วานนี้ (20 มีนาคม 2556) มีเดียอินไซด์เอ้าท์ จัดเสวนา
“อวสานตอบโจทย์: ศึกนอก หรือ ศึกใน” ร่วมเสวนาโดย จอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าว
ไอทีวี ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.เดอะเนชั่น และอธึกกิต แสวงสุข
หรือ คอลัมนิสต์นามปากกา ใบตองแห้ง และบรรณาธิการอาวุโสวอยซ์ทีวี ดำเนินรายการ
โดยพิณผกา งามสม
จอม เพชรประดับ
จริงๆ แล้ว ‘ตอบโจทย์’ ยังอยู่ แต่ ‘ภิญโญ’ ต่างหาก ที่ต้องจบชีวิตลง น่าจะเป็นอวสาน
ภิญโญศึกนอกศึกในมากกว่า
จอม กล่าวว่า เขารู้สึกชื่นชมภิญโญ เพราะเป็นคนที่มี “ความกล้าหาญทางจริยธรรม”
มาโดยตลอด และเป็นคนที่มีชอบให้ความเห็นและมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งสถานีในยุค
เริ่มต้นแทบจะหาคนแบบนี้ยาก แต่พอภิญโญเข้าไป มีการให้พื้นที่คนที่เห็นต่าง ก็ถือ
ได้ว่า เอาความเป็นสาธารณะที่แท้จริงมาสร้างให้คนในไทยพีบีเอสเต็มตัว
แต่จอมก็เป็นกังวล ต่ออนาคตของภิญโญ เพราะประเด็นเรื่องสถาบันฯ ค่อนข้างละเอียดอ่อน
และจะถูกผลักให้เข้าใจว่าไม่เอาสถาบันฯ ผ่านการสร้างวาทกรรมต่างๆ ตนอยากให้คิดว่า
ภิญโญ มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่ทำให้สถานีเป็นสื่อสาธารณะอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น จอม ยังเล่าถึง ประสบการณ์การทำงานตั้งแต่สมัยที่ไทยพีบีเอสเป็นไอทีวี
ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว จอม กล่าวว่า เป็น “อุบัติเหตุทางการเมือง” – ไม่ได้เกิดจาก
ความพร้อมของสังคม ที่อยากจะมีทีวีไทยเป็นทีวีสาธารณะ แต่เกิดจากการพยายามล้ม
ล้างอะไรก็ตามที่เป็นของทักษิณ ซึ่งไอทีวีก็ถือเป็นป็นทรัพย์สินของทักษิณ แต่กลับไม่มี
ความคิดว่าหลังจากทำลายแล้วจะทำอย่างไรต่อไป จึงเป็นปัญหาอย่างที่เห็นทุกวันนี้
เพราะสังคมยังไม่มีความรู้ว่าทีวีสาธารณะทำอะไร
คำถามว่า สังคมไทยรู้หรือเปล่าว่า “ทีวีสาธารณะ” กับ “ส้วมสาธารณะ” ต่างกันอย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายจากความพยายามของหลายฝ่าย ก็มีการคิดค้นกฎหมายขึ้นมา
เป็นข้อบัญญัติของกฎหมายทีวีสาธารณะ ส่วนการหาคนที่จะมาทำสื่อสาธารณะนั้นก็ดึง
คนที่เป็นกบฎไอทีวีทั้ง 21 คนที่ฟ้องร้องทักษิณซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกมาทำงาน ซึงจุดนี้
จอม กล่าวว่า เป็นปัญหาอันดับแรกของทีวีไทย
ปัญหาต่อไป คือ คนทำงานเองเข้าใจแค่ไหนว่า ‘สื่อสาธารณะ’ ทำอะไร เราต้องเปลี่ยน
วิธีคิด เพราะในอุตสาหกรรมทางการสื่อสาร วงการทางโทรทัศน์ เราอยู่ภายใต้กรอบ
รัฐบาลมาตลอด อีกทั้ง ที่ผ่านมาไอทีวีใช้สโลแกนว่าทีวีเสรี ผลจากความสูญเสียใน
เดือนพฤษภา คนที่ทำงานก็มาจากหลายที่ ต้องมาร่วมกันคิดว่า ทีวีเสรีจะทำอะไรให้กับ
สังคมได้บ้าง สรุป จะทำทีวีเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่นายกฯหรือราชการ
