18 มี.ค. 2556 เวลา 11:42:51 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผ่าหุ้นกลาง-เล็กเดือดทะลุจอ หุ้นพี/อีเกิน 100 เท่า เพิ่มถึง 22 ตัว นักเล่นหุ้นรายย่อยดาหน้าเล่นไม่กลัวน้ำร้อน นายกสมาคม บล.ชี้เล่นเก็งข่าวกำไร บจ.ไตรมาสแรกทำนิวไฮ หนุนดัชนีทะยานหาเป้าใหม่ที่ 1,680 จุด แนะ ตลท.ออกมาตรการสกัดเฉพาะจุด หวั่นกระทบอารมณ์นักลงทุน "กอบศักดิ์" ชี้คนไทยเล่นหุ้นคะนองมือ ระบุหลายโบรกฯเลิกให้มาร์จิ้นลูกค้าลดเสี่ยง
หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศใช้มาตรการสกัดความร้อนแรง ด้วยการขยายระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ต้องซื้อขายด้วยเงินสด (Cash Balance) จาก 3 สัปดาห์ เป็น 6 สัปดาห์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังคงมีการซื้อขาย (เทรด) ร้อนแรงต่อเนื่อง ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึง 15 มี.ค. 56 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,598.34 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 19 ปี โดยเพิ่มขึ้น 190 จุด หรือ 13% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 5-6 หมื่นล้านบาท มูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท (14 มี.ค.) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิลดลงเหลือเพียง 5,130 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดือนแรกที่ยอดซื้อสุทธิสูงระดับหมื่นล้านบาท
72 หุ้นพี/อีเกิน 40 เท่า
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบการซื้อขายภาพรวมของตลาดหุ้นโดยรวมพบว่า ยังมีการซื้อขายร้อนแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด ณ วันที่ 13 มี.ค.พบว่ามูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) ของหุ้นที่อยู่นอกกลุ่ม SET 50 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 58% เทียบจากเดือน ม.ค.ที่อยู่ระดับ 45% ของวอลุ่มตลาดรวม และหากดูวอลุ่มของกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ
พบว่ามีการซื้อขาย สัดส่วนสูงถึง 66-67% เพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค.ที่มีสัดส่วนดังกล่าวอยู่เพียง 59-60% ของวอลุ่มตลาดรวม
ส่วนหุ้นที่มีราคาปิดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (ค่าพี/อี) สูงกว่า 40 เท่า ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอมีจำนวนรวม 72 บจ. และถ้าเจาะไปถึงหุ้นที่มีค่าพี/อีสูงเกินระดับ 100 เท่า มีจำนวนมากถึง 22 บจ. โดย 5 อันดับแรกที่ค่าพี/อีสูงสุดได้แก่ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ค่าพี/อีสูงถึง 507.31 เท่า บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) 462.36 เท่า บมจ.ไทยง้วนเมทัล (TYM) 393.99 เท่า บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) 334.78 เท่า บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) 276.38 เท่า
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวงกล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นขนาดกลาง-เล็กยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนักลงทุนรายบุคคลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น และมีความรู้ในการลงทุนที่ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน การมองไปข้างหน้าของราคาหุ้นด้วยค่าพี/อีในอนาคต ควบคู่กับบทวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ออกมา และที่สำคัญความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจที่เติบโตดีและมีเสถียรภาพ ทำให้แรงซื้อของนักลงทุนทุกกลุ่มยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติ สถาบัน และรายย่อย
"แรงซื้อจึงยังมีต่อเนื่อง แม้ดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้นมาค่อนข้างมาก แต่ก็ยังถือว่าไม่มากนัก เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นโดยตลอด ตลาดหุ้นเราขึ้นช้ากว่าคนอื่น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียง 300% ในช่วง 3-4 ปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียปรับขึ้น 900% ฟิลิปปินส์ 600% เป็นต้น ดังนั้นถ้าหุ้นไทยจะขึ้นไปต่อก็ไม่แปลก และยังไม่ไปถึงขั้นที่เรียกว่าฟองสบู่" นายวิกิจ กล่าว
