หญิงสาวทิ้งโทรศัพท์มือถือลงกับพื้นอย่างไม่สนใจ พร้อมกับเริ่มปฏิบัติการช่วยกู้ชีพทันที ด้วยการยืดตัวขึ้นในท่าคุกเข่า คว่ำมือประสานกันวางบนกระดูกหน้าอกคนเจ็บ ลงน้ำหนักตัวไปที่ข้อมือทั้งสอง กดลงเป็นจังหวะต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว สลับกับการก้มลงประกบปาก เป่าลมหายใจเข้าไปในปอดหญิงชราที่หยุดหายใจไปแล้วอย่างเต็มกำลัง
"ช่วยถอยกันออกมาหน่อยนะครับ อย่ายืนมุงอย่างนั้น ทั้งคนไข้ทั้งหมอหายใจไม่ออก หมอก็ทำงานไม่สะดวก” ตำรวจจราจรร้องเตือนพร้อมกับเอามือกันฝูงชนที่เริ่มขยับเข้าไปในบริเวณแคบๆ นั้นมากเข้าทุกที
หลังการกู้ชีพผ่านไปครู่ใหญ่ แพรวาลองจับชีพจรบริเวณแอ่งต้นคอใหม่ ก็ยังคลำไม่ได้เช่นเดิม
มีทางเดียวเท่านั้น ต้องลงมือเจาะปอดลดแรงกดดันที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดก่อน
ทว่าการเจาะปอดโดยปราศจากเครื่องมือและการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แม่นยำ ก็อันตรายไม่น้อยเช่นกัน
ในที่สุดแพรวาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจ
ชั่วแวบ หญิงสาวอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้ ใครคนนั้น ในอดีตที่ขอเพียงมีเขาอยู่เคียงข้าง เธอก็จะรู้สึกมั่นใจเต็มร้อย ไม่ว่าจะทำอะไร
กำลังใจที่ส่งมาทางสายตา คำพูด การกระทำ ทำให้เธอรู้ว่าทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดีเสมอไป คนคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับตัวเองเป็นหมอวิเศษ ที่จะทำอะไรก็ได้ แม้จะดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
แต่วันนี้ ไม่มีเขาอยู่อีกต่อไป เส้นทางระหว่างเธอและเขากลายเป็นเส้นขนานตลอดกาล
บัดนี้ เธอต้องพึ่งตนเองเท่านั้น แม้ทางเดินนั้นจะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็ตามที
"ใครพอจะช่วยปั๊มหัวใจได้บ้าง"
แพรวาเงยหน้าขึ้นขอความช่วยเหลือบรรดาไทยมุงที่อยู่ล้อมรอบ และบางคนเกือบจะยืนค้ำศีรษะเธออยู่แล้ว ตำรวจสองคนยังช่วยกันไม่ไหว
"ผมเคยฝึกอบรมมาบ้างครับ"
ตำรวจที่เพิ่งตามมาทีหลังเสนอตัวเข้ามาช่วยอย่างเต็มใจ
หญิงสาวเบี่ยงตัวให้เขาคุกเข่าลงข้างๆตัว ก่อนจะบอกว่า
"หมอจะต้องเจาะปอดคนไข้เดี๋ยวนี้"
ตำรวจจราจรทำท่าตกใจ "จะดีหรือครับ รอรถพยาบาลมาก่อน ไม่ปลอดภัยกว่าหรือครับ หมอ" เขาทักท้วงด้วยความหวังดี
"ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าหัวใจหยุดเต้นนานเกิน 5 นาที ก็ช่วยอะไรไม่ทันแล้ว"
"ผมมีมีดครับหมอ" นายชาติเสนอพร้อมกับยื่นมีดพกขนาดเล็กให้หมอ
“ผมมีแอลกอฮอล์ครับ” คนหนึ่งในกลุ่มไทยมุงเสนอตัวช่วยอีกคน
แพรวาเลิกเสื้อหญิงชราข้างที่จะเจาะปอดขึ้นมา ใช้นิ้วจิ้มไล่ลงมาตามชายโครงเพื่อหาตำแหน่งที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด ก่อนจะรับมีดจากนายชาติ มากรีดบริเวณที่กำหนดเอาไว้แล้ว
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ และเสียงบีบแตรรถที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนนเมื่อครู่ก่อน บัดนี้เงียบกริบลงทันที คงเป็นเพราะคนที่อยู่ด้านหลังๆ เริ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ทุกคนจึงเต็มใจที่จะรอคอยอย่างสงบ
ขระนั้นหมอเพียงคนเดียวท่ามกลางฝูงชนมากมาย ลังเลชั่วแวบ
จะเอาอะไรแทงเข้าไปในปอดเพิ่อเปิดทางให้ลมและเลือดที่ตกค้างจนกดการทำงาน การไหลเวียนของเลือดออกมา
