นักท่องเที่ยวมือใหม่ ใช่ได้กับผมเป็นสิ่งเข้ากันดีสำหรับ นักท่องเที่ยงที่พึ่งเริ่มต้นการทำหนังสือเดินทาง เมื่อมีสิ่งนี้อยู่ในมือของเรา นั้นหมายถึงอิสระที่ในการเดินทางออกนอกประเทศ สำหรับท่านที่มีเงินน้อย คงต้องคิดกันหนักหน่อยว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน ประเทศอะไรที่จะไป สำหรับผมที่เป็นคนไทย บ้านเกิดอยู่ในภาคอีสาน ผมนึกได้เพียงภาพของสะพาน มิตรภาพไทย-ลาว ที่ทอดยาวในช่วงสมัยเด็ก มองเข้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน อีกฝากฝั่งหนึ่งจะมีอะไร ส่วนมากผมจะได้ยินเรื่องเล่าจากยาย เรื่องของประเทศลาว วิถีชีวิตของคนที่นั้นโดยไม่ได้ไปสัมผัสเอง สิ่งนี้กระตุ้นให้ผมเริ่มคิดที่จะเดินทางไปสัมผัสกับ ธรรมชาติความสวยงามของเทือกเขาผืนป่า
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่น่าจะผิดพลาด สำหรับการเริ่มหัดใช่หนังสือเดินทางและจุดเริ่มต้นของการเป็นนักท่องเที่ยวต่างแดนครั้งแรกของตัวผม จุดเริ่มต้นของการเดินทางอยู่ที่จังหวัดหนองคาย โดยข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เดินข้ามสะพานข้างล่างเป็นแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อย ๆ กระเป๋าเป๋หนึ่งใบกับเงินสดประมาน 3000บาท เจอด่านตรวจยื่นหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่รอไม่กี่นาที ผู้คนแถวด่านดูเป็นกันเอง ยิ้มแย้มกันซึ่งต่างจากสภาพอากาศในช่วงนี้ เพราะเป็นฤดูร้อนอากาศไม่ต่างกับฝั่งไทยมากนัก มาเที่ยวลาวคนเดียวได้ บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ผมเดินไปซื้อน้ำเดิมที่ร้านขายของ ไม่ไกลจากด่านตรวจมากนัก ดื่มเสร็จนั่งพักให้หายเหนื่อยและหลบแดด หยิบคู่มือนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับประทศลาว เป้าหมายแรกของผมเป็น ที่แรกเป็นจังหวัดเวียงจัน แต่ปัญหาเป็นรถที่จะไปเวียงจันอยู่ที่ไหน? ผมเดินไปถามแม่ค้าขายน้ำบริเวณนั้น โชคดีที่เขาพูดภาษาไทยได้บ้าง พอจะคุยกันเข้าใจ ได้ความว่า ผมต้องไปนั่งรถสองแถวเพื่อเข้าไปเวียงจัน สภาพรถดูแล้วเก่าไม่มีคนไทยแม้แต่คนเดียว ภายในรถผมนั่งมองหน้าชาวลาวหน้าไม่ตางจากคนไทยมากมายนัก
รถเริ่มเคลื่อนตัวไปช้าๆตามรถที่มีสภาพเก่า ผมเห็นถุงเสื้อผ้าที่พวกเขาถือ ส่วนมากเป็นของไทยเป็นส่วนใหญ่ คงไปเที่ยวประเทศไทย รถวิ่งเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆผมก็อดถามคนในรถไม่ได้ เรื่องเวียงจันว่า เมื่อไหร่จะถึงเวียงจัน ชาวลาวทั้ง2คนพูดเป็นภาษาลาวบ้างไทยบ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจว่าคงอีกไม่นาน เขาใจดียินดีที่จะบอกว่า ถ้าถึงแล้วจะบอก คนที่นี่ดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ผมเหมือนคนที่ประเทศเข้าไปทุกที มาเที่ยวแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ อาศัยเพียงแค่มีหนังสือเดินทางก็เดินทางได้แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก รถสองแถวค่อยๆจอดชาวลาวหันมาบอกผม ว่าถึงแล้วทั้ง 2 พูดภาษาไทยไม่ค่อยคล่องมาก เมื่อลงรถผมจ่ายเงินไป10บาท หันกลับมาอีกครั้งตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในเวียงจัน ผมมองหาโรงแรมที่จะพักอย่าพึ่งหวังแต่เรื่องโรงแรมหรูๆหรือระดับห้าดาวเหมือนกรุงเทพในประเทศไทย วันนี้ผมจะไปนอนไหนกันเวลาตอนนี้ก็5โมงครึ่งกว่าแล้ว ถนนมันทาทุลาดเริ่มมีผู้คนมากขึ้น ถือว่าเป็นถนนสายแรกที่ผมจดจำได้
