ชะตากรรม..... เหล่าสัตว์ และพืชป่า หลังประชุมไซเตส



ชะตากรรม..... เหล่าสัตว์ และพืชป่า หลังประชุมไซเตส

ปิดการประชุมไปพร้อมกับการฉลองครบ 40 ปี การก่อตั้งภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ท่ามกลางคำถามและความกังขามากมาย กับผลการพิจารณาเลื่อนชั้นบัญชีสำหรับพืชและสัตว์ เพื่อจำกัดการซื้อขาย อันเป็นการป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสูญหายไปจากโลกนั้น สมควรแค่ไหน

ว่ากันว่า เวทีไซเตส วันนี้พูดกันเรื่องอนุรักษ์น้อยมาก ส่วนใหญ่จะหนักไปทางผลประโยชน์ทางการค้าขาย หรือหากจะพูดเรื่องการอนุรักษ์ ก็เป็นการกล่าวอ้าง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่า การคิดจะอนุรักษ์จริงๆ รวมทั้งใช้วิธีการ พวกมากลากกันไป ใครมีอิทธิพลมาก ก็ได้คะแนนจากการโหวตสนับสนุนให้ข้อเรียกร้องของตัวเองเป็นไปตามเป้าประสงค์

มองจากเรื่อง การขอปรับลดบัญชี จระเข้น้ำจืดของประเทศไทย จากเดิมที่อยู่ในบัญชีที่ 1 ห้ามค้าขายระหว่างประเทศ จนกว่าจะได้รับใบอนุญาตจากไซเตส และประเทศผู้นำเข้า เป็นบัญชีที่ 2 คือสามารถค้าขายระหว่างประเทศได้ โดยประเทศที่นำเข้าไม่ต้องอนุญาตก็ได้ เป็นตัวอย่างชัดเจน ว่า ถ้าข้อเสนอของประเทศไทยบรรลุผล เราจะเป็นคู่แข่งการค้าหนังจระเข้ที่สำคัญของประเทศอเมริกาและยุโรป

ผลก็คือ เสียงโหวตที่สนับสนุนประเทศไทยไม่เพียงพอ ที่จะทำให้เราเปลี่ยนสถานะจระเข้ได้ แม้จะมีเหตุผลและข้อมูลประกอบที่สมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม

ที่น่าตกใจหนัก สำหรับการประชุมไซเตสครั้งนี้คือ การให้โควตา การล่า และฆ่าสัตว์ใหญ่อย่าง แรด และเสือดาว ของกลุ่มประเทศแอฟริกา

โดยไซเตสให้โควตา 12 ประเทศในแอฟริกา สามารถล่าเสือดาวเพื่อเอาเนื้อ หนัง กระดูก และหัวกะโหลกได้ถึง 2,648 ตัว ประกอบด้วย บอตสวานา 130 ตัว สาธารณรัฐแอฟริกากลาง 40 ตัว เอธิโอเปีย 500 ตัว เคนยา 80 ตัว มาลาวี 50 ตัว โมซัมบิก 120 ตัว นามิเบีย 250 ตัว แอฟริกาใต้ 150 ตัว อูกานดา 28 ตัว แทนซาเนีย 500 ตัว แซมเบีย 300 และซิมบับเว 500 ตัว

ประเทศเหล่านี้อ้างว่า มีเสือดาวเหลือเฟือ ล่าได้ทุกคน หากทำตามกติกาคือ ไปซื้อใบอนุญาตจากรัฐบาลก่อน และเข้าไปล่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่กำหนดได้

เสือดาวคือ 1 ในสัตว์ ที่เรียกว่า บิ๊กไฟว์ (Big five) ซึ่งใครที่เดินทางไปเที่ยวซาฟารีในประเทศแอฟริกา ควรจะต้องเห็น สัตว์บิ๊กไฟว์ที่ประกอบด้วย ช้าง แรด สิงโต ควายป่า และเสือดาว

จำได้ว่า เมื่อครั้งที่มีโอกาสได้ไปประเทศเคนยา เราเห็นสัตว์ 4 ตัวได้ไม่ยากนักตามข้างทางที่รถวิ่ง ในอุทยานแห่งชาติ ยกเว้นเสือดาว ซึ่งหายากมาก จนเกือบจะถอดใจแล้วว่า ไปเคนยาครั้งนั้นคงเห็น บิ๊กไฟว์ไม่ครบ เพราะขาดเสือดาวไป 1 ตัว โชคดีว่า ไปเห็นเอาตอนก่อนจะออกมาจากอุทยานแห่งนั้นไม่นาน และเห็นแบบไกลๆ ลิบลับมาก และเห็นแค่ตัวเดียวเท่านั้น

แต่วันนี้รัฐบาลเคนยาขอโควตาจากไซเตสให้สามารถล่าเสือดาวในประเทศตัวเองได้ถึง 80 ตัว น่าตกใจยิ่งขึ้นที่ เอธิโอเปีย แทนซาเนีย และประเทศซิมบับเว ก็เปิดโอกาสให้พรานนักล่าจากทั่วโลกเข้าไปล่าเสือดาวในประเทศพวกเขาได้มากถึง 500 ตัว ภายในระยะเวลา 3 ปี คือ ล่าได้จำนวนเท่านี้จนกว่าจะมีการประชุมไซเตสครั้งใหม่

