สถาบันครอบครัวในปัจจุบันดูเหมือนจะประสพปัญหาในหลายๆด้านครับ อัตราการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น อัตราการแต่งงานที่ลดลง ปริมาณเด็กที่เกิดนอกสมรส มีหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าจริงๆแล้วมนุษย์มีวิวัฒนาการเพื่อมีความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมีนเดียวจริงหรือ ผมจะขอพิจารณาคำถามนี้ใน 2 มิติครับ คือมิติทางสังคม กับมิติทางสรีระวิทยา
มิติทางสังคม
1. สังคมมนุษย์เริ่มจากการที่เรามีวิวัฒนาการมาจากลิงและเริ่มอยู่กันตามป่าเขา หรือถ้ำ คนเราใช้ชีวิตแบบ hunter gather มาเป็นล้านปีจนเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นสังคมการเกษตรเมื่อประมาณ 20,000. ปี ตัวอย่างสังคมแบบ hunter gatherer ดูได้จากพวกอินเดียนแดงในอเมริกา หรือคนป่าอัฟริกา ในช่วงนี้เราจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่เกิน 100-200 คน พวกผู้ชายจะออกล่าสัตว์ ผู้หญิงออกเก็บผลไม้ (ยังไม่มีการเพาะปลูกนะครับ) ของที่ได้มาแบ่งกันในกลุ่ม ไม่มีใครมีสมบัติส่วนตัว เพราะไม่สามารถสะสมอะไรได้เนื่องจากต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เวลามีลูก ทั้งเผ่าจะช่วยกันเลี้ยง สังคมช่วงนี้สถานะทางสังคมของหญิงและชายจะใกล้เคียงกัน เพราะต่องพึ่งพากันทั้งสองฝ่าย
2.20,000 ปีที่แล้ว คนเราเริ่มรู้จักการเพาะปลูก มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง สร้างบ้าน และมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองช่วงนี้คนเริ่มมีคอนเซพของกรรมสิทธิส่วนตัว และสมบัติส่วนตัว อำนาจเริ่มตกมาเป็นของฝ่ายชายเนื่องจากมีกล้ามเนื้อและแรงกายมากกว่า เหมาะในการทำการเกษตร สถาวะเช่นนี้ทำให้เพศหญิงถูกปฎิบัติเหมือนเป็นสมบัติของเพศชาย ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวน่าจะเริ่มจากตรงนี้ เพราะเมื่อมีลูก ก็ต้องมีคนคอยเลี้ยงลูก จะเพิ่งคนอื่นในเผ่าเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ได้แล้วเพราะแต่ละคนเริ่มอยู่กันคนละบ้าน ฝ่ายชายต้องออกไปเพาะปลูก ฝ่ายหญิงต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก สรุปว่าความจำเป็นในการดูแลลูกทำให้เกิดสภาวะผัวเดียวเมียเดียว
3.เมื่อสังคมมนุษย์เริ่มขยายตัว มีความซับซ้อนขึ้น สภาวะผัวเดียวเมียเดียวยังเป็นประโยชน์ต่อในด้านการปกครองครับ เนื่องจากธรรมชาติของฝ่ายหญิงโดยเฉพาะคนเป็นแม่ต้องการให้ลูกตัวเองได้รับทรัพยากรสูงสุดในการอยู่รอดและเจริญก้าวหน้า สมันโบราณผู้ชายที่พึงปราถนาต้องมีร่างกายแข็งแรงใหญ่โต เพื่อปกป้อง ปละแสวงหาทรัพยากรให้ลูกเมียครับ ปัจจุบันความจำเป็นด้านนี้ลดลง เปลี่ยน้ป็นความพร้อมด้านวัฒถุแทน ปัญหาคือถ้าเพศหญิงแสวงหาผู้ชายที่แข็งแรงและร่ำรวย ผู้ชายที่เหลือจะทำอย่างไร การที่มีระบบที่ก่อให้เกิดผู้ชายจำนวนมากที่ไร้คู่จะทำให้สังคมปั่นป่วนขาดความสงบ ดั้งนั้นระบบผัวเดียวเมียเดียวช่วยให้ผู้ชายส่วนใหญ่หาคู่ได้ในที่สุด ปละสังคมโดยรวมก็ได้ประโยชน์ครับ