บัญชีใหม่เพิ่ม 4 หมื่นราย
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลท. เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้มีผู้เปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นบัญชี ทำให้มียอดบัญชีรวมเพิ่มเป็น 8.4 แสนบัญชี และยังพบว่าบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ (Active) มีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 20-25%
นอกจากนี้จากต้นปีถึงขณะนี้ยังพบว่าสัดส่วนการเทรดของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 65% ของวอลุ่มเฉลี่ยที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท/วัน จากปีที่แล้วมีสัดส่วนรายย่อย 52% ของวอลุ่มเฉลี่ยที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท/วัน สะท้อนการขยายตัวอย่างชัดเจนของนักลงทุนรายย่อยทั้งด้านสัดส่วนการเทรดและวอลุ่มรวม
ขณะที่สัดส่วนการเล่นหุ้นที่อยู่นอกกลุ่มSET100 พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีการเล่นหุ้นกลางและเล็กเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30-40% ของตลาดรวม เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 20-30% สะท้อนถึงการเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเพิ่มมากขึ้น
"ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องและยังต้องติดตามผลหลังจากที่ได้ขยายเวลาหุ้นติดแคชบาลานซ์ไปก่อนหน้า" นายภากรกล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นร้อนแรงเกิดจากนักลงทุนไทยทั้งสิ้น และเป็นเรื่องน่ากังวลใจ เพราะหลายโบรกเกอร์เลิกให้มาร์จิ้นแล้ว ถ้าไปดูจะเห็นว่าหุ้นที่ขึ้นจะเป็นหุ้นตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต่างชาติไม่สนใจ ส่วนหุ้นใหญ่ ๆ ไม่ขึ้น
"หุ้นที่กำลังขึ้นคือหุ้นที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เดือนที่แล้ว (สิ้น ก.พ.) มีคนเปิดบัญชีใหม่ 4 หมื่นบัญชี จากปกติเปิดปีละ 8 หมื่นบัญชี อันนี้น่ากังวลใจ ผมคิดว่าเราเริ่มเห็นสัญญาณที่เหมือนในอดีต และหากจะมามองว่าเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นแล้ว ถ้าจะไปทำอะไรก็คงช้าเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ดีควรจะดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่ สัญญาณคือคนที่เล่นกันคือคนไทย แล้วก็เล่นหุ้นเล็ก ๆ กัน และสวิงมาก มีโอกาสเสียหายกันได้" นายกอบศักดิ์กล่าว
เก็งข่าว Q1 กำไร บจ.โต 18%
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์กล่าวว่า จากต้นปีถึงปัจจุบันมีสัดส่วนการเทรดในหุ้นขนาดกลางและเล็กกันมาก นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพราะหุ้นหลายตัวยังไม่มีบทวิเคราะห์ครอบคลุม
โดยหุ้นเหล่านี้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1.หุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง 2.หุ้นที่ผลประกอบการยังกำไรเติบโตแข็งแกร่งหรือกำลังฟื้นตัว และสุดท้ายเป็นหุ้นเก็งกำไร ขาดปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในอนาคต
สำหรับหลังมีการปรับเกณฑ์แคชบาลานซ์ขณะนี้ยังไม่ได้ผลเพราะวอลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กยังมีสัดส่วนสูง เป็นผลจากนักลงทุนไม่มีความกังวล โดยเดินหน้าเข้าลงทุนเพราะมีกำลังซื้อที่สูง อย่างไรก็ดี สมาชิกของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการหารือร่วมกันต่อเนื่องในเรื่องนี้ แต่ยังไม่ต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมาตรการ เพราะเกรงจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนรวม
"ถ้าออกเพิ่มเติมควรเป็นมาตรการที่ดูแลเฉพาะเจาะจงและไม่กระทบภาพรวมตลาดส่วนการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงของดัชนีในขณะนี้เชื่อว่ายังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับจากการขยายตัวของทั้งเศรษฐกิจในประเทศและส่วนหนึ่งมีเม็ดเงินเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส1/56 ของ บจ.ที่ยังขยายตัวดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งในหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลาง ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่ายังสามารถขยายตัวได้ประมาณ 18% และให้เป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,680 จุด" นางภัทธีรากล่าว