แต่ เมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ “ไทยพีบีเอส” คนที่มาทำ ก็ต้องสร้างอุดมการณ์ของทีวีสาธารณะ
ให้อยู่ในใจคนทำงานก่อน สมบัติสาธารณะจะตอบแทนสาธารณะอย่างไร โดยเฉพาะในฐานะ
ที่ไทยพีบีเอสเป็นดอกไม้ที่ออกมาจากปลายกระบอกปืน แต่กลับปรากฎความขัดแย้งชัดเจน
ของคนในองค์กร คือ ไม่มีอุดมการณ์ของความเป็นทีวีสาธารณะอย่างแท้จริง คือ ไม่ตอบ
สนองและรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มที่หลากหลายในสังคมจริงๆ และ มีอคติ มองว่า
ประชาชนเป็นเพียงผู้รับฟัง แต่ไม่กระจายพื้นที่ทางสื่อให้กับทุกคนทุกกลุ่ม ซึ่งแท้จริงแล้ว
ความเข้มแข็งของทีวีสาธารณะ จะต้องขึ้นอยู่กับความหลากหลายที่มันจะสามารถสะท้อน
ปัญหาในสังคม มีพื้นที่ให้กับคนที่เห็นต่าง ไม่ใช่ผู้บริหารและพนักงานเห็นอีกอย่าง ลงไป
ลงโทษเขา
จอม ยกกรณีภิญโญที่เห็นต่างจากคนอื่นเป็นตัวอย่าง ที่คิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ของ ไทยพีบีเอส
ทำให้สุดท้ายภิญโญก็อยู่ไม่ได้ และนี่คือจุดอ่อนที่สำคัญ แล้วก็ปัญหาของทีวีไทยที่ยังต้องปรับกัน
อีกเยอะ
อย่างไรก็ตาม จอม เสนอให้มองว่า ในอีกด้านหนึ่ง ไทยพีบีเอส ก็สามารถที่จะพลิกวิกฤต “ตอบโจทย์”
โดย ทบทวนตัวเอง ว่าจะทำอย่างไรให้ความต่างมีพื้นที่ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้
“ไทยพีบีเอสต้องทำต่อ พิสูจน์ต่อ แต่ถ้าเขาหยุดและกลัว นี่คือจุดหายนะของไทยพีบีเอส” จอม กล่าว
ประวิตร โรจนพฤกษ์
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สื่อ แต่สภาพสังคม ที่จัดการเซ็นเซอร์ผู้อื่น และเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยที่ไม่มีใครสั่ง
ประวิตร กล่าวว่า สิ่งที่เกิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15 มี.ค.) เป็นตัวอย่างของกระบวนการเซ็นเซอร์สื่อ
และการเซ็นเซอร์ตัวเอง ส่วนอนาคตของภิญโญ ประวิตร กล่าวว่ายังอยากเห็น ผอ.ของไทยพีบีเอส
ออกมาพูดในที่สาธารณะให้ชัดเจน เพราะในเมื่อสถานีตัดสินใจออกอากาศตอบโจทย์ต่อ คุณภิญโญ
ไม่ได้ทำผิดอะไรก็ควรจะเชิญภิญโญกลับไปทำรายการ
ประวิตร ชี้ให้เห็นว่า ปรากฎการณ์นี้ทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง เริ่มจากการดูถูกประชาชนส่วนใหญ่
ว่าโง่ โดยประวิตร อ้าง บทความ ตอบโจทย์ พ่อง(พ่อ)เหรอ! ของจิตตนาถ ลิ้มทองกุล รวมทั้ง
ความเห็นของหมอตุลย์ จากกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ต่างมองว่า ตนมีการศึกษาพอจะแยกแยะออกว่าอะไร
ในรายการเป็นความจริง ต่างกันคนส่วนใหญ่ของประเทศที่โง่ แยกจริงหรือเท็จไม่ออก
ซึ่งประวิตรมองว่า ถ้าดูถูกคนขนาดนี้ จะทำสื่อไปทำไม ควรไปทำประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลด้านเดียว
หรือโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า และถ้าเชื่อว่าประชาชนคิดไม่เป็น ก็ควรให้เขาเริ่ม สังคมต้องเรียนรู้
