การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำให้คนไทยต้องใช้หนี้กันข้ามศตวรรษ
1) เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เขียนว่า 2,000,000,000,000 บาท
2) เงินกู้จำนวนนี้ หากกองเป็นแบงก์พัน จะได้ภูเขาย่อมๆ หนัก 2,000 ตัน
ถ้าใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ ขนเงินคันละ 20 ตัน ก็จะต้องใช้รถบรรทุกจำนวน 100 คัน
3) เงินกู้จำนวนนี้ รัฐบาลอ้างว่า จะใช้เงินกู้หมดภายใน 7 ปีนับจากนี้ไป
แต่จะใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดภายใน 50 ปี (ระบุในร่าง พ.ร.บ.)
เท่ากับว่า จะใช้หนี้หมด พ.ศ.2603 โน่น
หมายความว่า เป็นหนี้ข้ามศตวรรษ!
เชื่อว่า ถึงตอนนั้น นักการเมืองใน ครม.ยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่น่าจะสิ้นสภาพความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
4) ภายใน 50 ปี คนไทยจะต้องใช้หนี้เงินต้น 2 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ยก้อนมหึมา
คำนวณว่า ดอกเบี้ยอาจจะถึง 3 ล้านล้านบาท (กู้ระยะยาว)
รวมเงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย อาจจะสูงถึง 5 ล้านล้านบาท
เงินจำนวนนี้ ถ้าเอาแบงก์พันมาวางต่อกัน จะยาวกว่าระยะทางไป-กลับ โลกมนุษย์และดวงจันทร์ (380,000 กิโลเมตร)
5) เงิน 2 ล้านล้านบาท เท่ากับรายได้ทั้งปีในงบประมาณแผ่นดินของประเทศ
เท่ากับเงินภาษีทุกชนิดที่จัดเก็บจากคนไทยทั้งประเทศ รวมรายได้จากรัฐวิสาหกิจทุกแห่งของไทย เช่น ปตท. การบินไทย ฯลฯ
ถ้าอยากรู้ว่าเงินก้อนนี้มากไหม ก็ต้องลองคิดว่าถ้าประเทศถูกมหาโจรขโมยรายได้ไปทั้งปี ไม่มีเงินให้รัฐบาลมาใช้จ่ายอะไรเลย จะเป็นอย่างไร
6) รัฐบาลอ้างว่า กู้แล้วจะไม่ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงเกิน 50% ของจีดีพี
แต่สมมุติฐานที่นำมาอ้าง คือ อ้างว่า ตลอด 7 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องปีละ 7.5% ทุกปี
และหลังปี 2556 โครงการจำนำข้าว จะไม่ขาดทุนอีกเลย (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่จะเลิกโครงการ โดยนักวิจัยคำนวณว่าขาดทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ต่อปี)
ยังไม่นับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป ฯลฯ กระทบต่อจีดีพีของประเทศไทยทั้งสิ้น
ถ้าเกิดมีวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วง 50 ปีหลังจากนี้ ย่อมจะกระทบภาระหนี้ต่อจีดีพี กระเทือนความสามารถในการชำระหนี้ ขณะที่รัฐบาลไทยในอนาคตจะสามารถใช้เงินแผ่นดินเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างจำกัดจำเขี่ย เนื่องจากถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถลุงเงินล่วงหน้า และผูกมัดตราสังให้ใช้หนี้เอาไว้ก่อนแล้วนั่นเอง
7) ในเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนี้ รัฐบาลอ้างว่า มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – หนองคาย
แต่ในความเป็นจริง ตั้งงบไว้ก่อสร้างถึงแค่นครราชสีมาเท่านั้น
ส่วนช่วงนครราชสีมา-หนองคาย มีแค่งบศึกษาโครงการ
ยังไม่ลงมือก่อสร้าง อ้างว่าเฟสต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
8) การประเมินงบโครงการต่างๆ ขณะนี้ ฝุ่นตลบอย่างยิ่งมีการปรับแก้งบ โยกเงินโครงการ สลับสับเปลี่ยนอย่างเมามันส์
ทำอย่างกับเล่นเกมส์ซิมซิตี้
ยกตัวอย่าง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน อาจมีการเปลี่ยนแปลงสถานีระหว่างเส้นทาง มอเตอร์เวย์บางสายจากหกเลนเหลือสี่เลน มอเตอร์เวย์บางสายก็ได้แค่งบค่าเวนคืน เป็นต้น
การตัดสินใจไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ แต่ขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมืองล้วนๆ
ทั้งหมด มีคนตัดสินใจไม่กี่คน
9) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 33 แห่ง พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.7 อยากให้รัฐบาลดำเนินการลงทุนด้วยวิธีการอื่นๆ มากกว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงิน เนื่องจากเป็นห่วงในปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นปัญหาสำหรับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน คือ ปัญหาหนี้สาธารณะและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
ประเด็นความกังวลต่อหนี้สาธารณะ ปรากฏว่า ร้อยละ 60 บอกว่าน่าเป็นกังวล เพราะหนี้สาธารณะอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ต่อจีดีพี หากเจอวิกฤติเศรษฐกิจหรือฟองสบู่แตก/รัฐอาจขาดสภาพคล่องจากโครงการอื่นๆ ร่วมด้วย/การตรวจสอบและป้องกันการคอร์รัปชั่นยังไม่ชัดเจน/ปัญหาเศรษฐกิจโลกยังมี/เครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะน้อยลงหากเจอวิกฤติ/ผลตอบแทนอาจไม่คุ้มค่าการลงทุน ระยะเวลาคืนทุนนาน/GDP อาจเพิ่มไม่มาก
ส่วนประเด็นความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลที่จะดูแลปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจเกิดขึ้นในโครงการนี้ ปรากฏว่า ร้อยละ 88.3 บอกว่า
ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย และในจำนวนนี้ มีถึงร้อยละ 48.3 เชื่อว่าคงมีการทุจริตอยู่ในระดับที่สูงกว่าโครงการทั่วไป
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/5940
ปล.เอ่อ เวลามัน อิบฮาย มา ใครรับผิดชอบมั่งเนี้ย...ตายกันไปหมดแล้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ
หนี้ข้ามศตวรรษ
1) เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เขียนว่า 2,000,000,000,000 บาท
2) เงินกู้จำนวนนี้ หากกองเป็นแบงก์พัน จะได้ภูเขาย่อมๆ หนัก 2,000 ตัน
ถ้าใช้รถบรรทุกขนาดใหญ่ ขนเงินคันละ 20 ตัน ก็จะต้องใช้รถบรรทุกจำนวน 100 คัน
3) เงินกู้จำนวนนี้ รัฐบาลอ้างว่า จะใช้เงินกู้หมดภายใน 7 ปีนับจากนี้ไป
แต่จะใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดภายใน 50 ปี (ระบุในร่าง พ.ร.บ.)
เท่ากับว่า จะใช้หนี้หมด พ.ศ.2603 โน่น
หมายความว่า เป็นหนี้ข้ามศตวรรษ!
เชื่อว่า ถึงตอนนั้น นักการเมืองใน ครม.ยิ่งลักษณ์ ส่วนใหญ่น่าจะสิ้นสภาพความเป็นมนุษย์ไปแล้ว
4) ภายใน 50 ปี คนไทยจะต้องใช้หนี้เงินต้น 2 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ยก้อนมหึมา
คำนวณว่า ดอกเบี้ยอาจจะถึง 3 ล้านล้านบาท (กู้ระยะยาว)
รวมเงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย อาจจะสูงถึง 5 ล้านล้านบาท
เงินจำนวนนี้ ถ้าเอาแบงก์พันมาวางต่อกัน จะยาวกว่าระยะทางไป-กลับ โลกมนุษย์และดวงจันทร์ (380,000 กิโลเมตร)
5) เงิน 2 ล้านล้านบาท เท่ากับรายได้ทั้งปีในงบประมาณแผ่นดินของประเทศ
เท่ากับเงินภาษีทุกชนิดที่จัดเก็บจากคนไทยทั้งประเทศ รวมรายได้จากรัฐวิสาหกิจทุกแห่งของไทย เช่น ปตท. การบินไทย ฯลฯ
ถ้าอยากรู้ว่าเงินก้อนนี้มากไหม ก็ต้องลองคิดว่าถ้าประเทศถูกมหาโจรขโมยรายได้ไปทั้งปี ไม่มีเงินให้รัฐบาลมาใช้จ่ายอะไรเลย จะเป็นอย่างไร
6) รัฐบาลอ้างว่า กู้แล้วจะไม่ทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงเกิน 50% ของจีดีพี