แน่นอน ท่อนั้นต้องเป็นท่อกลวง และแข็งแรงพอสมควรที่จะสามารถทะลวงผ่านเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงลงไปได้ ไม่ยุบหรือถูกบีบจนแฟบก่อนจะดูดอะไรได้ออกมา
ปากกา!ง่ายที่สุด
เร็วเท่าความคิด เธอรีบดึงปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อ แกะใส้ในออก
จากนั้นดันท่อกลวงของปากกาเข้าไปตามรอยกรีดที่เปิดช่องทางไว้ก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ใช้แรงผลักอีกเล็กน้อย ปลายปากกาก็จมหายเข้าไป โผล่ตรงปลายออกมานอกผิวหนังไม่ถึงสองนิ้ว
เลือดสดๆ และลมทะลักออกมาเกือบจะทันที ราวกับมีแรงผลักมหาศาลจากภายในออกมา
เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของ 'ผู้สังเกตการณ์' พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"โดนเส้นเลือดใหญ่ละสิ"
"เป็นหมอจริงหรือเปล่า"
“ทำไมไม่รอรถพยาบาลมาถึงก่อน ทำกลางถนนได้ไง”
“ไปขย่มๆ แบบนั้น กระดูกหัก มิยิ่งเคลื่อนไปใหญ่หรือ ถึงรอด ก็คงพิการหรอก”
"แทงเข้าไปได้ยังไง แผลสกปรกๆอย่างงั้น นี่มิติดเชื้อบาดทะยักตายหรือนี่"
"ตายแหงๆ"
ตายแหงๆ คงหมายรวมทั้งหมอทั้งคนไข้
คงจะมีนายชาติเพียงคนเดียวที่รู้จักหมอแพรวาดีกว่าใคร และยังคงเชื่อใจ ศรัทธาแรงกล้าต่อหมอคนนี้เช่นเดิม
เขามั่นใจว่าสิ่งที่แพรวาปฏิบัติลงไปนั้น ย่อมถูกต้องและมีเหตุผลตามหลักการแพทย์ แต่ถึงเขาจะเชื่อใจ มั่นใจแค่ไหน ก็อดนึกเป็นห่วงลึกๆไม่ได้ว่า
หากผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำในครั้งนี้ ไม่อาจช่วยชีวิตเหยื่ออุบัติเหตุรายนี้ได้ เห็นทีหมอจะกลายเป็นเหยื่ออุบัติเหตุแทน หมอจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้จากความผิดพลาดทางการแพทย์ อย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนคงจะไม่หยุดคิดไปต่างๆนานา ถ้าไม่มีเสียงร้องอย่างตื่นเต้นดีใจของตำรวจจราจรซึ่งแตะปลายนิ้วที่ข้อมือคนเจ็บดังแทรกขึ้นมาว่า
"หมอครับ คลำชีพจรได้แล้ว”
ซีรีส์วงการแพทย์ สายใยรักเสื้อกาวน์สีขาว บทที่ 5 แพรวากับจรรยาแพทย์และ ความเข้าใจผิดของพสุธา
"ช่วยถอยกันออกมาหน่อยนะครับ อย่ายืนมุงอย่างนั้น ทั้งคนไข้ทั้งหมอหายใจไม่ออก หมอก็ทำงานไม่สะดวก” ตำรวจจราจรร้องเตือนพร้อมกับเอามือกันฝูงชนที่เริ่มขยับเข้าไปในบริเวณแคบๆ นั้นมากเข้าทุกที
หลังการกู้ชีพผ่านไปครู่ใหญ่ แพรวาลองจับชีพจรบริเวณแอ่งต้นคอใหม่ ก็ยังคลำไม่ได้เช่นเดิม
มีทางเดียวเท่านั้น ต้องลงมือเจาะปอดลดแรงกดดันที่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดก่อน
ทว่าการเจาะปอดโดยปราศจากเครื่องมือและการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แม่นยำ ก็อันตรายไม่น้อยเช่นกัน
ในที่สุดแพรวาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจ
ชั่วแวบ หญิงสาวอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้ ใครคนนั้น ในอดีตที่ขอเพียงมีเขาอยู่เคียงข้าง เธอก็จะรู้สึกมั่นใจเต็มร้อย ไม่ว่าจะทำอะไร
กำลังใจที่ส่งมาทางสายตา คำพูด การกระทำ ทำให้เธอรู้ว่าทุกอย่างจะต้องจบลงด้วยดีเสมอไป คนคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับตัวเองเป็นหมอวิเศษ ที่จะทำอะไรก็ได้ แม้จะดูเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
แต่วันนี้ ไม่มีเขาอยู่อีกต่อไป เส้นทางระหว่างเธอและเขากลายเป็นเส้นขนานตลอดกาล
บัดนี้ เธอต้องพึ่งตนเองเท่านั้น แม้ทางเดินนั้นจะมีความหวังเพียงริบหรี่ก็ตามที
"ใครพอจะช่วยปั๊มหัวใจได้บ้าง"
