปเปิดมาถึงได้เจอรูปรีวิวที่ย่อขนาดเอาไว้แล้วไม่ได้เอามารีวิว
กลิ่นมันหึ่ง (เปลืองพื้นที่คอม) มาก จึงคิดว่า รีบทำให้มันจบเลยดีกว่า มันล่วงเลยเวลามากว่า 3 เดือนแล้ว

ต้องขออภัยสำหรับคนที่รออีกครั้ง เนื่องจากนิสัยที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆของตัวเองทีแรกกะไม่ต่อ (อีกแล้ว)
แต่เพราะกำลังจะเปลี่ยนตัวเองจึงคิดว่า ต่อดีกว่า เพื่อการดีกับตัวเองด้วย ยังไงก็ขอให้อ่านกันด้วยนะคะ
ขอลงความเดิมตอนที่แล้วก่อนนะคะ
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 1 นอนสนามบินมาเก๊า
http://pantip.com/topic/13111974
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 2 โตเกียวแบบมีเวลาน้อย
http://pantip.com/topic/30024501
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 3 โยโกฮาม่าฝนตก
http://pantip.com/topic/30191208
คราวที่แล้วจบไว้ที่ได้เจอกาลิเลโอสมใจแล้ว ต่อไปก็เป็น เกียวโตค่ะ มีนัดกับพี่สาวเอาไว้ซึ่งแยกกันเที่ยวแต่ก็มีแพลนที่อยากไปเที่ยวด้วยกันจึงทำให้ไม่กลับไปขึ้นเครื่องบินที่นาริตะ ทั้งๆที่มีเวลาแค่ไม่กี่วันก็อยู่แถวโยโกฮาม่าก็ได้แท้ๆ
ขอแอบลงกระทู้รีวิวของพี่สาว (ซึ่งมันก็เก่าแล้ว) เอาไว้ให้อ่านสนุกๆและอาจได้ประโยชน์มากกว่ารีวิวนี้ ฮ่าๆ
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12577437/E12577437.html
หลังจากที่ยืนหนาวรอรถบัสที่จะเดินทางไปเกียวโตอยู่เกือบสองชั่วโมง หนาวก็หนาวฝนตกตกนิดนึง รถบัสก็มาเสียที ตอนรอก็กังวลตลอดนะคะ ว่าจะถูกคันมั้ย รถออกไปหรือยังนะ หรือมันต้องไปขึ้นตรงอื่น ทั้งๆที่ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นไปสามรอบ ส่วนใหญ่ตอบเหมือนกันว่า "ขึ้นตรงนี้แหละ เสื้อเจ้าหน้าที่จะเป็นสีเหลือง ตอนนี้ยังไม่มา" แต่ก็ไม่วายกังวล (ก็ทำไงได้คนมันไม่เคยมา) หลังจากทรมานจากความหนาวได้สองชั่วโมงเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ก็เดินไปเช็คชื่อกับเขาและพอรถมาก็ต่อคิวและเอากระเป๋าฝากไว้ใต้รถ พนักงานก็จะถามว่าลงที่ไหนเขาจะจัดวางและแปะป้ายแยกไว้ คือก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกค่ะฟังไม่จบประโยคด้วยซ้ำก็รู้ว่าเขาจะถามอะไร ฮ่าๆ ก็เลยตอบไปว่า "สถานีรถไฟเกียวโตค่ะ" แล้วก็เดินขึ้นรถไป ก่อนขึ้นก็มีเจ้าหน้าที่เช็คชื่ออีกที ตรงนี้เขาจะบอกว่าเราได้ที่นั่งตรงไหน
พอขึ้นไปแล้ว เราได้ที่นั่งริมหน้าต่างเลย มีผู้หญิงวัยรุ่นนั่งริมทางเดินอยู่แล้ว (จริงๆชีหลับอยู่) เราก็ปลุกและขอโทษเขาเพื่อขอเข้าไปข้างใน เธอดูน่าดุนิดนึง แอบกลัวนะเนี่ย