เดินเท้าหาโรงแรมไม่เห็นติดป้ายว่า โรงแรม ผมเดินจนมีดค่ำจนได้ไปถามป้าที่ขายอาหารแถวนั้น ได้ความว่า ผมเดินผ่านโรงแรมมา2-3 คืนนี้จะได้นอนไหม ผมเดินย้อนกับไปเห็นป้ายเขียนว่า “เรือนพักสายสุลี” เข้าไปพบกับพนักนักงาน 2คน คุยกันประมาน 15นาที กว่าจะได้เช่าห้อง มองนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝา ตอนนี้ 2ทุ่มกว่าแล้วเหงื่อเต็มตัวอยากอาบน้ำให้ชื่นใจมาก พนักนักงานยื่นกุญแจห้องมาให้ผม ส่วนอีกคนเดินนำทางผมไปยังห้องพัก สภาพไม่มีห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ส่วนตัวตกแต่งแบบเรียบง่าย ตามราคาที่จ่ายอีกอย่างเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานเดินออกไปจาห้อง
ผมวางกระเป๋า ล้มตัวลงนอน พัดลมเพดานหมุน ไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงเครื่องวิทยุตั้งอยู่บานโต๊ะ 1เครื่องพร้อมน้ำเดิมอีกหนึ่งขวด ผมเดินไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำรวม เมื่ออาบเสร็จแต่งตัวออกไปจากโรงแรม เดินหาร้านอาหารซักแห่งในเวียงจันไม่ค่อยมีผู้คนออกมาเดินเท้าในยามค่ำคืน ต่างจากบ้านเราซึ่งไม่เคยมีการหยุดพัก ผมเดินมาจนสะดุดกับร้านอาหารหนึ่ง ชื่อว่าร้าน “ขอบใจเด๊อ” บรรยากาศเหมือนผับ เมื่อเดินเข้าไปในร้านชาวต่างประเทศนั่งทานกัน น่าจะมาถูกร้าน คงจะเป็นร้านอร่อยในย่านนี้ พนักนักงานของร้านเดินมาบริการพร้อมกับยื่นเมนูอาหารมาให้ผม ปัญหาเกิดอีกครั้งหนึ่งเพราะในนั้นไม่มีภาษาไทย มีแต่ภาษาอังกฤษและภาษาลาว ผมเริ่มอ่านอยู่ซักพักหนึ่ง สั่งเป็นปลาแม่น้ำเผา 1ตัว พนักงานถามแบบรู้ใจผม “เอาเบียร์นับบ่อ้าย” ผมหันไปบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆว่าเอามา1ขวดสิ พนักงานพูดแบบติดตลกว่า “เอาเบียร์ ไทยหรือลาว” “ขอเบียร์ลาวนะน้อง” พนักงานเดินจากไป ประเทศลาวไม่วุ่นวายสงบเพราะผู้คนไม่ชอบเที่ยว ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนลาวมาเที่ยว เหมาะแก่การมาพักผ่อนใจให้สงบ 15นาทีผ่านไปอาหารที่สั่งก็มา เบียร์ลาวและปลาแม่น้ำเผา ผมเริ่มรับประทานฟังเพลงที่ทางร้านเปิดเข้ากับบรรยากาศ ดื่มเบียร์ลาว รสชาติไม่หนักเท่าเบียร์ไทยขากลับผมคงต้องติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนที่ประเทศไทย ปลาที่นี่สดไม่มีกลิ่นแม้แต่น้อย รสชาติดี
เมื่อทานเสร็จเรียบร้อย พนักงานเดินมาเก็บเงินค่าอาหารพร้อมกับค่าเครื่องเดิม รวมแล้ว 120 บาท ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับฝั่งไทย ความเรียบง่ายในประเทศลาว มีมลเสน่ห์ที่น่าหลงใหลผมเริ่มเข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ผมเดินออกจากร้านพนักงานหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับพูดภาษาไทยกับผม “พรุ่งนี้มาใหม่นะพี่ชาย” ผมหันมายิ้มให้เขา แล้วเดินออกจากร้าน ถนนเส้นนี้ไม่มีเสียงรถ บ้านแต่ละหลังปิดหมด เดินได้ไม่นานก็ถึงที่พัก ถึงที่นอนแล้วหลับ วันนี้ผมนอนที่ลาวด้วยความเหนื่อยล้า