ค่าคอมโบรกฯพุ่งดันกำไร
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา (2 ม.ค.-12 มี.ค.) ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้ปรับตัวขึ้นมาก โดย 3 อันดับแรกที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด ได้แก่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ปรับขึ้น 125% จาก 2.64 บาท มาปิดที่ 5.95 บาท บริษัท ทรีนิตี้ วัฒนา (TNITY) ขึ้นjavascript:void(0); 108% จากราคา 5.60 บาท มาอยู่ที่ 11.70 บาท และ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ขึ้น 78% จากราคา 1.01 บาท มาปิดที่ 1.80 บาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีกล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์ที่ปรับตัวขึ้นสูงเป็นผลจากวอลุ่มตลาดที่พุ่งขึ้นมาเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่งผลบวกต่อรายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิสชั่น) ของกลุ่มหลักทรัพย์
"นักลงทุนกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เกาะกระแสความคึกคักของตลาดอยู่แล้ว เพราะผลประกอบการของแต่ละโบรกฯสามารถคำนวณออกมาเป็นมูลค่าได้เลย หากดูจากมาร์เก็ตแชร์และค่าคอมมิสชั่นเฉลี่ย"
แนวโน้มของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก หากการซื้อขายยังคงหนาแน่นเกินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ วอลุ่มรวมของตลาดในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา จากวันแรกที่อยู่ระดับ 38,703.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 65,534.81 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 69.33% โดยเมื่อวันที่ 12 มี.ค. วอลุ่มตลาดสูงถึง 86,277.65 ล้านบาท
รายย่อยคะนองมือทึ้ง"หุ้นร้อน" เซียนหน้าใหม่ทะลัก-22หุ้นพี/อี100เท่า
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ผ่าหุ้นกลาง-เล็กเดือดทะลุจอ หุ้นพี/อีเกิน 100 เท่า เพิ่มถึง 22 ตัว นักเล่นหุ้นรายย่อยดาหน้าเล่นไม่กลัวน้ำร้อน นายกสมาคม บล.ชี้เล่นเก็งข่าวกำไร บจ.ไตรมาสแรกทำนิวไฮ หนุนดัชนีทะยานหาเป้าใหม่ที่ 1,680 จุด แนะ ตลท.ออกมาตรการสกัดเฉพาะจุด หวั่นกระทบอารมณ์นักลงทุน "กอบศักดิ์" ชี้คนไทยเล่นหุ้นคะนองมือ ระบุหลายโบรกฯเลิกให้มาร์จิ้นลูกค้าลดเสี่ยง
หลังจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศใช้มาตรการสกัดความร้อนแรง ด้วยการขยายระยะเวลาการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เข้าเกณฑ์ต้องซื้อขายด้วยเงินสด (Cash Balance) จาก 3 สัปดาห์ เป็น 6 สัปดาห์ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังคงมีการซื้อขาย (เทรด) ร้อนแรงต่อเนื่อง ทำให้ตั้งแต่ต้นปีถึง 15 มี.ค. 56 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,598.34 จุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 19 ปี โดยเพิ่มขึ้น 190 จุด หรือ 13% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยวันละ 5-6 หมื่นล้านบาท มูลค่าราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท (14 มี.ค.) ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิลดลงเหลือเพียง 5,130 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดือนแรกที่ยอดซื้อสุทธิสูงระดับหมื่นล้านบาท
72 หุ้นพี/อีเกิน 40 เท่า
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" ได้ตรวจสอบการซื้อขายภาพรวมของตลาดหุ้นโดยรวมพบว่า ยังมีการซื้อขายร้อนแรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด ณ วันที่ 13 มี.ค.พบว่ามูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) ของหุ้นที่อยู่นอกกลุ่ม SET 50 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 58% เทียบจากเดือน ม.ค.ที่อยู่ระดับ 45% ของวอลุ่มตลาดรวม และหากดูวอลุ่มของกลุ่มนักลงทุนบุคคลในประเทศ
