ข่าวนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับสังคมมุสลิมทั้ง ในประเทศไทยและต่างประเทศ ถ้าเรื่องนี้ คณะอาจารย์ของ Al Azhar University ยอมรับ และ รับรองวิทยานิพนธ์ ของ Sheikh Mustapha Mohamed Rashed ว่าถูกต้องแล้ว จะมีผลทางสังคมการเมืองตามมาอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ มีความสำคัญทางสังคมทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เนื่องจาก ว่า ปัญหาเรื่อง ที่ว่าฮิญาบเป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่มุสลิมมะห์ จำเป็นต้องถูกบังคับให้สวม หรือ รัฐจำเป็นที่จะต้องแก้ไขระเบียบการแต่งกายของข้าราชการในหลายๆหน่วยงาน ให้สอดคล้องกับข้ออ้างว่า "ฮิญาบ" เป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่ มุสลิมะห์ มีความจำเป็นจะต้อง สวมใส่เมื่อเวลาอยู่นอกบ้าน
ในปัจจุบันนี้ นักวิชาการทางศาสนาอิสลามได้ นำเรื่อง "ฮิญาบ" นี้มาพิจารณากันใหม่ เกี่ยวกับเรื่องการอธิบายความหมายของบัญญัติในอัลกุรอานที่เกี่ยวกับระเบียบการแต่งกายของหญิงและชายมุสลิม,
นักวิชาการทางศาสนาอิสลามไม่เห็นพ้องกันในการที่จะสนับสนุนการสวมฮิญาบว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลาม และเป็นหน้าที่ทางศาสนาที่มุสลิม จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตาม
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเขียนของเจ้าของกระทู้ ดังนั้นจึงขอนำต้นฉบับอย่างย่อๆ มาลง ซึ่งถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยแล้ว อาจจะมีผู้ท้วงติงว่า จขกท ตัดต่อข้อความ ไปตามความคิดเห็นของตนเอง แต่ขอ กล่าวอย่างย่อๆว่า Sheikh Mustapha Mohamed Rashed เขา มีข้ออ้างอิงด้วยเหตุผลทางวิชาการดังต่อไปนี้
Sheikh Mustapha อ้างว่า
คำว่า
"ฮิญาบที่หมายถึงผ้าคลุมหัวของหญิง"นั้น, ไม่มี กล่าวถึงในอัลกุรอานในที่ใดเลย, แต่ผู้รู้นักวิชาการทางศาสนาอิสลามจำนวนมาก พากันอ้างว่า "การสวมฮิญาบ" เป็นหน้าที่ของมุสลิมะห์และเป็นหลักการของศา่สนาอิสลามที่สำคัญข้อหนึ่ง, โดยที่...
1. นักวิชาการ เหล่านี้ "deviated from the purposes of the Islamic law and “Sahih Atafsir” or the true interpretation. They rejected reasoning and relied only on literal text.”
2. นักวิชาการ เหล่านี้ "de-contextualized the verses of the Quran and interpreted them in their very own liking, following some ancient scholars, as if what they said is sacred and is no subject to Ijtihad."
3.นักวิชาการ เหล่านี้, "departed from “Al Minhaj Assahih,” or the true path, of interpretation and reasoning, which interprets the verses according to their historical context and the causes of revelation."
4.นักวิชาการ เหล่านี้,
“interpreted the verses in their general sense, overlooking the causes of their revelation, intentionally or due to their limited intellectual capacity resulted in psychological scourge.” Worse yet, they approached hundreds of important issues in the same way.”
5.นักวิชาการ เหล่านี้, ให้เหตุผลในการ สนับสนุน การสวม ฮิญาบ จากหลักฐานที่ไม่มีความจริง โดยการบิดเบนความหมายของศัพท์ต่างๆต่อไปนี้
They would ascribe various meanings to the veil, from Hijab to Khimar to Jalabib, a fact which shows that they digressed from the true meaning they intended to address, the cover of the head,”
สรุปก็คือ Sheikh Mustapha Mohamed Rashed แสดงให้เห็นว่า นักวิชาการ ผู้ที่สนับสนุนการสวมฮิญาบเหล่านี้ ที่อ้างว่า การสวมฮิญาบ เป็นหน้าที่ ของมุสลิมตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้น ใช้วิทีทุกๆอย่าง โดยปราศจากเหตุผลและ หลักฐานที่แท้จริง, กับทั้งไม่ใช้ขบวนการ ของ กฏหมายอิสลาม ในการพิจารณา จัดทำให้ถูกต้องตามหลักการของกฏหมายอิสลาม เนื่องจาก กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐาน, โดยทำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องศักสิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้หลัการกฏหมายอิสลามรับรอง (แต่ออกกฏหมายบังคับใช้)
อ่านรายละเอียดได้ที่ลิ้งค์นี้
http://www.moroccoworldnews.com/2012/06/45564/hijab-is-not-an-islamic-duty-scholar/
ปล.