สักพักรถก็ออก ก็กินยาและได้เวลาหลับ เหนื่อยและไม่สบายมาทั้งวัน !! ความจริงไม่อยากนอนเลยเพราะวิวสวยมากๆ ดาวก็เยอะก็นอนมองดูดาวตลอดทาง หลับบ้านตื่นบ้างเวลารถจอดตรงที่พักคนอื่นลงเราไม่ลงก็นอนจนสุดท้ายก็หลับไปแบบยาวเลย (ผู้หญิงข้างๆเราชีหลับเก่งมากๆ ฮ่าๆนอนเอนมาหาเราด้วย แถมป้าคนที่นั่งหลังเบาะเราก็ไอตลอด แต่เราก็ให้อภัยเพราะรู้ว่ามันทรมานมากๆที่ต้องมาไอในที่แบนี้)
ตัวเราเองถึงจะได้ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็อย่างที่บอกไว้ว่า มันเลวร้ายมาก ก็มีเสียงพนักงานประกาศบอกตลอดว่าถึงไหนแล้ว เราฟังได้ไม่หมด ก็กลัวตลอดทางเวลารถจอดยิ่งแถมสะลึมสะลือด้วยแล้วฟังไม่รู้เรื่องเลย เรากังวลมากว่าถึงไหนแล้ว นั่งเลยมาหรือยังนะ ตามตารางรถเขาแจ้งไว้ว่า จะถึงเกียวโตประมาณ 7 โมงเช้า แต่มีจุดหนึ่งที่มันยังแค่หกโมงอยู่ฟ้าก็มืดๆ เราก็ตื่นนอนมาแบบไม่รู้เรื่อง คือตื่นมาได้ยินว่า ...."แล้วครับ"... ไอ้เราก็เฮ้ยยยยยยยยย ถึงไหนอะ ถึงไหนแล้วตะกี้ไม่ได้ฟัง จึงรวบรวมความกล้ารีบหันไปหาผู้หญิงข้างๆที่กำลังลุกว่า "ถึงไหนแล้ว" เธอตอบกลับมาว่า "เกียวโต" ไอ้เราก็โอ๊ยยยยย "ขอบคุณมากๆค่ะ" ถ้าไม่กล้าไปถามเค้าคงนั่งเลยแน่ๆ
พอลงจากรถก็นั่งมึนบนกระเป๋าเป้ตัวเอง หยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดหน้า กินหมากฝรั่ง มองดูสถานี ... "นี่ญี่ปุ่นสินะ" (แล้วที่ผ่านมาเธอไปเที่ยวไหนมายะ) ตั้งแต่จากบ้านมา แวบนี้เป็นแวบแรกเลยที่คิดว่า นี่สิญี่ปุ่น ... ไม่เข้าใจตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าสถานีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่ห้องน้ำ ใส่ชุดนี้มาตั้งแต่วันแรก ฮ่าๆ จากนั้นก็ไปที่จุดนัดผมที่พี่สาวนัดไว้คือ ตรงกลางของสถานีรถไฟเจอาร์ !! พี่สาวก็ให้แผนที่ไว้ล่ะนะ บอกว่าผ่านไปกี่โมงก็จะรอ (เพราะไม่มีมือถือไว้ติดต่อกัน) แต่หายังไงก็หาไม่เจอไอ้จุดนัดพบนั่นน่ะ ยืนอยู่ตรงป้ายที่บอกว่าคุณอยู่ตรงนี้ และเห็นจุดนัดพบ แต่ก็ยังไม่ใช่ ไม่มีที่ให้ให้เดินต่อไปแล้ว วนไปวนมาเรื่อยๆ ต้องป้ายตะกี้มองลอดไป เห็นบันใดเลื่อน !! โอ้วววววว ตรงนี้นี่เอง เดินขึ้นไปเป็นบันใดเลื่อนที่แคบมาก และก็ใด้รู้ว่ามันเป็นทางไปรถไฟเจอาร์ ... ที่เราอยู่มันใต้ดิน

ง่ะ ไม่เห็นบอกไว้เลยว่ามีสองแบบ มิน่าล่ะดูจากข้างนอกสถานนียั้ยใหญ่ ฮ่าๆ

เดินไปมาอีกอยู่นาน หาที่นัดพบไม่เจอ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นคุณพี่แสนรักเดินเข้ามาในสถานีพอดี ดีใจม๊ากกก แบบเฮ้ยเจอคุณรู้จักแล้ว ฮ่าๆ ก็พากันไปนั่งเมาท์ตรงที่ๆพี่สาวแอบหลับ ถามสารทุกข์สุขดิบหนทางที่พี่สาวผ่านมา คุยกันเรื่องจุดนับพบว่า ไหนว่าเดินเข้ามาก็เจอไหงไม่เจอ ที่ไหนได้ เราเข้ามากันคนละทาง ...