รุ่งเช้าตื่นมาประมาน6โมงเช้า ผมอาบน้ำแต่งตัวออกมานอกที่พัก เห็นชาวบ้านกำลังทำบุญ รองถามพนักงานเขาตักบาตรทุกวันเลยไหม เขาตอบเป็นภาษาไทยฟังแล้วไม่ชัดมาก “เขาทำกันทุกวันเลยครับ อ้ายรองตักบาตรบ้างไหม “ พนักงานหันไปหยิบข้าวเหนียวในร้านแล้วยื่นมาให้ผม เดินไปตักบาตรกับคนลาว ดูแล้วไม่แปลกมากเท่าไรเพราะคนไทยกับคนลาวก็ชอบทำบุญเหมือนกัน เมื่อตักบาตรเสร็จชาวลาวหันมาถามผม ว่ามาจากจังหวัดอะไร บอกไปว่า “มาจากหนองคาย มาเที่ยว2-3วันแล้วจะกลับ” ผมถามเขาไปว่า “มื้อนี้ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี แนะนำหน่อย” ได้สถานที่เที่ยวมามี2แห่ง คือ ประตูชัยของเวียงจันทร์ และวัดศีรษะเกศ อ้ายและเอื้อยคนลาว2คนเขาจะไปเที่ยวเหมือนกัน ผมดีใจมากได้คนนำเที่ยวเป็นคนลาว ทั้งสองเป็นพี่น้อง เราตกลงกันว่าอีก 15นาทีมาเจอกันที่หน้าร้าน ผมขอไปแต่งตัวก่อนไปเที่ยว
เมื่อแต่งตัวเสร็จทั้งสองมารอหน้าที่พัก เขาพาผมนั่งรถสามล้อไปที่ประตูชัยผ่านบ้านเรือนสภาพเก่าหลายหลัง เมื่อถึงเรา3คนเสียค่าผ่านประตูคนละ 2000กีบ ประมาณ 10บาทของเงินไทย เมื่อเข้าไปในประตู ผู้คนและนักท่องเที่ยวต่างถ่ายรูป ซึ่งจุดประสงค์ ที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึก เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาและเชิดชูบูชาดวงวิญญาณวีรบุรุษ วีรชนของชาติทุกยุคทุกสมัย ไว้เป็นแบบอย่างอันสูงส่ง แต่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งจับไม่ได้ มองไม่เห็น จึงได้สมมติเอาเปลวไฟที่ใสส่องขาวสะอาดเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณรูปธรรม เวลาประกอบพิธีเคารพบูชาตอบแทนบุญคุณ เหมือนกับว่าดวง วิญญาณปรากฏอยู่ต่อหน้า ด้าน นอกแต่ละมุมมีสระน้ำสร้างเป็นรูปดอกบัวตูม มีขอบสูง ปลายดอกบัวแหลมชี้ออกนอก ติดอยู่กับมุม แต่ละมุมมีรูปพญานาคชูหัวองอาจ ห้าวหาญ งดงาม ยกหงอนชี้ฟ้า อ้าปาก ตัวพญานาคเป็นตัวพระราชาแห่งนาค สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศลาว ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ดอกบัวตูมที่อยู่กลางสระน้ำหมายถึง ดอกไม้เลิศพันธุ์ ภายในมี แบบปูนปั้นภาพมหากาพย์รามายณะ ใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัยมีบันไดให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัย อากาศที่นี่ไม่ร้อนมากพวกเรา เมื่อชมความสวยงามของประตูชัยเสร็จ อ้ายกับเอื้อยพาผมไปไหว้อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง ซึ่งคนในเวียงจันทร์ให้ความเคารพ เสียค่าเข้าชมคนละ 5000 กีบ เป็นเงินไทย 20บาท ถือว่าคุ้มเหมือนกัน เพราะที่นี่เงียบสงบ มีแต่ชาวลาวไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมความสวยงามมากนัก
ตามประวัติตำนานเล่า ว่า พระธาตุองค์นี้ได้สร้างในสมัยพุทธศักราชที่ 236 โดยมีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูปเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้อันเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามายังนครเวียงจันทน์ด้วย ต่อมาด้ำกราบทูลพระยาจันทบุรีประสิทธิ์ศักดิ์ เจ้านครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ให้สร้างพระธาตุหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเพื่อให้ชาวลาวได้ กราบไหว้ กล่าวไว้ว่า พระธาตุองค์เดิมนั้นสร้างด้วยหินเป็นทรงโอคว่ำ มีการก่อกำแพงล้อมรอบเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน เชื่อกันว่าพระธาตุที่เห็นในปัจจุบันสร้างครอบองค์เดิม ซึ่งต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตามดำริของพระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นทรงมีพระบัญชา ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ณ บริเวณที่เคยเป็นเทวสถานเก่าของขอมโดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2109 และหลังจากสร้างพระธาตุหลวงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นล้อมรอบพระธาตุไว้ทั้งสี่ทิศด้วย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองแห่งด้วยกันคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือและวัดพระธาตุหลวงใต้
ไหว้อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกอ้ายและเอื้อยก็ขอตัวกลับก่อนเพราะติดธุระต้องไปทำต่อ แต่ทั้งสองมาส่งผมขึ้นรถสองแถว ก่อนจากกันผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มมาให้เขา ทั้งสองเดินจากผมไป เป้าหมายต่อไปก็เป็นวัดศีรษะเกศ ระยะทางไม่ใกล้มากจากประตูชัยและอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง นั่งรถสองแถวประมาน 10นาที ถึงวัดศรีษะเกษ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย เพราะหอพระแก้วใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต สมัยที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญมาจากเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ 2101 และอยู่ที่เวียงจันท์นานถึง 225 ปี จึงถูกอัญเชิญกลับพระนคร (สยามประเทศ) โดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในสมัยที่ยกทัพมาตีกรุงเวียงจันทน์
หอพระแก้วที่กรุงเวียงจันทน์นี้ เป็นวิหารขนาดใหญ่ที่มีความงดงามมาก ทั้งภายในและภายนอกไม่ได้ทาสีหรือใช้กระจกสีแต่งประดับเหมือนกับวิหารใน เมืองไทย จึงมองเห็นเนื้อปูนที่ผสมออกเป็นสีน้ำตาลปนแดง ดูคล้ายกับเป็นของเก่าที่ดูเคร่งขรึม ออกไปแนวคลาสสิก ภายในวิหารหอพระแก้วมีของเก่าแก่ล้ำค่ามากมายเช่นพระพุทธรูปปางต่างๆ ส่วนภายนอกก็ตั้งแสดงวัตถุโบราณในยุคขอม เช่นศิลาจารึก พระพุทธรูป และเทวรูปต่างๆ ที่งดงาม ล้ำค่ามาก นึกในใจว่าหากเป็นเมืองไทยก็คงไม่ยอมนำมาตั้งให้เสี่ยงต่อการโจรกรรมแบบนี้ แน่
