อ่านคำพิพากษา คดีเผาเซนทรัลเวิลด์ ศาลยกฟ้อง 2 นปช. ชี้หลักฐานอ่อน

กระทู้สนทนา
ศาลยกฟ้อง 2 นปช. คดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ปี พ.ศ.2553 เหตุหลักฐานอ่อน แต่มีความผิดฐาน ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เนื่องจากถูกคุมขังครบกำหนดโทษแล้ว จึงให้ปล่อยตัว...

.
เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 56 ที่ห้องพิจารณา 405 ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายสายชล แพบัว อายุ 31 ปี ชาว จ.ชัยนาท การ์ด นปช. และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุม

.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช. บริเวณสี่แยกราชประสงค์ กทม. ในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล จำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ ใช้ไม้และเหล็กทำลายบานกระจก ผนังอาคารเซ็นทาวเวอร์ อาคารเซ็นทรัล เวิลด์ แตกเสียหาย ก่อนจำเลยทั้งสองกับพวก จะเข้าไปภายในอาคารใช้ขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่บรรจุน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟแล้วโยนเข้าไปในบริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นแผนกเครื่องสำอางและเสื้อผ้า ทำให้เพลิงลุกไหม้เผาอาคารเซ็นทาวเวอร์ ทำให้ทรัพย์สินของร้านค้าเสียหาย 270 ราย รวมค่าเสียหาย 8,890,578,649.61 บาท จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ นายกิตติพงษ์ สมสุข ถึงแก่ความตายอีกด้วย เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน กทม. จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

.
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะมีพยานเป็น รปภ. ที่เป็นผู้ถ่ายภาพ จำเลยที่ 1 ได้ในที่เกิดเหตุ แต่พยานปากนี้อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุ 30 เมตร และเห็นเพียงว่าจำเลยที่ 1 ถือถังดับเพลิง ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ที่จะใช้ในการวางเพลิง แม้จะอนุมานไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 จะเข้าไปช่วยดับเพลิงหรือไม่ ประกอบกับพยานโจทก์ปากนี้ ไม่สามารถตอบคำถามทนายจำเลยได้ว่า เห็นจำเลยที่ 1 เป็นผู้วางเพลิงหรือไม่ นอกจากนี้ โจทก์ยังไม่มีพยานปากอื่น ที่จะมาเบิกความชี้ชัดถึงพฤติการณ์จำเลยที่ 1 ในการวางเพลิงหรือสนับสนุนการวางเพลิงแต่อย่างใด นอกจากภาพถ่ายเพียงใบเดียว ที่แสดงให้เห็นเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่มีใครเห็นว่าจำเลยที่ 1 จะทำอย่างไรต่อไป

.
พยานโจทก์จึงยังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย ที่ร่วมทำผิดในคดีนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น พยานโจทก์ยังมีความน่าสงสัยเช่นกันว่าจะสามารถจดจำใบหน้าจำเลยที่ 2 ได้จริงหรือไม่ เพราะขณะจับกุมจำเลยที่ 2 อยู่ในช่วงชุลมุนจากการยิงลูกหินของกลุ่มคนร้ายที่ยิงเข้าใส่ ทำให้พยานต้องคอยหลบหลีกอยู่ตลอดเวลา

.
นอกจากนี้ โจทก์ยังไม่นำเจ้าหน้าที่ซึ่งจับกุมจำเลยที่ 2 มาเบิกความสนับสนุน ถึงการจับกุมจำเลยที่ 2 ว่าจับได้ที่ชั้นไหน มีวัสดุอุปกรณ์ หรือมีร่องรอยหลักฐานตามตัวในการวางเพลิงหรือไม่ พยานโจทก์ที่นำสืบมายังมีเหตุสงสัยว่าจำเลยที่ 2 จะกระทำผิดหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือนที่เก็บสินค้า เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ที่โจทก์ฟ้องจำเลย ทั้งสองกระทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะให้การปฏิเสธในภายหลังว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่จากคำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุม ที่เกิดขึ้นไม่นานจากวันเกิดเหตุ ว่าจำเลยที่ 1 เข้าไปในห้างสรรพสินค้าดังกล่าว เนื่องจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าการ์ด นปช.ให้เข้าไประงับเหตุ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ห้ามชุมนุม ประกอบกับพยานโจทก์ เป็นเจ้าหน้าที่ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าคำให้การไม่ใช้การให้ร้ายจำเลย เพื่อให้รับโทษ ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ในภายหลังจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ลงโทษจำคุก 1 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน

.
ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น พนักงานอัยการเคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาแล้ว ซึ่งศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 เดือน โดยที่พฤติการณ์เกี่ยวพันกับคดีนี้ ถือเป็นความผิดกรรมเดียว จึงไม่สามารถนำคดีมาฟ้องให้ศาลลงโทษได้อีก พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยศาลได้ออกหมายปล่อยจำเลยทั้งสอง เนื่องจากในระหว่างการพิจารณาคดีจำเลยที่ 1 ถูกคุมขังมาครบกำหนดโทษแล้ว


ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
25 มีนาคม 2556, 16:13 น.

http://www.thairath.co.th/content/region/334728


==============================
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่