จากข่าวดึง "คนขับแท็กซี่ - ร้านข้าวแกง" เข้ามาเก็บ "ภาษี" ด้วยคุณเห็นด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด

เล็งดึงแท็กซี่-ข้าวแกง เข้าฐานภาษี ยันไม่ปรับเพิ่ม VAT เก็บ 7% ต่อ

กรมสรรพากรเดินหน้าขยายฐานภาษี เล็งดึงแท็กซี่-ข้าวแกง เข้าฐานภาษี ยันไม่ปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม เก็บ 7% ต่อ ชี้ยังไม่มีความจำเป็น

          วานนี้ (19 มีนาคม) นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงการจัดรายได้ในปีนี้ว่า ทางกรรมสรรพากรยังมั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ถึงแม้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจะมีการปรับลดลง 20% ในปีนี้ ส่งผลให้ภาษีหายไปกว่า 1 แสนล้านบาท แต่ก็ยังสามารถจัดเก็บภาษีอื่น ๆ มาทดแทนได้ โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม

          ในส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ยังอยู่ในระดับปกติ เพราะการปรับโครงสร้างใหม่ลดอัตราจาก 37% เหลือ 35% อยู่ระหว่างการนำเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประมวลกฎหมายรัษฎากรเข้าสภา และจะมีผลในปีภาษี 2556 ที่จะมีการยื่นช่วงต้นปี 2557 แต่ที่มีผลกระทบทันทีคือ การแยกยื่นระหว่างสามีภรรยา เพราะการกระจายรายได้ ส่งผลให้อัตราภาษีที่จ่ายต่ำลงด้วย

          นายสาธิต กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงในการยื่นเสียภาษีนิติบุคคลในกลางปีนี้ที่อาจจะลดลงจาก 23% เหลือ 20% ซึ่งตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามดูรายได้และนำส่งภาษีซื้อขายปีก่อน เพื่อเทียบเคียงกับภาษีตามความเป็นจริงด้วย

          นอกจากนี้ ทางกรมฯ ยังอยู่ในระหว่างเร่งขยายฐานภาษี เพื่อปิดช่องโหว่ที่เลี่ยงภาษี และนำคนที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ เช่น ผู้มีเงินได้ควรจะเสียภาษี แต่ยังไม่ได้เสีย อย่างคนขับแท็กซี่ พ่อค้า แม่ค้า ร้านอาหาร ซึ่งเมื่อมีการพัฒนาระบบไอที ก็น่าจะนำคนกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในระบบได้ แต่ก็คงทำให้ฐานภาษี 10 ล้านคนและที่เสียจริง 3.5 ล้านคน ไม่ขยับขึ้นมากนัก

          อย่างไรก็ตาม ในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บในอัตรา 7% นั้น ถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก เพราะในโลกนี้มีเพียง 2 ประเทศที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มต่ำกว่าไทย คือ ไต้หวัน และญี่ปุ่น ที่เก็บเพียง 5% แต่ประเทศญี่ปุ่นก็กำลังจะปรับเป็น 8% ในเดือนเมษายนปีหน้า และเพิ่มเป็น 10% ในสิ้นปีดังกล่าว ส่วนประเทศไทยนั้น ยังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับภาษีขึ้นในช่วงนี้

          ขณะที่ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันเก็บภาษีได้ประมาณ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น จึงมีความจำเป็นที่ไทยจะเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษีต่อไป พร้อมกับหาแนวทางช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีเพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีวิต โดยคนกลุ่มนี้อาจจะต้องมาขึ้นทะเบียนไว้

          นายรังสรรค์ กล่าวต่อว่า การปรับลดภาษีควรคำนึงถึงการจัดหารายได้มาใช้ในการพัฒนาประเทศด้วย เช่น หากปรับลดภาษีตัวหนึ่งก็ควรหารายได้เพิ่มจากภาษีอีกตัวหนึ่งแทน อย่างภาษีมูลค่าเพิ่มหากปรับขึ้นเพียง 1% จะมีรายได้เข้ามาถึง 8.4 หมื่นล้านบาท กระทบผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพียง 0.015% และทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเพียง 0.61% ขณะที่สินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิตก็ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้ การเพิ่มภาษีก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล

ขอบคุณที่มาจาก : http://hilight.kapook.com/view/83577




สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ควรเก็บเพราะตอนนี้ พนง.บริษัท ที่อยู่ในระบบ
เสียเปรียบโคตรๆ ภาษีเก็บทุกเม็ด ประกันสังคมอีก

...แต่เงินอัดฉีดส่วนใหญ่ไปหารากหญ้าเสียงั้น...
ความคิดเห็นที่ 43
เห็นด้วยว่าควรขยายฐานภาษี ให้ครอบคลุมผู้มีรายได้ทุกกลุ่ม อย่างยุติธรรม คนทำงานประจำ หักสดทุกเดือน หนีไม่ได้
หลบไม่ได้ คนขายของ ขายได้เท่าไหรไม่รู้ แต่ไม่เคยต้องเสียภาษี