เพราะไม่มีใครปั่นจักรยานเป็นตั้งแต่เกิด และในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีสิทธิแสดง
ความเห็นที่แตกต่าง คำถามคือ สังคมไทยจะบอกได้ไหมว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย
นอกจากนั้น หลังการออกอากาศวันที่ 15 มีพนักงานอาวุโส จำนวนหนึ่ง ออกมาแสดงความเห็น
ตั้งคำถามกับพื้นที่ในการนำเสนอ แม้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์จะทำได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ควรเชื่อใน
ความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่สมศักดิ์เพิ่งได้ออกทีวีกระแสหลัก คนเหล่านี้
กลับมองว่านี่ ไม่แฟร์ ทั้งๆที่ ประเทศก็อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้น ประชาชนควรมีสิทธิแสดง
ความเห็นต่าง แต่การที่ ผบ.ทบ. ออกมาให้ความเห็นว่า “ใครอึดอัดให้ไปอยู่ที่อื่น” ประวิตรมองว่า
ไม่มีใครในแผ่นดินนี้มีสิทธิไล่คนไทยไปที่อื่น คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย และ ประวิตร
กล่าวต่อไปว่า ถ้าคุณรับไม่ได้กับการถอดเหนือเมฆ คุณก็ควรรับไม่ได้กับการถอดตอบโจทย์เช่นกัน
“โจทย์ใหญ่ของสังคมไทย คือ จะสร้างที่ยืนให้กับความแตกต่างอย่างไร หรือจะใช้การปิดปากต่อไป
พร้อมทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคนที่เห็นต่าง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สื่อ แต่สภาพสังคม ที่จัดการ
เซ็นเซอร์ผู้อื่น และเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยที่ไม่มีใครสั่ง - ภาพสะท้อนของกลุ่ม ‘ประชาชนทนไม่ไหว’
คือ ภาวะที่สังคมไทยยังไม่พร้อมรับความเห็นที่แตกต่าง" ประวิตร กล่าว
ใบตองแห้ง
สังคมต้องการ พื้นที่ให้กับความจริงที่หลากหลาย ถูกผิดต้องมีการวิจารณ์ ไทยพีบีเอส จึงควร
ทำหน้าที่เป็นสื่อที่เปิดกว้าง และเป็นตัวเชื่อมสังคมด้วยซ้ำไป
ใบตองแห้ง ชี้ให้เห็นถึง ผลสะท้อน การเมืองภายในไทยพีบีเอส จากกรณีตอบโจทย์ ที่จ้างคน
ผลิตจากภายนอก ซึ่งกลายเป็นว่าตอบโจทย์แยกออกมาจากรายการหลักของสถานี และมีความ
ขัดแย้งกันเองภายใน คือ มีปัญหากับฝ่ายข่าวมาก่อน สมชัยก็พยายามจัดระเบียบ ใบตองแห้ง
มองว่า ฝ่ายข่าวที่เป็นภาพลักษณ์ของไทยพีบีเอสที่เป็นปัญหาตอนนี้ เพราะ รากฐานระบบ มาจาก
แบบองค์กรเอ็นจีโอ อาศัยระบบอุปภัมภ์และเครือญาติ พากันเข้าสมัครทำงานในองค์กร แม้ สมชัย
อยากจะปฏิรูปโดยเริ่มที่รายการตอบโจทย์ แต่เมื่อสมชัยตัดสินใจพลาดโดยชะลอออกอากาศเมื่อ
วันศุกร์ และเสียภิญโญไปแล้ว ทั้งนี้โดยส่วนตัว มองว่าแม้สมชัยจะมีจุดยืนทางการเมืองที่ตรงข้าม
กับตน แต่ก็เป็นคนที่เปิดกว้างต่อทัศนะที่แตกต่าง
ใบตองแห้ง กล่าวต่อไปถึง กรณีสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกแถลงการณ์ชื่นชมการ