ความเห็นของ จขกท. ในเรื่องที่อ้างว่า "การสวมฮิญาบ" เป็นหลักการปฏิบัติของศาสนาอิสลามนั้น ไม่ต่างจากการอ้างว่า "STONING" เป็นหลักการของศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เพราะว่า "การสวมฮิญาบ" และ การ "STONING" ไม่มีในอัลกุรอาน แต่มีอยู่ใน คัมภีร์ไบเบิล เช่นเดียวกัน
มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านรอซูลมูฮัมมัด จะสอนในสิ่งที่เราไม่พบหรือไม่มีใน "อัลกุรอาน" แต่มีอยู่ ใน, "คัมภีร์ ไบเบิลและ โตรา"

“Hijab is Not an Islamic Duty,” says Muslim Scholar, Sheikh Mustapha Mohamed Rashed – Al Azhar University …
เรื่องนี้ มีความสำคัญทางสังคมทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เนื่องจาก ว่า ปัญหาเรื่อง ที่ว่าฮิญาบเป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่มุสลิมมะห์ จำเป็นต้องถูกบังคับให้สวม หรือ รัฐจำเป็นที่จะต้องแก้ไขระเบียบการแต่งกายของข้าราชการในหลายๆหน่วยงาน ให้สอดคล้องกับข้ออ้างว่า "ฮิญาบ" เป็นหลักการของศาสนาอิสลามที่ มุสลิมะห์ มีความจำเป็นจะต้อง สวมใส่เมื่อเวลาอยู่นอกบ้าน
ในปัจจุบันนี้ นักวิชาการทางศาสนาอิสลามได้ นำเรื่อง "ฮิญาบ" นี้มาพิจารณากันใหม่ เกี่ยวกับเรื่องการอธิบายความหมายของบัญญัติในอัลกุรอานที่เกี่ยวกับระเบียบการแต่งกายของหญิงและชายมุสลิม,นักวิชาการทางศาสนาอิสลามไม่เห็นพ้องกันในการที่จะสนับสนุนการสวมฮิญาบว่าเป็นหลักการของศาสนาอิสลาม และเป็นหน้าที่ทางศาสนาที่มุสลิม จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตาม
เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเขียนของเจ้าของกระทู้ ดังนั้นจึงขอนำต้นฉบับอย่างย่อๆ มาลง ซึ่งถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยแล้ว อาจจะมีผู้ท้วงติงว่า จขกท ตัดต่อข้อความ ไปตามความคิดเห็นของตนเอง แต่ขอ กล่าวอย่างย่อๆว่า Sheikh Mustapha Mohamed Rashed เขา มีข้ออ้างอิงด้วยเหตุผลทางวิชาการดังต่อไปนี้
Sheikh Mustapha อ้างว่า
คำว่า "ฮิญาบที่หมายถึงผ้าคลุมหัวของหญิง"นั้น, ไม่มี กล่าวถึงในอัลกุรอานในที่ใดเลย, แต่ผู้รู้นักวิชาการทางศาสนาอิสลามจำนวนมาก พากันอ้างว่า "การสวมฮิญาบ" เป็นหน้าที่ของมุสลิมะห์และเป็นหลักการของศา่สนาอิสลามที่สำคัญข้อหนึ่ง, โดยที่...
1. นักวิชาการ เหล่านี้ "deviated from the purposes of the Islamic law and “Sahih Atafsir” or the true interpretation. They rejected reasoning and relied only on literal text.”
2. นักวิชาการ เหล่านี้ "de-contextualized the verses of the Quran and interpreted them in their very own liking, following some ancient scholars, as if what they said is sacred and is no subject to Ijtihad."
3.นักวิชาการ เหล่านี้, "departed from “Al Minhaj Assahih,” or the true path, of interpretation and reasoning, which interprets the verses according to their historical context and the causes of revelation."
4.นักวิชาการ เหล่านี้, “interpreted the verses in their general sense, overlooking the causes of their revelation, intentionally or due to their limited intellectual capacity resulted in psychological scourge.” Worse yet, they approached hundreds of important issues in the same way.”
5.นักวิชาการ เหล่านี้, ให้เหตุผลในการ สนับสนุน การสวม ฮิญาบ จากหลักฐานที่ไม่มีความจริง โดยการบิดเบนความหมายของศัพท์ต่างๆต่อไปนี้
They would ascribe various meanings to the veil, from Hijab to Khimar to Jalabib, a fact which shows that they digressed from the true meaning they intended to address, the cover of the head,”
สรุปก็คือ Sheikh Mustapha Mohamed Rashed แสดงให้เห็นว่า นักวิชาการ ผู้ที่สนับสนุนการสวมฮิญาบเหล่านี้ ที่อ้างว่า การสวมฮิญาบ เป็นหน้าที่ ของมุสลิมตามหลักการของศาสนาอิสลามนั้น ใช้วิทีทุกๆอย่าง โดยปราศจากเหตุผลและ หลักฐานที่แท้จริง, กับทั้งไม่ใช้ขบวนการ ของ กฏหมายอิสลาม ในการพิจารณา จัดทำให้ถูกต้องตามหลักการของกฏหมายอิสลาม เนื่องจาก กล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐาน, โดยทำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องศักสิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องใช้หลัการกฏหมายอิสลามรับรอง (แต่ออกกฏหมายบังคับใช้)
อ่านรายละเอียดได้ที่ลิ้งค์นี้
http://www.moroccoworldnews.com/2012/06/45564/hijab-is-not-an-islamic-duty-scholar/
ปล.
ความเห็นของ จขกท. ในเรื่องที่อ้างว่า "การสวมฮิญาบ" เป็นหลักการปฏิบัติของศาสนาอิสลามนั้น ไม่ต่างจากการอ้างว่า "STONING" เป็นหลักการของศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เพราะว่า "การสวมฮิญาบ" และ การ "STONING" ไม่มีในอัลกุรอาน แต่มีอยู่ใน คัมภีร์ไบเบิล เช่นเดียวกัน
มันเป็นไปไม่ได้ที่ท่านรอซูลมูฮัมมัด จะสอนในสิ่งที่เราไม่พบหรือไม่มีใน "อัลกุรอาน" แต่มีอยู่ ใน, "คัมภีร์ ไบเบิลและ โตรา"