จากหอพระแก้วก็เดินข้ามถนนไปขมวัดสีสะเกด มีพระพุทธรูปปูนปั้นเก่าแก่และเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมากที่สุดในลาว มีทั้งสิ้น6,000 องค์ รายล้อมรอบระเบียงคดเกือบทุกองค์อยู่ในสภาพที่ สมบูรณ์มาก บางองค์ก็เป็นโลหะสัมฤทธิ์เก่าแก่ วัดนี้สร้างในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงมีศิลปะคล้ายกับประเทศไทย... ออกจากวัดสีสะเกดก็มาที่วัดสีเมือง วันนี้คึกคักไปด้วยชาวลาวที่มาทำบุญเนื่องในวันเข้าพรรษา ทำให้เห็นวิถีชีวิตของชาวลาวในวันสำคัญทางศาสนาได้อย่างดี ผมเดินชมรอบบริเวณวัดนี้สร้างตามศิลปะรัตนโกสินทร์ก่อนจะเข้าไปไหว้พระข้างภาย เห็นครอบครัวชาวชาตินั่งจุดธุปจุด เทียนไหว้พระ เป็นความน่ารักที่ไร้พรมแดนของการนับถือศาสนา ผมออกจากวัดเป็นเวลาบ่ายแกๆ เดินออกมานั่งรถสองแถวกลับพัก ถึงที่พักก็พบกับอ้ายและเอื้อยคนเดิมกำลังซื้อกับข้าวบริเวณแถวที่พัก ทั้ง2 ชวนผมมานั่งกินข้าวที่บ้านในช่วงเย็น
บทความสารคดี มือใหม่หัดเที่ยวลาว
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่น่าจะผิดพลาด สำหรับการเริ่มหัดใช่หนังสือเดินทางและจุดเริ่มต้นของการเป็นนักท่องเที่ยวต่างแดนครั้งแรกของตัวผม จุดเริ่มต้นของการเดินทางอยู่ที่จังหวัดหนองคาย โดยข้ามสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว เดินข้ามสะพานข้างล่างเป็นแม่น้ำโขงที่ไหลเอื่อย ๆ กระเป๋าเป๋หนึ่งใบกับเงินสดประมาน 3000บาท เจอด่านตรวจยื่นหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่รอไม่กี่นาที ผู้คนแถวด่านดูเป็นกันเอง ยิ้มแย้มกันซึ่งต่างจากสภาพอากาศในช่วงนี้ เพราะเป็นฤดูร้อนอากาศไม่ต่างกับฝั่งไทยมากนัก มาเที่ยวลาวคนเดียวได้ บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ผมเดินไปซื้อน้ำเดิมที่ร้านขายของ ไม่ไกลจากด่านตรวจมากนัก ดื่มเสร็จนั่งพักให้หายเหนื่อยและหลบแดด หยิบคู่มือนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับประทศลาว เป้าหมายแรกของผมเป็น ที่แรกเป็นจังหวัดเวียงจัน แต่ปัญหาเป็นรถที่จะไปเวียงจันอยู่ที่ไหน? ผมเดินไปถามแม่ค้าขายน้ำบริเวณนั้น โชคดีที่เขาพูดภาษาไทยได้บ้าง พอจะคุยกันเข้าใจ ได้ความว่า ผมต้องไปนั่งรถสองแถวเพื่อเข้าไปเวียงจัน สภาพรถดูแล้วเก่าไม่มีคนไทยแม้แต่คนเดียว ภายในรถผมนั่งมองหน้าชาวลาวหน้าไม่ตางจากคนไทยมากมายนัก
รถเริ่มเคลื่อนตัวไปช้าๆตามรถที่มีสภาพเก่า ผมเห็นถุงเสื้อผ้าที่พวกเขาถือ ส่วนมากเป็นของไทยเป็นส่วนใหญ่ คงไปเที่ยวประเทศไทย รถวิ่งเพียงแค่ชั่วโมงกว่าๆผมก็อดถามคนในรถไม่ได้ เรื่องเวียงจันว่า เมื่อไหร่จะถึงเวียงจัน ชาวลาวทั้ง2คนพูดเป็นภาษาลาวบ้างไทยบ้าง แต่ก็พอจะเข้าใจว่าคงอีกไม่นาน เขาใจดียินดีที่จะบอกว่า ถ้าถึงแล้วจะบอก คนที่นี่ดูเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ผมเหมือนคนที่ประเทศเข้าไปทุกที มาเที่ยวแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ อาศัยเพียงแค่มีหนังสือเดินทางก็เดินทางได้แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก รถสองแถวค่อยๆจอดชาวลาวหันมาบอกผม ว่าถึงแล้วทั้ง 2 พูดภาษาไทยไม่ค่อยคล่องมาก เมื่อลงรถผมจ่ายเงินไป10บาท หันกลับมาอีกครั้งตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในเวียงจัน ผมมองหาโรงแรมที่จะพักอย่าพึ่งหวังแต่เรื่องโรงแรมหรูๆหรือระดับห้าดาวเหมือนกรุงเทพในประเทศไทย วันนี้ผมจะไปนอนไหนกันเวลาตอนนี้ก็5โมงครึ่งกว่าแล้ว ถนนมันทาทุลาดเริ่มมีผู้คนมากขึ้น ถือว่าเป็นถนนสายแรกที่ผมจดจำได้