ตัดสินใจระงับการออกอากาศ ชื่นชมผู้ที่ไปกดดัน และตำหนิรายการตอบโจทย์ฯ นั้น ว่า แย่มาจาก
ที่นายกฯ สมคมฯ ไม่ออกตัวเอง แต่สมควรแล้วที่ อรพิน จะขอลาออกจากการเป็นอุปนายกด้าน
สิทธิเสรีภาพ เพราะปกป้องเสรีภาพของรายการไม่ได้ ส่วนกรณีภิญโญ ใบตองแห้ง กล่าวว่า ตน
รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นคนล้มเจ้าไปแล้ว คำถามต่อไปก็คือ จะทำอย่างไร
ให้เขาได้รับความเป็นธรรม คือ ต้องไม่ลืมว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของไทยพีบีเอสด้วย จะปล่อยให้เกิด
การชี้นำเช่นนี้ต่อไปหรือ
สุดท้าย ใบตองแห้งเสนอว่า สื่อสาธารณะต้องนำเสนอมุมมองที่หลายหลาย สังคมต้องติดตามการ
ทำงานของไทยพีบีเอสอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ เพราะท้ายที่สุด สังคมย่อมต้องการ พื้นที่ให้กับ
ความจริงที่หลากหลาย ถูกผิดต้องมีการวิจารณ์ ไทยพีบีเอส จึงควรทำหน้าที่เป็นสื่อที่เปิดกว้าง
และเป็นตัวเชื่อมสังคมด้วยซ้ำไป
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363843103&grpid=01&catid=&subcatid=
ขอตบท้ายด้วยข่าวต่อไปนี้ ...ตาม link ไปอ่านต่อเอง หรือจะดูจากระทู้ที่ link มาให้ก็ได้ค่ะ
ข่าวเดียวกัน ....
ตำรวจสอบแล้ว “เทปตอบโจทย์” พบ ‘บางคน’ เข้าข่ายผิด! - เตรียมตั้งคณะสอบสวน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363848927&grpid=00&catid=&subcatid=
ยุคยิ่งลักษณ์ เฉลิมคุมตำรวจ สตช.ฟันธง “ตอบโจทย์” ผิด กม. สั่งทุกโรงพักรับแจ้งความ
http://pantip.com/topic/30277544
สรุปว่า ม.112 นี่เราควรจะแก้ไหม ?......
คนวงสื่อ: ‘ใบตองแห้ง-ประวิตร-จอม’ เสวนา “อวสานตอบโจทย์ - ศึกนอก หรือ ศึกใน” ....มติชนออนไลน์
“อวสานตอบโจทย์: ศึกนอก หรือ ศึกใน” ร่วมเสวนาโดย จอม เพชรประดับ อดีตผู้สื่อข่าว
ไอทีวี ประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส นสพ.เดอะเนชั่น และอธึกกิต แสวงสุข
หรือ คอลัมนิสต์นามปากกา ใบตองแห้ง และบรรณาธิการอาวุโสวอยซ์ทีวี ดำเนินรายการ
โดยพิณผกา งามสม
จอม เพชรประดับ
จริงๆ แล้ว ‘ตอบโจทย์’ ยังอยู่ แต่ ‘ภิญโญ’ ต่างหาก ที่ต้องจบชีวิตลง น่าจะเป็นอวสาน
ภิญโญศึกนอกศึกในมากกว่า
จอม กล่าวว่า เขารู้สึกชื่นชมภิญโญ เพราะเป็นคนที่มี “ความกล้าหาญทางจริยธรรม”
มาโดยตลอด และเป็นคนที่มีชอบให้ความเห็นและมุมมองที่แตกต่าง ซึ่งสถานีในยุค
เริ่มต้นแทบจะหาคนแบบนี้ยาก แต่พอภิญโญเข้าไป มีการให้พื้นที่คนที่เห็นต่าง ก็ถือ
ได้ว่า เอาความเป็นสาธารณะที่แท้จริงมาสร้างให้คนในไทยพีบีเอสเต็มตัว
แต่จอมก็เป็นกังวล ต่ออนาคตของภิญโญ เพราะประเด็นเรื่องสถาบันฯ ค่อนข้างละเอียดอ่อน
และจะถูกผลักให้เข้าใจว่าไม่เอาสถาบันฯ ผ่านการสร้างวาทกรรมต่างๆ ตนอยากให้คิดว่า
ภิญโญ มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่ทำให้สถานีเป็นสื่อสาธารณะอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น จอม ยังเล่าถึง ประสบการณ์การทำงานตั้งแต่สมัยที่ไทยพีบีเอสเป็นไอทีวี
ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว จอม กล่าวว่า เป็น “อุบัติเหตุทางการเมือง” – ไม่ได้เกิดจาก
ความพร้อมของสังคม ที่อยากจะมีทีวีไทยเป็นทีวีสาธารณะ แต่เกิดจากการพยายามล้ม
ล้างอะไรก็ตามที่เป็นของทักษิณ ซึ่งไอทีวีก็ถือเป็นป็นทรัพย์สินของทักษิณ แต่กลับไม่มี
ความคิดว่าหลังจากทำลายแล้วจะทำอย่างไรต่อไป จึงเป็นปัญหาอย่างที่เห็นทุกวันนี้
เพราะสังคมยังไม่มีความรู้ว่าทีวีสาธารณะทำอะไร
คำถามว่า สังคมไทยรู้หรือเปล่าว่า “ทีวีสาธารณะ” กับ “ส้วมสาธารณะ” ต่างกันอย่างไร
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายจากความพยายามของหลายฝ่าย ก็มีการคิดค้นกฎหมายขึ้นมา
เป็นข้อบัญญัติของกฎหมายทีวีสาธารณะ ส่วนการหาคนที่จะมาทำสื่อสาธารณะนั้นก็ดึง
คนที่เป็นกบฎไอทีวีทั้ง 21 คนที่ฟ้องร้องทักษิณซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกมาทำงาน ซึงจุดนี้
จอม กล่าวว่า เป็นปัญหาอันดับแรกของทีวีไทย
ปัญหาต่อไป คือ คนทำงานเองเข้าใจแค่ไหนว่า ‘สื่อสาธารณะ’ ทำอะไร เราต้องเปลี่ยน
วิธีคิด เพราะในอุตสาหกรรมทางการสื่อสาร วงการทางโทรทัศน์ เราอยู่ภายใต้กรอบ
รัฐบาลมาตลอด อีกทั้ง ที่ผ่านมาไอทีวีใช้สโลแกนว่าทีวีเสรี ผลจากความสูญเสียใน
เดือนพฤษภา คนที่ทำงานก็มาจากหลายที่ ต้องมาร่วมกันคิดว่า ทีวีเสรีจะทำอะไรให้กับ
สังคมได้บ้าง สรุป จะทำทีวีเพื่อประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่นายกฯหรือราชการ
แต่ เมื่อเปลี่ยนผ่านมาสู่ “ไทยพีบีเอส” คนที่มาทำ ก็ต้องสร้างอุดมการณ์ของทีวีสาธารณะ
ให้อยู่ในใจคนทำงานก่อน สมบัติสาธารณะจะตอบแทนสาธารณะอย่างไร โดยเฉพาะในฐานะ
ที่ไทยพีบีเอสเป็นดอกไม้ที่ออกมาจากปลายกระบอกปืน แต่กลับปรากฎความขัดแย้งชัดเจน
ของคนในองค์กร คือ ไม่มีอุดมการณ์ของความเป็นทีวีสาธารณะอย่างแท้จริง คือ ไม่ตอบ
สนองและรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มที่หลากหลายในสังคมจริงๆ และ มีอคติ มองว่า
ประชาชนเป็นเพียงผู้รับฟัง แต่ไม่กระจายพื้นที่ทางสื่อให้กับทุกคนทุกกลุ่ม ซึ่งแท้จริงแล้ว
ความเข้มแข็งของทีวีสาธารณะ จะต้องขึ้นอยู่กับความหลากหลายที่มันจะสามารถสะท้อน
ปัญหาในสังคม มีพื้นที่ให้กับคนที่เห็นต่าง ไม่ใช่ผู้บริหารและพนักงานเห็นอีกอย่าง ลงไป
ลงโทษเขา
จอม ยกกรณีภิญโญที่เห็นต่างจากคนอื่นเป็นตัวอย่าง ที่คิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ของ ไทยพีบีเอส
ทำให้สุดท้ายภิญโญก็อยู่ไม่ได้ และนี่คือจุดอ่อนที่สำคัญ แล้วก็ปัญหาของทีวีไทยที่ยังต้องปรับกัน
อีกเยอะ
อย่างไรก็ตาม จอม เสนอให้มองว่า ในอีกด้านหนึ่ง ไทยพีบีเอส ก็สามารถที่จะพลิกวิกฤต “ตอบโจทย์”
โดย ทบทวนตัวเอง ว่าจะทำอย่างไรให้ความต่างมีพื้นที่ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันได้