คุยกันเสร็จก็พากันไปหาร้านข้าวกิน เนื่องจากพี่สาวเคยมาที่นี่แล้วก็เลยหาไม่ยาก ตอนเดินออกจากสถานีก็เหลือบไปเห็นตู้กดน้ำ แบบต่อมอยากกดกำเริบ ก็เลยกดไอติมมากิน แต่พอกดเสร็จก็มีตาชาวญี่ปุ่นท่านนึง พูดขึ้นมาว่า "ไอ สุ คุรีมุ" ไอ้เราก็พูดตาม "ไอ สุ คุรีมุ" ก็พูดโต้กันไปสองสามรอบ ก็งงว่าตาแกพูดคำว่า "ไอศครีม" ทำไม ???? ไอ้เราที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมา ก็พูดตอบเหมือนตอนครูสอนให้พูด งงมาก ก็แยกย้ายกันไปก็เมาท์กับพี่สาวว่า "สงสัยเขาคิดว่าเราไม่รู้ว่ามันเป็นไอติมคงกลัวเรากดตู้ผิด" ฮ่าๆ

ข้าวมื้อแรกแบบจริงๆจังๆมื้อแรกในญี่ปุ่น มื้อแรกเป็นข้าวกล่อง ฮ่าๆ (กดเลือกเมนูก่อนเข้านั่งในร้านด้วยนะเออ ตื่นเต้นๆ)
เป้าหมายของพวกเราจริงๆวันนี้คือ ไปดูคอนเสิร์ตที่โอซาก้าค่ะ ... พี่สาวดูคนเดียวนะ
แต่ก็มีเวลาว่างนิดหน่อยก่อนเวลานัดที่ เคียวเซร่า โดม (โอซาก้า) จึงพากันหาที่เที่ยวในเกียวโตก่อน
เราสองคนพากันไปซื้อบัตร Kansai Area Pass ราคา 4,000 เยน เพื่อเป็นหลักประกันว่า เรามีตั๋วรถไปสนามบินวันพรุ่งนี้

แล้วพากันไปเดินเที่ยววัด ซึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อวัดอะไร เราบ่นตลอดทางเรื่องกระเป๋า มันหมดแรงแล้วง่ะ นอนบนรถก็ปวดหลัง
พี่สาวก็บอกว่า เดี๋ยวไปฝากเอาที่สถานีที่เราจะไปกัน แต่พอไปถึงดันไม่มีที่ฝาก ก็เดินไปทั้งอย่างงั้น ระหว่างทางก็เกิดร้อนขึ้นมา ก็พากันถอดเสื้อกันหนาวออกกัน เดินไปในซอยเรื่อยๆ มีแต่คนมองก็ไม่เข้าใจว่ามองกันทำไม
สุดท้ายก็หาวัดนั้นไม่เจอ แต่เจอป้ายที่บอกทางไปศาลเจ้า ฟูชิมิ จึงรีบบึ่งไปเลย ...
ตื่นเต้นมากๆ ไม่คิดว่าจะได้มา ใฝ่ฝันมานานแล้ว เพราะแพลนเดิมคือตั้งใจไป อาราชิยาม่ากับเพื่อนชาวญี่ปุ่นแต่เขาเกิดไม่ว่างก็เลยไม่ได้วางแพลนต่อ จึงไม่ได้ตั้งใจจะไปที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลย

เห็นหินเรียงกันสวยๆ มองดูดีๆก็เห็นว่าเขาทำยังไง มองแล้วดูสบายตาจริงๆ

จริงๆตั้งใจจะสาดรูปเหมือนกระทู้ก่อนหน้านี้ แต่เพราะว่ามีคนมาด้วยทำให้รูปที่ถ่ายมามีแต่รูปตัวเราเอง ก็เลยไม่ค่อยมีรูปวิวเลย
และเดินไปได้ไม่เท่าไร เดินผ่านเสาได้ไม่กี่ต้นก็ต้องจากแล้ว เพราะเกรงจะไปไม่ทันนัดที่โอซาก้าต่อ
สัญญาไว้แล้วว่าจะกลับไปที่นี่ด้วยกันอีก (แต่พี่สาวเคยมาแล้วรอบนึง) น่าเสียดายจริงๆอยากเดินขึ้นเขาไปให้สุดเหมือนตอนพี่สาวมา

