PE - นักลงทุนทุกคนทราบว่าคือ ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้นที่ได้ใน 1ปี ถ้า pe = 10 แปลว่าถ้าซื้อหุ้นแล้วต้องรอถึง 10 ปี กว่ากำไรที่ได้คืนกลับมาจึงจะเท่ากับราคาที่เราจ่ายเงินซื้อหุ้นไป หรือ 10 ปี กำไรที่ได้คืนเท่ากับเงินต้น
แต่ปัจจุบัน เราเห็น pe 40 - 50 หรือ แปลว่าต้องใช้เวลารอ 40 - 50 ปี กว่าจะได้เงินต้นคืน แต่ในภาวะตลาดขาขึ้น หุ้นเหล่านี้เราก็ยังเห็นราคาวิ่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆเนื่องมาจาก
1) จากบทวิเคราะห์ หรือเซียนหุ้นต่างๆ ที่บอกว่า กำไร เพิ่มทุกปี อย่างก้าวกระโดด ทำให้ ในอนาคตค่า pe จะลดลง
ในกรณีนี้หุ้นบางตัวอาจมีกำไรเพิ่มทุกปีได้จริง แต่ลองนำกำไรในอนาคตมาคิด pe ก็ยังอยู่ในระดับ 20 กว่าอยู่ดี ไม่นับว่ากำไรต้องโตทุกปีๆละ 20 - 30% ต่อเนื่องอีกด้วย ถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจจะทราบดีว่า การทำให้ธุรกิจโตต่อเนื่องหลายๆปีๆละ 20 - 30% เป็นเรื่องยากขนาดไหน แต่ถ้าแค่ปีแรกๆก็พอเป็นไปได้ ถ่้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้ เซียนต่างๆก็ซื้อราคาที่ pe ต่ำมาก พอราคาขึ้นมา pe สูง เค้ากลับบอกว่า ใช้กำไรอนาคตมาคิดแล้วยังถูกอยู่ แต่ถ้าลองบอกให้เซียนซื้อที่ราคา pe สูงมั๊ยจะเห็นว่าไม่มีใครซื้อหรอก
2) Trend การขยายสาขา / ควบรวม ทำให้กำไรโตไปเรื่อยๆ
อันนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนเห็นจาก ร้านสะดวกซื้อเบอร์ 1 ที่ขยายสาขาเรื่อยๆ กำไรโตเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ ไม่ว่าหุ้นของธุรกิจอะไรที่เปิดสาขาได้ เปิดสาขาหมด ทั้งที่สาขาเดิมบางทียอดขายยังไม่ดี หรือ ลดลงด้วยซ้ำ ถ้าใครทำงานอยูแวดวงค้าปลีก จะทราบว่า ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่เปิดสาขา จะกำไรโตไปเรื่อยๆ บางธุรกิจยอดขายสาขาเดิม ลดลงมากหรอเจ๊งไปก็มี แต่ราคาหุ้นเหล่านั้นวิ่งขึ้นไปรอหลายเท่าแล้ว
3) หุ้นมีข่าวดี / turn around
อันนี้ออกแนวการซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิม ข่าวว่าจะพลิกขาดทุน มาเป็นกำไรในปีแรก หรือ ได้ลูกค้าใหม่ๆจำนวนมาก อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน ก็คงต้องพิจารณาดูเองว่าทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้จริงเหตุผลที่พึ่งทำได้คืออะไร ทำไมไม่ทำได้ตั้งแต่เมื่อปีก่อนๆ หรือจะดีขึ้นมาแค่ปีเดียวหรือไม่ หุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่อดีตขาดทุนมาต่อเนื่ิอง กำไรก็ไม่มี ต้องระวังหากสิ่งที่เค้าให้ข่าวไม่เป็นความจริง
Market Cap = ราคาหุ้นปัจจุบัน x จำนวนหุ้นทั้งหมด
แปลง่ายๆคือ มูลค่าของธุรกิจนั้นๆจากสายตานักลงทุน เช่น หุ้นสัมปทานสื่อในห้างตัวหนึ่ง มี market cap = 3 หมื่นกว่าล้าน แปลว่า ถ้าเรามีเงิน 3 หมื่นกว่าล้าน เรายังอยากใช้เงินก้อนนี้ซื้อธุรกิจนี้หรือไม่ ซึ่งพอลองเทียบกับกำไรของธุรกิจ ก็จะพอทราบว่า เรายังอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ที่ราคา 3 หมื่นกว่าล้านหรือไม่
ทั้งหมดก็เป็นพื้นฐาน ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้ว เพียงแต่ด้วย เม็ดเงินที่เข้าตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาสูงขึ้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้น พอราคายิ่งขึ้น นักลงทุนก็อยากได้ส่วนต่างจากราคาหุ้น ไม่ว่าด้วยการใช้การดู volume fund flow หรือ technical ก็แล้วแต่ โดยให้เหตุผลตามหลังว่าปัจจัยพื้นฐานดีขึ้นมากๆ แต่สมมติว่า ถ้าเม็ดเงินเหล่านั้นเริ่มออกไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นลดลง นักลงทุนอาจจะพึ่งตระหนักได้ว่าราคาหุ้นที่ตัวเองถืออยู่มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานก็เป็นไปได้....