หลับตานึกภาพ ประเทศเหล่านี้ คงจะมีเสือดาวในป่าชุกชุมราวกับ ฝูงลิง ที่ศาลพระกาฬ จ.ลพบุรี ของประเทศไทยกระมัง

เหล่าพลพรรคเสือดาวที่อาศัยอยู่ในแอฟริกา พวกมันก็คงหวาดหวั่นหัวใจมิใช่น้อย ที่มนุษย์อย่างเราๆ เดินทางมาจากทั่วสารทิศในโลก แล้วตกลงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันว่า ให้ล่า ให้ปลิดชีวิตพวกมันได้มากขนาดนั้น

เวทีไซเตสจึงไม่น่าจะใช่เวทีเพื่อการป้องป้องทรัพยากรที่ใกล้สูญพันธุ์อีกต่อไป แต่น่าจะเป็นเวทีเพื่อการจัดโควตาการค้าขายส่งออกชนิดพันธุ์ระหว่างประเทศ โดยเอาข้อมูลทางวิชาการว่าด้วยเรื่องการกระจายพันธุ์ในธรรมชาติมาประกอบการพิจารณานิดๆ หน่อยๆ แล้วหาสมัครพรรคพวกมาสนับสนุนแนวทางของตัวเอง ใครมีพรรคพวกมาก มีอำนาจและมีอิทธิพลมาก ข้อเสนอของตัวเองก็จะสำเร็จตามเป้าประสงค์ ประเทศที่มีพวกน้อยก็จะผิดหวังไปตามระเบียบ

กรณีจระเข้น้ำจืดและจระเข้น้ำเค็มของประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก..

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสงสัยมากสำหรับการประชุมคราวนี้ ซึ่งแตกต่างจากการประชุมคราวก่อนอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ การหายไปขององค์กร หรือหน่วยงานที่ทำงานด้านสัตว์ในประเทศไทย เพราะโดยทั่วไปแล้ว หากมีการประชุมระดับโลกเช่นนี้ในประเทศไทยแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือเอ็นจีโอ ก็จะออกมาให้ข้อมูลสำหรับการการประชุม หรือจัดเวทีคู่ขนาน เพื่อแสดงจุดยืนอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่คราวนี้ ไร้เงาเอ็นจีโอประเทศไทย ออกมาแสดงจุดยืนเหล่านี้ มีแต่เอ็นจีโอต่างชาติ ที่พูดเฉพาะเรื่องราวและข้อเรียกร้องของประเทศตัวเอง

ส่วนประเทศไทย ก็ปล่อยให้อดีตนางงามจักรวาล และดารา-นางแบบอย่าง นาตาลี เกลโบวา และ

สิรินยา เบอร์บริดจ์ ออกมารณรงค์เรื่องหยุดค้างาช้าง และหยุดกินหยุดค้าหูฉลาม เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่คนทำงานด้านการอนุรักษ์พอจะยิ้มออกได้บ้าง สำหรับเวทีไซเตสหนนี้ คือ ความสำเร็จในการผลักดันให้ ไม้พะยูง ซึ่งเป็นไม้หวงห้าม หายาก และถูกลักลอบตัดออกมาขายทุกวัน จนจะหมดผืนป่าประเทศไทยอยู่แล้ว เข้าไปอยู่ในบัญชีที่ 2 ห้ามซื้อขายระหว่างประเทศ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำหรับเรื่องการดูแลชีวิตช้าง ที่ทุกประเทศพยายามรณรงค์ เรื่องการหยุดขายงาช้างและผลิตภัณฑ์จากงาช้างทุกชนิด เพื่อป้องกันการล่าช้างจากป่านั้น ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมดูเหมือนจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะมีร้านค้าขายของที่ระลึกเกี่ยวกับงาช้างผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยเชื่อกันว่า งาช้างวัตถุดิบเพื่อการนี้น่าจะมาจากแอฟริกาส่วนใหญ่ แต่จะว่าไปแล้วประเทศไทยก็มีแผนปฏิบัติการและการบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้กระทำผิดเรื่องนี้ดีพอสมควร เห็นได้จากสถิติการจับกุม การลักลอบขนงาช้างผิดกฎหมายปีละหลายราย มีงาช้างของกลางอยู่นับ 10 ตัน

ขณะที่ประเทศแอฟริกาซึ่งมีปัญหาการล่าช้างที่หนักหนาสาหัสมากเวลานี้ แต่ทว่าตัวช้างแอฟริกาเอง ยังไม่ได้รับการคุ้มครองใดๆ ตามกฎหมายในประเทศเขาเลย น่าคิดไหมว่า ก่อนจะมากดดันประเทศอื่น ทำไมไม่จัดการอะไรๆ ในประเทศตัวเองให้ดีเสียก่อน

การเป็นเจ้าภาพการประชุมไซเตสของประเทศไทยครั้งนี้ สอนให้รู้ว่า อย่าตั้งความหวังเรื่องการอนุรักษ์มากนัก รวมไปถึงควรเตรียมตัวหาพรรคพวกให้หันมาสนับสนุนข้อเสนอของเรามากกว่านี้ สำหรับการประชุมคราวต่อไป ซึ่งจะมีอีก 3 ปีข้างหน้าที่ประเทศแอฟริกาใต้...


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363425163&grpid&catid=19&subcatid=1904
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่