พบว่ามีการซื้อขาย สัดส่วนสูงถึง 66-67% เพิ่มขึ้นจากเดือน ม.ค.ที่มีสัดส่วนดังกล่าวอยู่เพียง 59-60% ของวอลุ่มตลาดรวม
ส่วนหุ้นที่มีราคาปิดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (ค่าพี/อี) สูงกว่า 40 เท่า ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็มเอไอมีจำนวนรวม 72 บจ. และถ้าเจาะไปถึงหุ้นที่มีค่าพี/อีสูงเกินระดับ 100 เท่า มีจำนวนมากถึง 22 บจ. โดย 5 อันดับแรกที่ค่าพี/อีสูงสุดได้แก่ บมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น (LIVE) ค่าพี/อีสูงถึง 507.31 เท่า บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) 462.36 เท่า บมจ.ไทยง้วนเมทัล (TYM) 393.99 เท่า บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) 334.78 เท่า บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) 276.38 เท่า
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวงกล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นขนาดกลาง-เล็กยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนักลงทุนรายบุคคลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น และมีความรู้ในการลงทุนที่ช่วยในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน การมองไปข้างหน้าของราคาหุ้นด้วยค่าพี/อีในอนาคต ควบคู่กับบทวิเคราะห์หุ้นของโบรกเกอร์หรือบริษัทหลักทรัพย์ที่ออกมา และที่สำคัญความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจที่เติบโตดีและมีเสถียรภาพ ทำให้แรงซื้อของนักลงทุนทุกกลุ่มยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติ สถาบัน และรายย่อย
"แรงซื้อจึงยังมีต่อเนื่อง แม้ดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้นมาค่อนข้างมาก แต่ก็ยังถือว่าไม่มากนัก เพราะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้นโดยตลอด ตลาดหุ้นเราขึ้นช้ากว่าคนอื่น ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเพียง 300% ในช่วง 3-4 ปีก่อน ซึ่งน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียปรับขึ้น 900% ฟิลิปปินส์ 600% เป็นต้น ดังนั้นถ้าหุ้นไทยจะขึ้นไปต่อก็ไม่แปลก และยังไม่ไปถึงขั้นที่เรียกว่าฟองสบู่" นายวิกิจ กล่าว
บัญชีใหม่เพิ่ม 4 หมื่นราย
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลท. เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วง 2 เดือนแรกปีนี้มีผู้เปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 หมื่นบัญชี ทำให้มียอดบัญชีรวมเพิ่มเป็น 8.4 แสนบัญชี และยังพบว่าบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ (Active) มีอัตราเพิ่มขึ้นเป็น 35% จากปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียง 20-25%
นอกจากนี้จากต้นปีถึงขณะนี้ยังพบว่าสัดส่วนการเทรดของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 65% ของวอลุ่มเฉลี่ยที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท/วัน จากปีที่แล้วมีสัดส่วนรายย่อย 52% ของวอลุ่มเฉลี่ยที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท/วัน สะท้อนการขยายตัวอย่างชัดเจนของนักลงทุนรายย่อยทั้งด้านสัดส่วนการเทรดและวอลุ่มรวม
ขณะที่สัดส่วนการเล่นหุ้นที่อยู่นอกกลุ่มSET100 พบว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีการเล่นหุ้นกลางและเล็กเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30-40% ของตลาดรวม เพิ่มจากปีก่อนที่มีสัดส่วน 20-30% สะท้อนถึงการเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กเพิ่มมากขึ้น
"ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่องและยังต้องติดตามผลหลังจากที่ได้ขยายเวลาหุ้นติดแคชบาลานซ์ไปก่อนหน้า" นายภากรกล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นร้อนแรงเกิดจากนักลงทุนไทยทั้งสิ้น และเป็นเรื่องน่ากังวลใจ เพราะหลายโบรกเกอร์เลิกให้มาร์จิ้นแล้ว ถ้าไปดูจะเห็นว่าหุ้นที่ขึ้นจะเป็นหุ้นตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต่างชาติไม่สนใจ ส่วนหุ้นใหญ่ ๆ ไม่ขึ้น