มีรูปคู่นิดนึง ... อายอะ ประจานหน้าตัวเอง ฮ่า เป็นรูปคู่รูปเดียวที่มีในทริปนี้แบบให้คนอื่นถ่ายให้ แต่ตัวเราดันไม่มองกล้อง

สถานี ฟูชิมิ มีที่ฝากกระเป๋าด้วย !! ระหว่างรอรถไฟมาเพื่อกลับไปนังสถานีเกียวโต ก็ถ่ายรูปเปิ่นๆกันนิดหน่อย ฮ่าๆ (ไม่กล้าลง)
[CR] รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 4 เกียวโต&โยโกฮาม่า
กลิ่นมันหึ่ง (เปลืองพื้นที่คอม) มาก จึงคิดว่า รีบทำให้มันจบเลยดีกว่า มันล่วงเลยเวลามากว่า 3 เดือนแล้ว
ต้องขออภัยสำหรับคนที่รออีกครั้ง เนื่องจากนิสัยที่ทำอะไรครึ่งๆกลางๆของตัวเองทีแรกกะไม่ต่อ (อีกแล้ว)
แต่เพราะกำลังจะเปลี่ยนตัวเองจึงคิดว่า ต่อดีกว่า เพื่อการดีกับตัวเองด้วย ยังไงก็ขอให้อ่านกันด้วยนะคะ
ขอลงความเดิมตอนที่แล้วก่อนนะคะ
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 1 นอนสนามบินมาเก๊า
http://pantip.com/topic/13111974
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 2 โตเกียวแบบมีเวลาน้อย
http://pantip.com/topic/30024501
- รีวิว (Mini) : winter time love ตามหากาลิเลโอ (ญี่ปุ่น) ตอน 3 โยโกฮาม่าฝนตก
http://pantip.com/topic/30191208
คราวที่แล้วจบไว้ที่ได้เจอกาลิเลโอสมใจแล้ว ต่อไปก็เป็น เกียวโตค่ะ มีนัดกับพี่สาวเอาไว้ซึ่งแยกกันเที่ยวแต่ก็มีแพลนที่อยากไปเที่ยวด้วยกันจึงทำให้ไม่กลับไปขึ้นเครื่องบินที่นาริตะ ทั้งๆที่มีเวลาแค่ไม่กี่วันก็อยู่แถวโยโกฮาม่าก็ได้แท้ๆ
ขอแอบลงกระทู้รีวิวของพี่สาว (ซึ่งมันก็เก่าแล้ว) เอาไว้ให้อ่านสนุกๆและอาจได้ประโยชน์มากกว่ารีวิวนี้ ฮ่าๆ
http://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12577437/E12577437.html
หลังจากที่ยืนหนาวรอรถบัสที่จะเดินทางไปเกียวโตอยู่เกือบสองชั่วโมง หนาวก็หนาวฝนตกตกนิดนึง รถบัสก็มาเสียที ตอนรอก็กังวลตลอดนะคะ ว่าจะถูกคันมั้ย รถออกไปหรือยังนะ หรือมันต้องไปขึ้นตรงอื่น ทั้งๆที่ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นไปสามรอบ ส่วนใหญ่ตอบเหมือนกันว่า "ขึ้นตรงนี้แหละ เสื้อเจ้าหน้าที่จะเป็นสีเหลือง ตอนนี้ยังไม่มา" แต่ก็ไม่วายกังวล (ก็ทำไงได้คนมันไม่เคยมา) หลังจากทรมานจากความหนาวได้สองชั่วโมงเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ก็เดินไปเช็คชื่อกับเขาและพอรถมาก็ต่อคิวและเอากระเป๋าฝากไว้ใต้รถ พนักงานก็จะถามว่าลงที่ไหนเขาจะจัดวางและแปะป้ายแยกไว้ คือก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอกค่ะฟังไม่จบประโยคด้วยซ้ำก็รู้ว่าเขาจะถามอะไร ฮ่าๆ ก็เลยตอบไปว่า "สถานีรถไฟเกียวโตค่ะ" แล้วก็เดินขึ้นรถไป ก่อนขึ้นก็มีเจ้าหน้าที่เช็คชื่ออีกที ตรงนี้เขาจะบอกว่าเราได้ที่นั่งตรงไหน