แพรวาเงยหน้าขึ้นขอความช่วยเหลือบรรดาไทยมุงที่อยู่ล้อมรอบ และบางคนเกือบจะยืนค้ำศีรษะเธออยู่แล้ว ตำรวจสองคนยังช่วยกันไม่ไหว
"ผมเคยฝึกอบรมมาบ้างครับ"
ตำรวจที่เพิ่งตามมาทีหลังเสนอตัวเข้ามาช่วยอย่างเต็มใจ
หญิงสาวเบี่ยงตัวให้เขาคุกเข่าลงข้างๆตัว ก่อนจะบอกว่า
"หมอจะต้องเจาะปอดคนไข้เดี๋ยวนี้"
ตำรวจจราจรทำท่าตกใจ "จะดีหรือครับ รอรถพยาบาลมาก่อน ไม่ปลอดภัยกว่าหรือครับ หมอ" เขาทักท้วงด้วยความหวังดี
"ไม่มีเวลาแล้ว ถ้าหัวใจหยุดเต้นนานเกิน 5 นาที ก็ช่วยอะไรไม่ทันแล้ว"
"ผมมีมีดครับหมอ" นายชาติเสนอพร้อมกับยื่นมีดพกขนาดเล็กให้หมอ
“ผมมีแอลกอฮอล์ครับ” คนหนึ่งในกลุ่มไทยมุงเสนอตัวช่วยอีกคน
แพรวาเลิกเสื้อหญิงชราข้างที่จะเจาะปอดขึ้นมา ใช้นิ้วจิ้มไล่ลงมาตามชายโครงเพื่อหาตำแหน่งที่ปลอดภัยและถูกต้องที่สุด ก่อนจะรับมีดจากนายชาติ มากรีดบริเวณที่กำหนดเอาไว้แล้ว
เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ และเสียงบีบแตรรถที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องถนนเมื่อครู่ก่อน บัดนี้เงียบกริบลงทันที คงเป็นเพราะคนที่อยู่ด้านหลังๆ เริ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ทุกคนจึงเต็มใจที่จะรอคอยอย่างสงบ
ขระนั้นหมอเพียงคนเดียวท่ามกลางฝูงชนมากมาย ลังเลชั่วแวบ
จะเอาอะไรแทงเข้าไปในปอดเพิ่อเปิดทางให้ลมและเลือดที่ตกค้างจนกดการทำงาน การไหลเวียนของเลือดออกมา
แน่นอน ท่อนั้นต้องเป็นท่อกลวง และแข็งแรงพอสมควรที่จะสามารถทะลวงผ่านเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงลงไปได้ ไม่ยุบหรือถูกบีบจนแฟบก่อนจะดูดอะไรได้ออกมา
ปากกา!ง่ายที่สุด
เร็วเท่าความคิด เธอรีบดึงปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อ แกะใส้ในออก
จากนั้นดันท่อกลวงของปากกาเข้าไปตามรอยกรีดที่เปิดช่องทางไว้ก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ใช้แรงผลักอีกเล็กน้อย ปลายปากกาก็จมหายเข้าไป โผล่ตรงปลายออกมานอกผิวหนังไม่ถึงสองนิ้ว
เลือดสดๆ และลมทะลักออกมาเกือบจะทันที ราวกับมีแรงผลักมหาศาลจากภายในออกมา
เสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของ 'ผู้สังเกตการณ์' พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ดังขึ้นมาอีกครั้ง
"โดนเส้นเลือดใหญ่ละสิ"
"เป็นหมอจริงหรือเปล่า"
“ทำไมไม่รอรถพยาบาลมาถึงก่อน ทำกลางถนนได้ไง”
“ไปขย่มๆ แบบนั้น กระดูกหัก มิยิ่งเคลื่อนไปใหญ่หรือ ถึงรอด ก็คงพิการหรอก”
"แทงเข้าไปได้ยังไง แผลสกปรกๆอย่างงั้น นี่มิติดเชื้อบาดทะยักตายหรือนี่"
"ตายแหงๆ"
ตายแหงๆ คงหมายรวมทั้งหมอทั้งคนไข้
คงจะมีนายชาติเพียงคนเดียวที่รู้จักหมอแพรวาดีกว่าใคร และยังคงเชื่อใจ ศรัทธาแรงกล้าต่อหมอคนนี้เช่นเดิม
เขามั่นใจว่าสิ่งที่แพรวาปฏิบัติลงไปนั้น ย่อมถูกต้องและมีเหตุผลตามหลักการแพทย์ แต่ถึงเขาจะเชื่อใจ มั่นใจแค่ไหน ก็อดนึกเป็นห่วงลึกๆไม่ได้ว่า
หากผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำในครั้งนี้ ไม่อาจช่วยชีวิตเหยื่ออุบัติเหตุรายนี้ได้ เห็นทีหมอจะกลายเป็นเหยื่ออุบัติเหตุแทน หมอจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุการเสียชีวิตในครั้งนี้จากความผิดพลาดทางการแพทย์ อย่างไม่ต้องสงสัย
หลายคนคงจะไม่หยุดคิดไปต่างๆนานา ถ้าไม่มีเสียงร้องอย่างตื่นเต้นดีใจของตำรวจจราจรซึ่งแตะปลายนิ้วที่ข้อมือคนเจ็บดังแทรกขึ้นมาว่า
"หมอครับ คลำชีพจรได้แล้ว”