......................นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนา เรื่อง “ก้าวไกล ก้าวไป ขับเคลื่อนเกษตรไทยสู่อาเซียน” และกล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อเกษตรกรทันสมัย เกษตรไทยก้าวหน้า ว่าการเปิดการค้าเสรีอาเซียน หรือ เออีซี ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้านั้น ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมในหลายๆ มิติที่มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม การลงทุน และภาคการเกษตร ที่ได้มีการปรับตัวเพื่อเตรียมรองรับความร่วมมือและการแข่งขันในกลุ่มประเทศอาเซียน
ทั้งนี้แม้จากการวิเคราะเบื้องต้น จะยังไม่พบมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร เนื่องจากภาคการผลิตของไทยมีความเข้มแข็งค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพืชไร่ที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
แต่จากข้อมูลปัจจุบันอีกส่วนหนึ่งพบว่า มีผู้ประกอบการของไทยเข้าไปลงทุนการปลูกพืชกลุ่มดังกล่าวในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากหากมีผลผลิตออกมาแล้วส่งกลับมายังประเทศไทยก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน มาตรการที่สำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรคือการผลิตสินค้าที่สมดุลเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร รวมถึงการผลิตอาหารที่ปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร (มกอช.) ได้มีการประกาศใช้ไปแล้วกว่า 200 ชนิด และจะขยายผลไปสู่มาตรฐานบังคับให้ได้ เพื่อให้เกษตรกรตระหนักและเห็นความสำคัญของการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานที่จะช่วยป้องกันผลกระทบต่อผลผลิตของเกษตรกร ที่จะมีการแข่งขันในด้านสินค้ามากขึ้นเมื่อมีการเปิดเสรีทางการค้าซึ่งจะต้องถูกลดภาษีเป็นศูนย์
“แม้ว่าภาครัฐจะเป็นผู้นำในการเจรจาในการประสานงานกับกลุ่มอาเซียนทั้งหมด ในการวางระบบ นโยบาย การสร้างความร่วมมือ รวมถึงดูแลกฎเกณฑ์ข้อระเบียบต่างๆ ของแต่ละประเทศของกลุ่มสมาชิกอาเซียน และการจัดระบบด่านชายแดนของศุลกากร เมื่อมีการเปิดเสรีอาเซียนขึ้น แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเกษตรกร จะต้องมีการรวมกลุ่มให้มีความเข้มแข็งให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และศักยภาพการผลิตของตนเองให้เป็นไปในเชิงธุรกิจ และมองตลาดเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตสินค้าให้ได้”นายยุคล กล่าว
ที่มา
http://www.naewna.com/local/46270
แฉกลุ่มผู้ประกอบการแสบ เกษตรฯจับตาแอบลงทุนเพาะปลูกปท.เพื่อนบ้านย้อนศรขายไทย
ทั้งนี้แม้จากการวิเคราะเบื้องต้น จะยังไม่พบมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร เนื่องจากภาคการผลิตของไทยมีความเข้มแข็งค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพืชไร่ที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
แต่จากข้อมูลปัจจุบันอีกส่วนหนึ่งพบว่า มีผู้ประกอบการของไทยเข้าไปลงทุนการปลูกพืชกลุ่มดังกล่าวในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากหากมีผลผลิตออกมาแล้วส่งกลับมายังประเทศไทยก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรไทยได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน มาตรการที่สำคัญที่กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรคือการผลิตสินค้าที่สมดุลเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร รวมถึงการผลิตอาหารที่ปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร (มกอช.) ได้มีการประกาศใช้ไปแล้วกว่า 200 ชนิด และจะขยายผลไปสู่มาตรฐานบังคับให้ได้ เพื่อให้เกษตรกรตระหนักและเห็นความสำคัญของการผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานที่จะช่วยป้องกันผลกระทบต่อผลผลิตของเกษตรกร ที่จะมีการแข่งขันในด้านสินค้ามากขึ้นเมื่อมีการเปิดเสรีทางการค้าซึ่งจะต้องถูกลดภาษีเป็นศูนย์
“แม้ว่าภาครัฐจะเป็นผู้นำในการเจรจาในการประสานงานกับกลุ่มอาเซียนทั้งหมด ในการวางระบบ นโยบาย การสร้างความร่วมมือ รวมถึงดูแลกฎเกณฑ์ข้อระเบียบต่างๆ ของแต่ละประเทศของกลุ่มสมาชิกอาเซียน และการจัดระบบด่านชายแดนของศุลกากร เมื่อมีการเปิดเสรีอาเซียนขึ้น แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือเกษตรกร จะต้องมีการรวมกลุ่มให้มีความเข้มแข็งให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ และศักยภาพการผลิตของตนเองให้เป็นไปในเชิงธุรกิจ และมองตลาดเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตสินค้าให้ได้”นายยุคล กล่าว
ที่มา http://www.naewna.com/local/46270