เดินเท้าหาโรงแรมไม่เห็นติดป้ายว่า โรงแรม ผมเดินจนมีดค่ำจนได้ไปถามป้าที่ขายอาหารแถวนั้น ได้ความว่า ผมเดินผ่านโรงแรมมา2-3 คืนนี้จะได้นอนไหม ผมเดินย้อนกับไปเห็นป้ายเขียนว่า “เรือนพักสายสุลี” เข้าไปพบกับพนักนักงาน 2คน คุยกันประมาน 15นาที กว่าจะได้เช่าห้อง มองนาฬิกาที่แขวนไว้ข้างฝา ตอนนี้ 2ทุ่มกว่าแล้วเหงื่อเต็มตัวอยากอาบน้ำให้ชื่นใจมาก พนักนักงานยื่นกุญแจห้องมาให้ผม ส่วนอีกคนเดินนำทางผมไปยังห้องพัก สภาพไม่มีห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม ส่วนตัวตกแต่งแบบเรียบง่าย ตามราคาที่จ่ายอีกอย่างเป็นเวลากลางคืนแล้ว พนักงานเดินออกไปจาห้อง
ผมวางกระเป๋า ล้มตัวลงนอน พัดลมเพดานหมุน ไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงเครื่องวิทยุตั้งอยู่บานโต๊ะ 1เครื่องพร้อมน้ำเดิมอีกหนึ่งขวด ผมเดินไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำรวม เมื่ออาบเสร็จแต่งตัวออกไปจากโรงแรม เดินหาร้านอาหารซักแห่งในเวียงจันไม่ค่อยมีผู้คนออกมาเดินเท้าในยามค่ำคืน ต่างจากบ้านเราซึ่งไม่เคยมีการหยุดพัก ผมเดินมาจนสะดุดกับร้านอาหารหนึ่ง ชื่อว่าร้าน “ขอบใจเด๊อ” บรรยากาศเหมือนผับ เมื่อเดินเข้าไปในร้านชาวต่างประเทศนั่งทานกัน น่าจะมาถูกร้าน คงจะเป็นร้านอร่อยในย่านนี้ พนักนักงานของร้านเดินมาบริการพร้อมกับยื่นเมนูอาหารมาให้ผม ปัญหาเกิดอีกครั้งหนึ่งเพราะในนั้นไม่มีภาษาไทย มีแต่ภาษาอังกฤษและภาษาลาว ผมเริ่มอ่านอยู่ซักพักหนึ่ง สั่งเป็นปลาแม่น้ำเผา 1ตัว พนักงานถามแบบรู้ใจผม “เอาเบียร์นับบ่อ้าย” ผมหันไปบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆว่าเอามา1ขวดสิ พนักงานพูดแบบติดตลกว่า “เอาเบียร์ ไทยหรือลาว” “ขอเบียร์ลาวนะน้อง” พนักงานเดินจากไป ประเทศลาวไม่วุ่นวายสงบเพราะผู้คนไม่ชอบเที่ยว ร้านนี้ไม่ค่อยมีคนลาวมาเที่ยว เหมาะแก่การมาพักผ่อนใจให้สงบ 15นาทีผ่านไปอาหารที่สั่งก็มา เบียร์ลาวและปลาแม่น้ำเผา ผมเริ่มรับประทานฟังเพลงที่ทางร้านเปิดเข้ากับบรรยากาศ ดื่มเบียร์ลาว รสชาติไม่หนักเท่าเบียร์ไทยขากลับผมคงต้องติดไม้ติดมือไปฝากเพื่อนที่ประเทศไทย ปลาที่นี่สดไม่มีกลิ่นแม้แต่น้อย รสชาติดี
เมื่อทานเสร็จเรียบร้อย พนักงานเดินมาเก็บเงินค่าอาหารพร้อมกับค่าเครื่องเดิม รวมแล้ว 120 บาท ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับฝั่งไทย ความเรียบง่ายในประเทศลาว มีมลเสน่ห์ที่น่าหลงใหลผมเริ่มเข้าสัมผัสได้ถึงสิ่งนี้ ผมเดินออกจากร้านพนักงานหันมายิ้มให้ผม พร้อมกับพูดภาษาไทยกับผม “พรุ่งนี้มาใหม่นะพี่ชาย” ผมหันมายิ้มให้เขา แล้วเดินออกจากร้าน ถนนเส้นนี้ไม่มีเสียงรถ บ้านแต่ละหลังปิดหมด เดินได้ไม่นานก็ถึงที่พัก ถึงที่นอนแล้วหลับ วันนี้ผมนอนที่ลาวด้วยความเหนื่อยล้า
รุ่งเช้าตื่นมาประมาน6โมงเช้า ผมอาบน้ำแต่งตัวออกมานอกที่พัก เห็นชาวบ้านกำลังทำบุญ รองถามพนักงานเขาตักบาตรทุกวันเลยไหม เขาตอบเป็นภาษาไทยฟังแล้วไม่ชัดมาก “เขาทำกันทุกวันเลยครับ อ้ายรองตักบาตรบ้างไหม “ พนักงานหันไปหยิบข้าวเหนียวในร้านแล้วยื่นมาให้ผม เดินไปตักบาตรกับคนลาว ดูแล้วไม่แปลกมากเท่าไรเพราะคนไทยกับคนลาวก็ชอบทำบุญเหมือนกัน เมื่อตักบาตรเสร็จชาวลาวหันมาถามผม ว่ามาจากจังหวัดอะไร บอกไปว่า “มาจากหนองคาย มาเที่ยว2-3วันแล้วจะกลับ” ผมถามเขาไปว่า “มื้อนี้ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี แนะนำหน่อย” ได้สถานที่เที่ยวมามี2แห่ง คือ ประตูชัยของเวียงจันทร์ และวัดศีรษะเกศ อ้ายและเอื้อยคนลาว2คนเขาจะไปเที่ยวเหมือนกัน ผมดีใจมากได้คนนำเที่ยวเป็นคนลาว ทั้งสองเป็นพี่น้อง เราตกลงกันว่าอีก 15นาทีมาเจอกันที่หน้าร้าน ผมขอไปแต่งตัวก่อนไปเที่ยว