"หุ้นที่กำลังขึ้นคือหุ้นที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน เดือนที่แล้ว (สิ้น ก.พ.) มีคนเปิดบัญชีใหม่ 4 หมื่นบัญชี จากปกติเปิดปีละ 8 หมื่นบัญชี อันนี้น่ากังวลใจ ผมคิดว่าเราเริ่มเห็นสัญญาณที่เหมือนในอดีต และหากจะมามองว่าเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นแล้ว ถ้าจะไปทำอะไรก็คงช้าเกินไปแล้ว ถ้าจะให้ดีควรจะดูว่ามีอะไรที่ผิดปกติหรือไม่ สัญญาณคือคนที่เล่นกันคือคนไทย แล้วก็เล่นหุ้นเล็ก ๆ กัน และสวิงมาก มีโอกาสเสียหายกันได้" นายกอบศักดิ์กล่าว
เก็งข่าว Q1 กำไร บจ.โต 18%
ด้านนางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์กล่าวว่า จากต้นปีถึงปัจจุบันมีสัดส่วนการเทรดในหุ้นขนาดกลางและเล็กกันมาก นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพราะหุ้นหลายตัวยังไม่มีบทวิเคราะห์ครอบคลุม
โดยหุ้นเหล่านี้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1.หุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง 2.หุ้นที่ผลประกอบการยังกำไรเติบโตแข็งแกร่งหรือกำลังฟื้นตัว และสุดท้ายเป็นหุ้นเก็งกำไร ขาดปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในอนาคต
สำหรับหลังมีการปรับเกณฑ์แคชบาลานซ์ขณะนี้ยังไม่ได้ผลเพราะวอลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กยังมีสัดส่วนสูง เป็นผลจากนักลงทุนไม่มีความกังวล โดยเดินหน้าเข้าลงทุนเพราะมีกำลังซื้อที่สูง อย่างไรก็ดี สมาชิกของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการหารือร่วมกันต่อเนื่องในเรื่องนี้ แต่ยังไม่ต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมาตรการ เพราะเกรงจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนรวม
"ถ้าออกเพิ่มเติมควรเป็นมาตรการที่ดูแลเฉพาะเจาะจงและไม่กระทบภาพรวมตลาดส่วนการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงของดัชนีในขณะนี้เชื่อว่ายังมีปัจจัยพื้นฐานรองรับจากการขยายตัวของทั้งเศรษฐกิจในประเทศและส่วนหนึ่งมีเม็ดเงินเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส1/56 ของ บจ.ที่ยังขยายตัวดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งในหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดกลาง ซึ่งฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่ายังสามารถขยายตัวได้ประมาณ 18% และให้เป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,680 จุด" นางภัทธีรากล่าว
ค่าคอมโบรกฯพุ่งดันกำไร
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา (2 ม.ค.-12 มี.ค.) ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้ปรับตัวขึ้นมาก โดย 3 อันดับแรกที่ปรับตัวขึ้นสูงสุด ได้แก่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ปรับขึ้น 125% จาก 2.64 บาท มาปิดที่ 5.95 บาท บริษัท ทรีนิตี้ วัฒนา (TNITY) ขึ้นjavascript:void(0); 108% จากราคา 5.60 บาท มาอยู่ที่ 11.70 บาท และ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) ขึ้น 78% จากราคา 1.01 บาท มาปิดที่ 1.80 บาท
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีกล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโบรกเกอร์ที่ปรับตัวขึ้นสูงเป็นผลจากวอลุ่มตลาดที่พุ่งขึ้นมาเฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท ส่งผลบวกต่อรายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิสชั่น) ของกลุ่มหลักทรัพย์
"นักลงทุนกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เกาะกระแสความคึกคักของตลาดอยู่แล้ว เพราะผลประกอบการของแต่ละโบรกฯสามารถคำนวณออกมาเป็นมูลค่าได้เลย หากดูจากมาร์เก็ตแชร์และค่าคอมมิสชั่นเฉลี่ย"
แนวโน้มของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก หากการซื้อขายยังคงหนาแน่นเกินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ วอลุ่มรวมของตลาดในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา จากวันแรกที่อยู่ระดับ 38,703.29 ล้านบาท มาอยู่ที่ 65,534.81 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 69.33% โดยเมื่อวันที่ 12 มี.ค. วอลุ่มตลาดสูงถึง 86,277.65 ล้านบาท