PE, Market cap พื้นฐานหุ้นที่ถูกละเลยเมื่อตลาดขาขึ้น...
แต่ปัจจุบัน เราเห็น pe 40 - 50 หรือ แปลว่าต้องใช้เวลารอ 40 - 50 ปี กว่าจะได้เงินต้นคืน แต่ในภาวะตลาดขาขึ้น หุ้นเหล่านี้เราก็ยังเห็นราคาวิ่งขึ้นไปอีกเรื่อยๆเนื่องมาจาก
1) จากบทวิเคราะห์ หรือเซียนหุ้นต่างๆ ที่บอกว่า กำไร เพิ่มทุกปี อย่างก้าวกระโดด ทำให้ ในอนาคตค่า pe จะลดลง
ในกรณีนี้หุ้นบางตัวอาจมีกำไรเพิ่มทุกปีได้จริง แต่ลองนำกำไรในอนาคตมาคิด pe ก็ยังอยู่ในระดับ 20 กว่าอยู่ดี ไม่นับว่ากำไรต้องโตทุกปีๆละ 20 - 30% ต่อเนื่องอีกด้วย ถ้าใครเป็นเจ้าของธุรกิจจะทราบดีว่า การทำให้ธุรกิจโตต่อเนื่องหลายๆปีๆละ 20 - 30% เป็นเรื่องยากขนาดไหน แต่ถ้าแค่ปีแรกๆก็พอเป็นไปได้ ถ่้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าหุ้นเหล่านี้ เซียนต่างๆก็ซื้อราคาที่ pe ต่ำมาก พอราคาขึ้นมา pe สูง เค้ากลับบอกว่า ใช้กำไรอนาคตมาคิดแล้วยังถูกอยู่ แต่ถ้าลองบอกให้เซียนซื้อที่ราคา pe สูงมั๊ยจะเห็นว่าไม่มีใครซื้อหรอก
2) Trend การขยายสาขา / ควบรวม ทำให้กำไรโตไปเรื่อยๆ
อันนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนเห็นจาก ร้านสะดวกซื้อเบอร์ 1 ที่ขยายสาขาเรื่อยๆ กำไรโตเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ ไม่ว่าหุ้นของธุรกิจอะไรที่เปิดสาขาได้ เปิดสาขาหมด ทั้งที่สาขาเดิมบางทียอดขายยังไม่ดี หรือ ลดลงด้วยซ้ำ ถ้าใครทำงานอยูแวดวงค้าปลีก จะทราบว่า ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่เปิดสาขา จะกำไรโตไปเรื่อยๆ บางธุรกิจยอดขายสาขาเดิม ลดลงมากหรอเจ๊งไปก็มี แต่ราคาหุ้นเหล่านั้นวิ่งขึ้นไปรอหลายเท่าแล้ว
3) หุ้นมีข่าวดี / turn around
อันนี้ออกแนวการซื้อขายหุ้นแบบดั้งเดิม ข่าวว่าจะพลิกขาดทุน มาเป็นกำไรในปีแรก หรือ ได้ลูกค้าใหม่ๆจำนวนมาก อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน ก็คงต้องพิจารณาดูเองว่าทำได้จริงหรือไม่ ถ้าทำได้จริงเหตุผลที่พึ่งทำได้คืออะไร ทำไมไม่ทำได้ตั้งแต่เมื่อปีก่อนๆ หรือจะดีขึ้นมาแค่ปีเดียวหรือไม่ หุ้นพวกนี้ส่วนใหญ่อดีตขาดทุนมาต่อเนื่ิอง กำไรก็ไม่มี ต้องระวังหากสิ่งที่เค้าให้ข่าวไม่เป็นความจริง
Market Cap = ราคาหุ้นปัจจุบัน x จำนวนหุ้นทั้งหมด
แปลง่ายๆคือ มูลค่าของธุรกิจนั้นๆจากสายตานักลงทุน เช่น หุ้นสัมปทานสื่อในห้างตัวหนึ่ง มี market cap = 3 หมื่นกว่าล้าน แปลว่า ถ้าเรามีเงิน 3 หมื่นกว่าล้าน เรายังอยากใช้เงินก้อนนี้ซื้อธุรกิจนี้หรือไม่ ซึ่งพอลองเทียบกับกำไรของธุรกิจ ก็จะพอทราบว่า เรายังอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ที่ราคา 3 หมื่นกว่าล้านหรือไม่
ทั้งหมดก็เป็นพื้นฐาน ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ทราบอยู่แล้ว เพียงแต่ด้วย เม็ดเงินที่เข้าตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาสูงขึ้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้น พอราคายิ่งขึ้น นักลงทุนก็อยากได้ส่วนต่างจากราคาหุ้น ไม่ว่าด้วยการใช้การดู volume fund flow หรือ technical ก็แล้วแต่ โดยให้เหตุผลตามหลังว่าปัจจัยพื้นฐานดีขึ้นมากๆ แต่สมมติว่า ถ้าเม็ดเงินเหล่านั้นเริ่มออกไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้นลดลง นักลงทุนอาจจะพึ่งตระหนักได้ว่าราคาหุ้นที่ตัวเองถืออยู่มีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานก็เป็นไปได้....