เมื่อแต่งตัวเสร็จทั้งสองมารอหน้าที่พัก เขาพาผมนั่งรถสามล้อไปที่ประตูชัยผ่านบ้านเรือนสภาพเก่าหลายหลัง เมื่อถึงเรา3คนเสียค่าผ่านประตูคนละ 2000กีบ ประมาณ 10บาทของเงินไทย เมื่อเข้าไปในประตู ผู้คนและนักท่องเที่ยวต่างถ่ายรูป ซึ่งจุดประสงค์ ที่สร้างขึ้น เพื่อเป็นที่ระลึก เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาและเชิดชูบูชาดวงวิญญาณวีรบุรุษ วีรชนของชาติทุกยุคทุกสมัย ไว้เป็นแบบอย่างอันสูงส่ง แต่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งจับไม่ได้ มองไม่เห็น จึงได้สมมติเอาเปลวไฟที่ใสส่องขาวสะอาดเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณรูปธรรม เวลาประกอบพิธีเคารพบูชาตอบแทนบุญคุณ เหมือนกับว่าดวง วิญญาณปรากฏอยู่ต่อหน้า ด้าน นอกแต่ละมุมมีสระน้ำสร้างเป็นรูปดอกบัวตูม มีขอบสูง ปลายดอกบัวแหลมชี้ออกนอก ติดอยู่กับมุม แต่ละมุมมีรูปพญานาคชูหัวองอาจ ห้าวหาญ งดงาม ยกหงอนชี้ฟ้า อ้าปาก ตัวพญานาคเป็นตัวพระราชาแห่งนาค สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศลาว ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทน ลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปศิลปะลาว ดอกบัวตูมที่อยู่กลางสระน้ำหมายถึง ดอกไม้เลิศพันธุ์ ภายในมี แบบปูนปั้นภาพมหากาพย์รามายณะ ใต้ซุ้มประตูโค้งของประตูชัยมีบันไดให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์ของนครเวียงจันทน์ บนยอดของประตูชัย อากาศที่นี่ไม่ร้อนมากพวกเรา เมื่อชมความสวยงามของประตูชัยเสร็จ อ้ายกับเอื้อยพาผมไปไหว้อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง ซึ่งคนในเวียงจันทร์ให้ความเคารพ เสียค่าเข้าชมคนละ 5000 กีบ เป็นเงินไทย 20บาท ถือว่าคุ้มเหมือนกัน เพราะที่นี่เงียบสงบ มีแต่ชาวลาวไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมความสวยงามมากนัก
ตามประวัติตำนานเล่า ว่า พระธาตุองค์นี้ได้สร้างในสมัยพุทธศักราชที่ 236 โดยมีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูปเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้อันเชิญพระอุรังคธาตุของพระพุทธเจ้ามายังนครเวียงจันทน์ด้วย ต่อมาด้ำกราบทูลพระยาจันทบุรีประสิทธิ์ศักดิ์ เจ้านครเวียงจันทน์ในสมัยนั้น ให้สร้างพระธาตุหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุเพื่อให้ชาวลาวได้ กราบไหว้ กล่าวไว้ว่า พระธาตุองค์เดิมนั้นสร้างด้วยหินเป็นทรงโอคว่ำ มีการก่อกำแพงล้อมรอบเอาไว้ทั้ง 4 ด้าน เชื่อกันว่าพระธาตุที่เห็นในปัจจุบันสร้างครอบองค์เดิม ซึ่งต่อมาสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของราชอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ตามดำริของพระราชบิดา