“ไทยพีบีเอสต้องทำต่อ พิสูจน์ต่อ แต่ถ้าเขาหยุดและกลัว นี่คือจุดหายนะของไทยพีบีเอส” จอม กล่าว
ประวิตร โรจนพฤกษ์
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สื่อ แต่สภาพสังคม ที่จัดการเซ็นเซอร์ผู้อื่น และเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยที่ไม่มีใครสั่ง
ประวิตร กล่าวว่า สิ่งที่เกิดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15 มี.ค.) เป็นตัวอย่างของกระบวนการเซ็นเซอร์สื่อ
และการเซ็นเซอร์ตัวเอง ส่วนอนาคตของภิญโญ ประวิตร กล่าวว่ายังอยากเห็น ผอ.ของไทยพีบีเอส
ออกมาพูดในที่สาธารณะให้ชัดเจน เพราะในเมื่อสถานีตัดสินใจออกอากาศตอบโจทย์ต่อ คุณภิญโญ
ไม่ได้ทำผิดอะไรก็ควรจะเชิญภิญโญกลับไปทำรายการ
ประวิตร ชี้ให้เห็นว่า ปรากฎการณ์นี้ทำให้เห็นอะไรหลายอย่าง เริ่มจากการดูถูกประชาชนส่วนใหญ่
ว่าโง่ โดยประวิตร อ้าง บทความ ตอบโจทย์ พ่อง(พ่อ)เหรอ! ของจิตตนาถ ลิ้มทองกุล รวมทั้ง
ความเห็นของหมอตุลย์ จากกลุ่มเสื้อหลากสี ที่ต่างมองว่า ตนมีการศึกษาพอจะแยกแยะออกว่าอะไร
ในรายการเป็นความจริง ต่างกันคนส่วนใหญ่ของประเทศที่โง่ แยกจริงหรือเท็จไม่ออก
ซึ่งประวิตรมองว่า ถ้าดูถูกคนขนาดนี้ จะทำสื่อไปทำไม ควรไปทำประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลด้านเดียว
หรือโฆษณาชวนเชื่อมากกว่า และถ้าเชื่อว่าประชาชนคิดไม่เป็น ก็ควรให้เขาเริ่ม สังคมต้องเรียนรู้
เพราะไม่มีใครปั่นจักรยานเป็นตั้งแต่เกิด และในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีสิทธิแสดง
ความเห็นที่แตกต่าง คำถามคือ สังคมไทยจะบอกได้ไหมว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย
นอกจากนั้น หลังการออกอากาศวันที่ 15 มีพนักงานอาวุโส จำนวนหนึ่ง ออกมาแสดงความเห็น
ตั้งคำถามกับพื้นที่ในการนำเสนอ แม้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์จะทำได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็ควรเชื่อใน
ความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่สมศักดิ์เพิ่งได้ออกทีวีกระแสหลัก คนเหล่านี้
กลับมองว่านี่ ไม่แฟร์ ทั้งๆที่ ประเทศก็อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ฉะนั้น ประชาชนควรมีสิทธิแสดง
ความเห็นต่าง แต่การที่ ผบ.ทบ. ออกมาให้ความเห็นว่า “ใครอึดอัดให้ไปอยู่ที่อื่น” ประวิตรมองว่า
ไม่มีใครในแผ่นดินนี้มีสิทธิไล่คนไทยไปที่อื่น คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย และ ประวิตร
กล่าวต่อไปว่า ถ้าคุณรับไม่ได้กับการถอดเหนือเมฆ คุณก็ควรรับไม่ได้กับการถอดตอบโจทย์เช่นกัน
“โจทย์ใหญ่ของสังคมไทย คือ จะสร้างที่ยืนให้กับความแตกต่างอย่างไร หรือจะใช้การปิดปากต่อไป
พร้อมทำทุกอย่างเพื่อกำจัดคนที่เห็นต่าง และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สื่อ แต่สภาพสังคม ที่จัดการ