พอขึ้นไปแล้ว เราได้ที่นั่งริมหน้าต่างเลย มีผู้หญิงวัยรุ่นนั่งริมทางเดินอยู่แล้ว (จริงๆชีหลับอยู่) เราก็ปลุกและขอโทษเขาเพื่อขอเข้าไปข้างใน เธอดูน่าดุนิดนึง แอบกลัวนะเนี่ย
ตัวเราเองถึงจะได้ภาษาญี่ปุ่น แต่ก็อย่างที่บอกไว้ว่า มันเลวร้ายมาก ก็มีเสียงพนักงานประกาศบอกตลอดว่าถึงไหนแล้ว เราฟังได้ไม่หมด ก็กลัวตลอดทางเวลารถจอดยิ่งแถมสะลึมสะลือด้วยแล้วฟังไม่รู้เรื่องเลย เรากังวลมากว่าถึงไหนแล้ว นั่งเลยมาหรือยังนะ ตามตารางรถเขาแจ้งไว้ว่า จะถึงเกียวโตประมาณ 7 โมงเช้า แต่มีจุดหนึ่งที่มันยังแค่หกโมงอยู่ฟ้าก็มืดๆ เราก็ตื่นนอนมาแบบไม่รู้เรื่อง คือตื่นมาได้ยินว่า ...."แล้วครับ"... ไอ้เราก็เฮ้ยยยยยยยยย ถึงไหนอะ ถึงไหนแล้วตะกี้ไม่ได้ฟัง จึงรวบรวมความกล้ารีบหันไปหาผู้หญิงข้างๆที่กำลังลุกว่า "ถึงไหนแล้ว" เธอตอบกลับมาว่า "เกียวโต" ไอ้เราก็โอ๊ยยยยย "ขอบคุณมากๆค่ะ" ถ้าไม่กล้าไปถามเค้าคงนั่งเลยแน่ๆ
พอลงจากรถก็นั่งมึนบนกระเป๋าเป้ตัวเอง หยิบทิชชู่เปียกมาเช็ดหน้า กินหมากฝรั่ง มองดูสถานี ... "นี่ญี่ปุ่นสินะ" (แล้วที่ผ่านมาเธอไปเที่ยวไหนมายะ) ตั้งแต่จากบ้านมา แวบนี้เป็นแวบแรกเลยที่คิดว่า นี่สิญี่ปุ่น ... ไม่เข้าใจตัวเอง จากนั้นก็เดินเข้าสถานีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ที่ห้องน้ำ ใส่ชุดนี้มาตั้งแต่วันแรก ฮ่าๆ จากนั้นก็ไปที่จุดนัดผมที่พี่สาวนัดไว้คือ ตรงกลางของสถานีรถไฟเจอาร์ !! พี่สาวก็ให้แผนที่ไว้ล่ะนะ บอกว่าผ่านไปกี่โมงก็จะรอ (เพราะไม่มีมือถือไว้ติดต่อกัน) แต่หายังไงก็หาไม่เจอไอ้จุดนัดพบนั่นน่ะ ยืนอยู่ตรงป้ายที่บอกว่าคุณอยู่ตรงนี้ และเห็นจุดนัดพบ แต่ก็ยังไม่ใช่ ไม่มีที่ให้ให้เดินต่อไปแล้ว วนไปวนมาเรื่อยๆ ต้องป้ายตะกี้มองลอดไป เห็นบันใดเลื่อน !! โอ้วววววว ตรงนี้นี่เอง เดินขึ้นไปเป็นบันใดเลื่อนที่แคบมาก และก็ใด้รู้ว่ามันเป็นทางไปรถไฟเจอาร์ ... ที่เราอยู่มันใต้ดิน
เดินไปมาอีกอยู่นาน หาที่นัดพบไม่เจอ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นคุณพี่แสนรักเดินเข้ามาในสถานีพอดี ดีใจม๊ากกก แบบเฮ้ยเจอคุณรู้จักแล้ว ฮ่าๆ ก็พากันไปนั่งเมาท์ตรงที่ๆพี่สาวแอบหลับ ถามสารทุกข์สุขดิบหนทางที่พี่สาวผ่านมา คุยกันเรื่องจุดนับพบว่า ไหนว่าเดินเข้ามาก็เจอไหงไม่เจอ ที่ไหนได้ เราเข้ามากันคนละทาง ...