ขอพักไปกินน้ำก่อนครับ
คุณว่าธรรมชาติของมนุษย์เหมาะกับความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวหรือไม่
มิติทางสังคม
1. สังคมมนุษย์เริ่มจากการที่เรามีวิวัฒนาการมาจากลิงและเริ่มอยู่กันตามป่าเขา หรือถ้ำ คนเราใช้ชีวิตแบบ hunter gather มาเป็นล้านปีจนเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นสังคมการเกษตรเมื่อประมาณ 20,000. ปี ตัวอย่างสังคมแบบ hunter gatherer ดูได้จากพวกอินเดียนแดงในอเมริกา หรือคนป่าอัฟริกา ในช่วงนี้เราจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ไม่เกิน 100-200 คน พวกผู้ชายจะออกล่าสัตว์ ผู้หญิงออกเก็บผลไม้ (ยังไม่มีการเพาะปลูกนะครับ) ของที่ได้มาแบ่งกันในกลุ่ม ไม่มีใครมีสมบัติส่วนตัว เพราะไม่สามารถสะสมอะไรได้เนื่องจากต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เวลามีลูก ทั้งเผ่าจะช่วยกันเลี้ยง สังคมช่วงนี้สถานะทางสังคมของหญิงและชายจะใกล้เคียงกัน เพราะต่องพึ่งพากันทั้งสองฝ่าย
2.20,000 ปีที่แล้ว คนเราเริ่มรู้จักการเพาะปลูก มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง สร้างบ้าน และมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองช่วงนี้คนเริ่มมีคอนเซพของกรรมสิทธิส่วนตัว และสมบัติส่วนตัว อำนาจเริ่มตกมาเป็นของฝ่ายชายเนื่องจากมีกล้ามเนื้อและแรงกายมากกว่า เหมาะในการทำการเกษตร สถาวะเช่นนี้ทำให้เพศหญิงถูกปฎิบัติเหมือนเป็นสมบัติของเพศชาย ความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวน่าจะเริ่มจากตรงนี้ เพราะเมื่อมีลูก ก็ต้องมีคนคอยเลี้ยงลูก จะเพิ่งคนอื่นในเผ่าเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ได้แล้วเพราะแต่ละคนเริ่มอยู่กันคนละบ้าน ฝ่ายชายต้องออกไปเพาะปลูก ฝ่ายหญิงต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูก สรุปว่าความจำเป็นในการดูแลลูกทำให้เกิดสภาวะผัวเดียวเมียเดียว
3.เมื่อสังคมมนุษย์เริ่มขยายตัว มีความซับซ้อนขึ้น สภาวะผัวเดียวเมียเดียวยังเป็นประโยชน์ต่อในด้านการปกครองครับ เนื่องจากธรรมชาติของฝ่ายหญิงโดยเฉพาะคนเป็นแม่ต้องการให้ลูกตัวเองได้รับทรัพยากรสูงสุดในการอยู่รอดและเจริญก้าวหน้า สมันโบราณผู้ชายที่พึงปราถนาต้องมีร่างกายแข็งแรงใหญ่โต เพื่อปกป้อง ปละแสวงหาทรัพยากรให้ลูกเมียครับ ปัจจุบันความจำเป็นด้านนี้ลดลง เปลี่ยน้ป็นความพร้อมด้านวัฒถุแทน ปัญหาคือถ้าเพศหญิงแสวงหาผู้ชายที่แข็งแรงและร่ำรวย ผู้ชายที่เหลือจะทำอย่างไร การที่มีระบบที่ก่อให้เกิดผู้ชายจำนวนมากที่ไร้คู่จะทำให้สังคมปั่นป่วนขาดความสงบ ดั้งนั้นระบบผัวเดียวเมียเดียวช่วยให้ผู้ชายส่วนใหญ่หาคู่ได้ในที่สุด ปละสังคมโดยรวมก็ได้ประโยชน์ครับ
ขอพักไปกินน้ำก่อนครับ