คือพระเจ้าโพธิสาร จากนั้นทรงมีพระบัญชา ให้ทรงสร้างพระเจดีย์องค์ใหม่ครอบพระธาตุองค์เดิมไว้ ณ บริเวณที่เคยเป็นเทวสถานเก่าของขอมโดยเริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ.2109 และหลังจากสร้างพระธาตุหลวงได้โปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นล้อมรอบพระธาตุไว้ทั้งสี่ทิศด้วย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงสองแห่งด้วยกันคือ วัดพระธาตุหลวงเหนือและวัดพระธาตุหลวงใต้
ไหว้อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกอ้ายและเอื้อยก็ขอตัวกลับก่อนเพราะติดธุระต้องไปทำต่อ แต่ทั้งสองมาส่งผมขึ้นรถสองแถว ก่อนจากกันผมไม่ลืมที่จะยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มมาให้เขา ทั้งสองเดินจากผมไป เป้าหมายต่อไปก็เป็นวัดศีรษะเกศ ระยะทางไม่ใกล้มากจากประตูชัยและอนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช หน้าวัดพระธาตุหลวง นั่งรถสองแถวประมาน 10นาที ถึงวัดศรีษะเกษ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ อาณาจักรล้านนาทางภาคเหนือของไทย เพราะหอพระแก้วใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต สมัยที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอัญเชิญมาจากเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ 2101 และอยู่ที่เวียงจันท์นานถึง 225 ปี จึงถูกอัญเชิญกลับพระนคร (สยามประเทศ) โดยเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในสมัยที่ยกทัพมาตีกรุงเวียงจันทน์
หอพระแก้วที่กรุงเวียงจันทน์นี้ เป็นวิหารขนาดใหญ่ที่มีความงดงามมาก ทั้งภายในและภายนอกไม่ได้ทาสีหรือใช้กระจกสีแต่งประดับเหมือนกับวิหารใน เมืองไทย จึงมองเห็นเนื้อปูนที่ผสมออกเป็นสีน้ำตาลปนแดง ดูคล้ายกับเป็นของเก่าที่ดูเคร่งขรึม ออกไปแนวคลาสสิก ภายในวิหารหอพระแก้วมีของเก่าแก่ล้ำค่ามากมายเช่นพระพุทธรูปปางต่างๆ ส่วนภายนอกก็ตั้งแสดงวัตถุโบราณในยุคขอม เช่นศิลาจารึก พระพุทธรูป และเทวรูปต่างๆ ที่งดงาม ล้ำค่ามาก นึกในใจว่าหากเป็นเมืองไทยก็คงไม่ยอมนำมาตั้งให้เสี่ยงต่อการโจรกรรมแบบนี้ แน่
จากหอพระแก้วก็เดินข้ามถนนไปขมวัดสีสะเกด มีพระพุทธรูปปูนปั้นเก่าแก่และเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปมากที่สุดในลาว มีทั้งสิ้น6,000 องค์ รายล้อมรอบระเบียงคดเกือบทุกองค์อยู่ในสภาพที่ สมบูรณ์มาก บางองค์ก็เป็นโลหะสัมฤทธิ์เก่าแก่ วัดนี้สร้างในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงมีศิลปะคล้ายกับประเทศไทย... ออกจากวัดสีสะเกดก็มาที่วัดสีเมือง วันนี้คึกคักไปด้วยชาวลาวที่มาทำบุญเนื่องในวันเข้าพรรษา ทำให้เห็นวิถีชีวิตของชาวลาวในวันสำคัญทางศาสนาได้อย่างดี ผมเดินชมรอบบริเวณวัดนี้สร้างตามศิลปะรัตนโกสินทร์ก่อนจะเข้าไปไหว้พระข้างภาย เห็นครอบครัวชาวชาตินั่งจุดธุปจุด เทียนไหว้พระ เป็นความน่ารักที่ไร้พรมแดนของการนับถือศาสนา ผมออกจากวัดเป็นเวลาบ่ายแกๆ เดินออกมานั่งรถสองแถวกลับพัก ถึงที่พักก็พบกับอ้ายและเอื้อยคนเดิมกำลังซื้อกับข้าวบริเวณแถวที่พัก ทั้ง2 ชวนผมมานั่งกินข้าวที่บ้านในช่วงเย็น