คุยกันเสร็จก็พากันไปหาร้านข้าวกิน เนื่องจากพี่สาวเคยมาที่นี่แล้วก็เลยหาไม่ยาก ตอนเดินออกจากสถานีก็เหลือบไปเห็นตู้กดน้ำ แบบต่อมอยากกดกำเริบ ก็เลยกดไอติมมากิน แต่พอกดเสร็จก็มีตาชาวญี่ปุ่นท่านนึง พูดขึ้นมาว่า "ไอ สุ คุรีมุ" ไอ้เราก็พูดตาม "ไอ สุ คุรีมุ" ก็พูดโต้กันไปสองสามรอบ ก็งงว่าตาแกพูดคำว่า "ไอศครีม" ทำไม ???? ไอ้เราที่เรียนภาษาญี่ปุ่นมา ก็พูดตอบเหมือนตอนครูสอนให้พูด งงมาก ก็แยกย้ายกันไปก็เมาท์กับพี่สาวว่า "สงสัยเขาคิดว่าเราไม่รู้ว่ามันเป็นไอติมคงกลัวเรากดตู้ผิด" ฮ่าๆ
ข้าวมื้อแรกแบบจริงๆจังๆมื้อแรกในญี่ปุ่น มื้อแรกเป็นข้าวกล่อง ฮ่าๆ (กดเลือกเมนูก่อนเข้านั่งในร้านด้วยนะเออ ตื่นเต้นๆ)
เป้าหมายของพวกเราจริงๆวันนี้คือ ไปดูคอนเสิร์ตที่โอซาก้าค่ะ ... พี่สาวดูคนเดียวนะ
แต่ก็มีเวลาว่างนิดหน่อยก่อนเวลานัดที่ เคียวเซร่า โดม (โอซาก้า) จึงพากันหาที่เที่ยวในเกียวโตก่อน
เราสองคนพากันไปซื้อบัตร Kansai Area Pass ราคา 4,000 เยน เพื่อเป็นหลักประกันว่า เรามีตั๋วรถไปสนามบินวันพรุ่งนี้
แล้วพากันไปเดินเที่ยววัด ซึ่งจำไม่ได้ว่าชื่อวัดอะไร เราบ่นตลอดทางเรื่องกระเป๋า มันหมดแรงแล้วง่ะ นอนบนรถก็ปวดหลัง
พี่สาวก็บอกว่า เดี๋ยวไปฝากเอาที่สถานีที่เราจะไปกัน แต่พอไปถึงดันไม่มีที่ฝาก ก็เดินไปทั้งอย่างงั้น ระหว่างทางก็เกิดร้อนขึ้นมา ก็พากันถอดเสื้อกันหนาวออกกัน เดินไปในซอยเรื่อยๆ มีแต่คนมองก็ไม่เข้าใจว่ามองกันทำไม
สุดท้ายก็หาวัดนั้นไม่เจอ แต่เจอป้ายที่บอกทางไปศาลเจ้า ฟูชิมิ จึงรีบบึ่งไปเลย ...
ตื่นเต้นมากๆ ไม่คิดว่าจะได้มา ใฝ่ฝันมานานแล้ว เพราะแพลนเดิมคือตั้งใจไป อาราชิยาม่ากับเพื่อนชาวญี่ปุ่นแต่เขาเกิดไม่ว่างก็เลยไม่ได้วางแพลนต่อ จึงไม่ได้ตั้งใจจะไปที่ศาลเจ้าแห่งนี้เลย
เห็นหินเรียงกันสวยๆ มองดูดีๆก็เห็นว่าเขาทำยังไง มองแล้วดูสบายตาจริงๆ
จริงๆตั้งใจจะสาดรูปเหมือนกระทู้ก่อนหน้านี้ แต่เพราะว่ามีคนมาด้วยทำให้รูปที่ถ่ายมามีแต่รูปตัวเราเอง ก็เลยไม่ค่อยมีรูปวิวเลย
และเดินไปได้ไม่เท่าไร เดินผ่านเสาได้ไม่กี่ต้นก็ต้องจากแล้ว เพราะเกรงจะไปไม่ทันนัดที่โอซาก้าต่อ
สัญญาไว้แล้วว่าจะกลับไปที่นี่ด้วยกันอีก (แต่พี่สาวเคยมาแล้วรอบนึง) น่าเสียดายจริงๆอยากเดินขึ้นเขาไปให้สุดเหมือนตอนพี่สาวมา
มีรูปคู่นิดนึง ... อายอะ ประจานหน้าตัวเอง ฮ่า เป็นรูปคู่รูปเดียวที่มีในทริปนี้แบบให้คนอื่นถ่ายให้ แต่ตัวเราดันไม่มองกล้อง
สถานี ฟูชิมิ มีที่ฝากกระเป๋าด้วย !! ระหว่างรอรถไฟมาเพื่อกลับไปนังสถานีเกียวโต ก็ถ่ายรูปเปิ่นๆกันนิดหน่อย ฮ่าๆ (ไม่กล้าลง)