แต่สมมุติฐานที่นำมาอ้าง คือ อ้างว่า ตลอด 7 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่อเนื่องปีละ 7.5% ทุกปี
และหลังปี 2556 โครงการจำนำข้าว จะไม่ขาดทุนอีกเลย (ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เว้นแต่จะเลิกโครงการ โดยนักวิจัยคำนวณว่าขาดทุนกว่า 200,000 ล้านบาท ต่อปี)
ยังไม่นับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก จีน ญี่ปุ่น สหรัฐ ยุโรป ฯลฯ กระทบต่อจีดีพีของประเทศไทยทั้งสิ้น
ถ้าเกิดมีวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วง 50 ปีหลังจากนี้ ย่อมจะกระทบภาระหนี้ต่อจีดีพี กระเทือนความสามารถในการชำระหนี้ ขณะที่รัฐบาลไทยในอนาคตจะสามารถใช้เงินแผ่นดินเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้อย่างจำกัดจำเขี่ย เนื่องจากถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถลุงเงินล่วงหน้า และผูกมัดตราสังให้ใช้หนี้เอาไว้ก่อนแล้วนั่นเอง
7) ในเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนี้ รัฐบาลอ้างว่า มีโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – หนองคาย
แต่ในความเป็นจริง ตั้งงบไว้ก่อสร้างถึงแค่นครราชสีมาเท่านั้น
ส่วนช่วงนครราชสีมา-หนองคาย มีแค่งบศึกษาโครงการ
ยังไม่ลงมือก่อสร้าง อ้างว่าเฟสต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
8) การประเมินงบโครงการต่างๆ ขณะนี้ ฝุ่นตลบอย่างยิ่งมีการปรับแก้งบ โยกเงินโครงการ สลับสับเปลี่ยนอย่างเมามันส์
ทำอย่างกับเล่นเกมส์ซิมซิตี้
ยกตัวอย่าง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน อาจมีการเปลี่ยนแปลงสถานีระหว่างเส้นทาง มอเตอร์เวย์บางสายจากหกเลนเหลือสี่เลน มอเตอร์เวย์บางสายก็ได้แค่งบค่าเวนคืน เป็นต้น
การตัดสินใจไม่คำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ แต่ขึ้นกับผลประโยชน์ทางการเมืองล้วนๆ
ทั้งหมด มีคนตัดสินใจไม่กี่คน
9) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 33 แห่ง พบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 56.7 อยากให้รัฐบาลดำเนินการลงทุนด้วยวิธีการอื่นๆ มากกว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงิน เนื่องจากเป็นห่วงในปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นปัญหาสำหรับการออก พ.ร.บ.กู้เงิน คือ ปัญหาหนี้สาธารณะและปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น
ประเด็นความกังวลต่อหนี้สาธารณะ ปรากฏว่า ร้อยละ 60 บอกว่าน่าเป็นกังวล เพราะหนี้สาธารณะอาจเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 ต่อจีดีพี หากเจอวิกฤติเศรษฐกิจหรือฟองสบู่แตก/รัฐอาจขาดสภาพคล่องจากโครงการอื่นๆ ร่วมด้วย/การตรวจสอบและป้องกันการคอร์รัปชั่นยังไม่ชัดเจน/ปัญหาเศรษฐกิจโลกยังมี/เครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะน้อยลงหากเจอวิกฤติ/ผลตอบแทนอาจไม่คุ้มค่าการลงทุน ระยะเวลาคืนทุนนาน/GDP อาจเพิ่มไม่มาก
ส่วนประเด็นความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลที่จะดูแลปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นที่อาจเกิดขึ้นในโครงการนี้ ปรากฏว่า ร้อยละ 88.3 บอกว่า
ไม่ค่อยเชื่อมั่นถึงไม่เชื่อมั่นเลย และในจำนวนนี้ มีถึงร้อยละ 48.3 เชื่อว่าคงมีการทุจริตอยู่ในระดับที่สูงกว่าโครงการทั่วไป
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/5940
ปล.เอ่อ เวลามัน อิบฮาย มา ใครรับผิดชอบมั่งเนี้ย...ตายกันไปหมดแล้ว...เอิ๊ก ๆ ๆ