มันต้องเริ่มจากอาชีพ ประชาชนทุกคนต้องมีอาชีพ ระบุในบัตรประชาชน ถ้าไม่มีอาชีพ ก็ต้องไม่มีรายได้ ถ้าไม่มีรายได้ก็ต้อง
มีคนอุปการะ เช่นเด็ก คนแก่ คนพิการ พอระบุอาชีพได้แล้วก็ต้องทำตาม เงื่อนไข เช่นอาชีพค้าขายก็ต้องจดทะเบียนการค้า ไม่ว่าเล็กใหญ่ ขายในเน็ตก็ต้องจดทะเบียนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ ต้องยื่นภาษี
ก็ต้องมีหลักฐานการซื้อขาย เป็นชาวนาก็ต้องมีที่ดินทำกิน ไม่ว่าจะเช่า จะ มีของตัวเอง
คนแก่ พิการก็จะต้องได้รับสวัดิการ คนทำงานเป็นลูกจ้างก็ต้องระบุนายจ้างได้
เป็นนักเรียนนักศึกษาก็ต้องระบุผู้ปกครองได้ ไล่กันไปเป็นทอดๆ

ง่ายๆ ถ้าเป็นคนไทย มีบัตรประชาชน ต้องระบุอาชีพได้ ระบุอาชีพได้  มันสัมพันธ์กันหมด ไม่มีใครเกิดมาแล้ว
อยู่ได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ว่างงานก็ต้องระบุว่าว่างงาน จะได้ช่วยเหลือได้ถูก


มันแปลกมากที่คนไทยหลายคนไม่มีอาชีพแต่รวย มีรถขับมีบ้านอยู่ใหญ่โต และ ไม่ต้องเสียภาษี
ความคิดเห็นที่ 2
เห็นด้วยค่ะ ...เมื่อวานไปกินส้มตำร้านนึง เป็นหมู่บ้านที่ปลีกตัวจากความเจริญหน่อย ถนนทั้งสายมีร้านส้มตำร้านนี้ร้านเดียวที่ดังและครอบครองที่จอดทั้งถนน เรามองถนนลาดยางที่เริ่มเป็นหลุมเป็นบ่อ (ขรุขระทุกอนู)  ส่วนหนึ่งเพราะรถใหญ่สัญจร อีกส่วนคือรถมากมายมุ่งหน้ามาร้านส้มตำร้านนี้ เรายังคิดเลยว่าร้านนี้เสียภาษีปีละเท่าไหร่เนี่ย เพราะร้านนี้ได้ใช้ประโยชน์จากถนนเส้นนี้เต็มๆ ...ในความคิดเราคนมีรายได้ตามเกณฑ์ก้อสมควรจ่ายภาษีเพราะคุณก้อใช้สาธารณูปโภคของรัฐอยู่ทุกวันทั้งทางตรงและทางอ้อม
ความคิดเห็นที่ 64
กระทู้ในห้องสีลมเป็นไปในแนวทางเดียวกันหมด
คือลาออกจากลูกจ้าง มาขายของเองตามตลาดนัด
หรือเริ่มธุรกิจเอง รวยกว่าเยอะ...

แต่พอพูดถึงเรื่องการเก็บภาษีกลับบอกว่า... รายได้น้อย
ความคิดเห็นที่ 53
เห็นด้วยนะ ผู้มีรายได้ถึงควรเสียภาษีทุกคน อย่าเอาเปรียบกัน

แต่รู้ไหม รายได้ที่รัฐขาด มาจาก "พวกนิติบุคคล" นี่ตัวดีเลย พวกนี้จ้างสำนักงานตกแต่งบัญชี ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ทำให้เสียภาษีน้อยมากกกกกก อะไรๆก็เอาเข้าบัญชีบริษัท ซื้อรถหรู กินข้าวหรู เที่ยวตปท คนรู้จกเราหลายคน ( ไม่อยากนับว่าเป็นเพื่อน รังเกียจ เอาเปรียบอ่ะ) รายได้ปีละเจ็ดหลักแก่ เกือบแปดหลัก ขับรถ e coupe, porche กินอยู่อย่างราชา เป็นเจ้าของบริษัท เสียภาษีปีละเท่าไรรู้มั้ย 8,000 ค่ะ ฟังที่เค้าโอ้อวดว่าเสียภาษีได้น้อยแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนนะ เรารายได้น้อยกว่าสิบกว่าเท่า เราเสียภาษีปีละสามแสน คนพวกนี้มักมีข้ออ้างว่า เสียภาษีไปรัฐก็โกง นักการเมืองโกง เออ เราก็รู้ เราก็เกลียดรัฐบาล เกลียดคนโกง แต่ทุกคนที่มีความสามารถต้องเสียภาษี มันคือ " หน้าที่" พลเมือง ไม่ใช่เงินบริจาคนะ เราว่าคนไม่เสียภาษีเพราะว่าคนอื่นเลว ตัวเองก็เลวไม่แพ้กัน ถ้าเราไม่ชอบคนโกง เราก็อย่าทำซะเอง

อึดอัดๆ ระบายๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่