เซ็นเซอร์ผู้อื่น และเซ็นเซอร์ตัวเอง โดยที่ไม่มีใครสั่ง - ภาพสะท้อนของกลุ่ม ‘ประชาชนทนไม่ไหว’
คือ ภาวะที่สังคมไทยยังไม่พร้อมรับความเห็นที่แตกต่าง" ประวิตร กล่าว
ใบตองแห้ง
สังคมต้องการ พื้นที่ให้กับความจริงที่หลากหลาย ถูกผิดต้องมีการวิจารณ์ ไทยพีบีเอส จึงควร
ทำหน้าที่เป็นสื่อที่เปิดกว้าง และเป็นตัวเชื่อมสังคมด้วยซ้ำไป
ใบตองแห้ง ชี้ให้เห็นถึง ผลสะท้อน การเมืองภายในไทยพีบีเอส จากกรณีตอบโจทย์ ที่จ้างคน
ผลิตจากภายนอก ซึ่งกลายเป็นว่าตอบโจทย์แยกออกมาจากรายการหลักของสถานี และมีความ
ขัดแย้งกันเองภายใน คือ มีปัญหากับฝ่ายข่าวมาก่อน สมชัยก็พยายามจัดระเบียบ ใบตองแห้ง
มองว่า ฝ่ายข่าวที่เป็นภาพลักษณ์ของไทยพีบีเอสที่เป็นปัญหาตอนนี้ เพราะ รากฐานระบบ มาจาก
แบบองค์กรเอ็นจีโอ อาศัยระบบอุปภัมภ์และเครือญาติ พากันเข้าสมัครทำงานในองค์กร แม้ สมชัย
อยากจะปฏิรูปโดยเริ่มที่รายการตอบโจทย์ แต่เมื่อสมชัยตัดสินใจพลาดโดยชะลอออกอากาศเมื่อ
วันศุกร์ และเสียภิญโญไปแล้ว ทั้งนี้โดยส่วนตัว มองว่าแม้สมชัยจะมีจุดยืนทางการเมืองที่ตรงข้าม
กับตน แต่ก็เป็นคนที่เปิดกว้างต่อทัศนะที่แตกต่าง
ใบตองแห้ง กล่าวต่อไปถึง กรณีสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยออกแถลงการณ์ชื่นชมการ
ตัดสินใจระงับการออกอากาศ ชื่นชมผู้ที่ไปกดดัน และตำหนิรายการตอบโจทย์ฯ นั้น ว่า แย่มาจาก
ที่นายกฯ สมคมฯ ไม่ออกตัวเอง แต่สมควรแล้วที่ อรพิน จะขอลาออกจากการเป็นอุปนายกด้าน
สิทธิเสรีภาพ เพราะปกป้องเสรีภาพของรายการไม่ได้ ส่วนกรณีภิญโญ ใบตองแห้ง กล่าวว่า ตน
รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นคนล้มเจ้าไปแล้ว คำถามต่อไปก็คือ จะทำอย่างไร
ให้เขาได้รับความเป็นธรรม คือ ต้องไม่ลืมว่าเราทุกคนเป็นเจ้าของไทยพีบีเอสด้วย จะปล่อยให้เกิด
การชี้นำเช่นนี้ต่อไปหรือ
สุดท้าย ใบตองแห้งเสนอว่า สื่อสาธารณะต้องนำเสนอมุมมองที่หลายหลาย สังคมต้องติดตามการ
ทำงานของไทยพีบีเอสอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ เพราะท้ายที่สุด สังคมย่อมต้องการ พื้นที่ให้กับ
ความจริงที่หลากหลาย ถูกผิดต้องมีการวิจารณ์ ไทยพีบีเอส จึงควรทำหน้าที่เป็นสื่อที่เปิดกว้าง
และเป็นตัวเชื่อมสังคมด้วยซ้ำไป
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363843103&grpid=01&catid=&subcatid=
ขอตบท้ายด้วยข่าวต่อไปนี้ ...ตาม link ไปอ่านต่อเอง หรือจะดูจากระทู้ที่ link มาให้ก็ได้ค่ะ
ข่าวเดียวกัน ....
ตำรวจสอบแล้ว “เทปตอบโจทย์” พบ ‘บางคน’ เข้าข่ายผิด! - เตรียมตั้งคณะสอบสวน
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363848927&grpid=00&catid=&subcatid=
ยุคยิ่งลักษณ์ เฉลิมคุมตำรวจ สตช.ฟันธง “ตอบโจทย์” ผิด กม. สั่งทุกโรงพักรับแจ้งความ
http://pantip.com/topic/30277544
สรุปว่า ม.112 นี่เราควรจะแก้ไหม ?......