สามก๊กฉบับฮ่องเต้ (๒)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับฮ่องเต้ (๒)


หองจูเปียน .....ราชันย์ผู้ถูกลืม

"เล่าเซี่ยงชุน"

ในกระบวนผู้ที่ได้เป็นฮ่องเต้ในยุคสามก๊ก ทั้งที่เป็นโดยชอบธรรม และ ไม่ชอบธรรมนั้น ไม่มีใครอาภัพเท่า หองจูเปียน เพราะได้รับราชสมบัติต่อจาก พระเจ้าเลนเต้ อย่างถูกถูกต้อง เนื่องจากเป็นราชโอรสองค์โต แต่ก็อยู่ในตำแหน่งได้เพียงไม่กี่เดือน มีเนื้อความกล่าวถึงอยู่น้อยนิด จนแทบไม่มีนักอ่านสามก๊กผู้ใดจะจำพระนามได้เลย

ในจำนวนผู้ที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์ของแผ่นดินจีน ทั้งหมดสิบห้าองค์ ในช่วง เวลาประมาณร้อยปีนั้น พระเจ้าเลนเต้ ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเจ้าฮั่นเต้ ราชวงศ์ฮั่น เมื่อ พ.ศ.๗๑๑ อยู่ในราชสมบัติอย่างเละเทะมาได้ยี่สิบเอ็ดปี ก็สิ้นพระชนม์

พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.๗๓๓ อยู่ในราชสมบัติด้วย การเป็นคู่รักคู่แค้นกับมหาอุปราชโจโฉได้สามสิบปี ก็ถูกโจผีบุตรชายคนโตของมหาอุปราช บังคับให้สละราชบัลลังก์

พระเจ้าโจผี ได้ขึ้นครองราชย์เป็นต้นราชวงศ์วุย แห่งวุยก๊กเมืองฮูโต๋ เมื่อ พ.ศ.๗๖๓ ระหว่างอยู่ในราชสมบัติได้เจ็ดปี รบกับขงเบ้งก็ไม่ชนะรบกับซุนกวนก็แพ้ ในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ลง

พระเจ้าเล่าปี่ ขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์แห่งจ๊กก๊กเมืองเสฉวน เมื่อ พ.ศ.๗๖๔ โดยอ้างว่าสืบต่อราชวงศ์ฮั่น อยู่ในราชสมบัติไม่ถึงสามปีก็สิ้นพระชนม์ เพราะแพ้พระเจ้าซุนกวน ในสงครามล้างแค้นแทน กวนอู และ เตียวหุย น้องชายร่วมสาบาน

พระเจ้าเล่าเสี้ยน ขึ้นครองจ๊กก๊กต่อจากพระเจ้าเล่าปี่ ที่เมืองเสฉวน เมื่อ พ.ศ.๗๖๖ อยู่ในราชสมบัติด้วยความสำราญถึงสี่สิบปี สุดท้ายก็อ่อนน้อมต่อพระเจ้าโจฮวน ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อไปอีกยี่สิบสี่ปีจึงสิ้นพระชนม์ และเป็นอันสิ้นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น ลงแต่เพียงนี้

พระเจ้าโจยอย ขึ้นครองวุยก๊ก ต่อจากพระเจ้าโจผี เมื่อ พ.ศ.๗๗๐ ได้อยู่ในราชสมบัติสิบสามปี มหาอุปราชชื่อสุมาอี้ได้ทำศึกกับขงเบ้งซึ่งเป็นมหาอุปราชของ พระเจ้าเล่าปี่ถึงหกครั้ง ขงเบ้งแพ้บารมีตายไปก่อน พอว่างศึกเลยหลงตัวเองเกณฑ์ชาว บ้าน มาสร้างปราสาทใหญ่โต แต่ก็ไม่มีความสุข จนประชวรสิ้นพระชนม์ไป


พระเจ้าซุนกวน ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งง่อก๊กเมืองกังตั๋ง เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ อยู่ในราชสมบัติยี่สิบสามปี ก็มีแต่ศึกสงครามกับวุยก๊กและจ๊กก๊ก จนอายุได้เจ็ดสิบเอ็ดปี จึงสิ้นพระชนม์

พระเจ้าโจฮอง ขึ้นครองวุยก๊กต่อจากพระเจ้าโจยอย เมื่อ พ.ศ.๗๘๓ อยู่ในราชสมบัติได้สิบสี่ปี ไว้ใจญาติให้เป็นมหาอุปราช จนราชการฟั่นเฟือนไป เลยถูก สุมาสูบุตรของสุมาอี้ ถอดออกจากตำแหน่ง

พระเจ้าซุนเหลียง ขึ้นครองง่อก๊กเมืองกังตั๋ง ต่อจากพระเจ้าซุนกวน เมื่อ พ.ศ.๗๙๕ ตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี อยู่ในราชสมบัติได้หกปี ก็ถูกมหาอุปราชซุนหลิมหาว่า ไม่เอาใจใส่ราชการบ้านเมือง มัวเมาแต่อิสตรี จึงให้ถอดออกจากตำแหน่งเสีย

พระเจ้าโจมอ ขึ้นครองวุยก๊กต่อจากพระเจ้าโจฮวน เมื่อ พ.ศ.๗๙๗ อยู่ในราชสมบัติได้หกปี ก็ถูกปลงพระชนม์โดยลิ่วล้อของสุมาเจียว มหาอุปราชนั่นเอง

พระเจ้าซุนฮิว ขึ้นครองง่อก๊กเมืองกังตั๋ง ต่อจากพระเจ้าซุนเหลียง เมื่อ พ.ศ.๘๐๑ อยู่ในราชสมบัติได้เจ็ดปีไม่มีศึก พอรู้ข่าวว่าพระเจ้าสุมาเอี๋ยนยกทัพใหญ่ จะมาตีเมืองกังตั๋ง ก็พระทัยเสียทุกข์ตรมจนประชวร และสิ้นพระชนม์

พระเจ้าโจฮวน ขึ้นครองวุยก๊กต่อจากพระเจ้าโจมอ เมื่อ พ.ศ.๘๐๓ อยู่ในราชสมบัติได้ห้าปี สามารถปราบปรามพระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊ก ให้ยอมแพ้อยู่ใต้อำนาจได้ แต่ต่อมาอีกไม่นานก็ถูกสุมาเอี๋ยน หลานสุมาอี้บังคับให้สละราชบัลลังก์ และอยู่ต่อมาอีกสิบเจ็ดปีจึงสิ้นพระชนม์ เป็นอันสิ้นราชวงศ์วุยของแซ่โจ แต่เพียงนี้

พระเจ้าซุนโฮ ขึ้นครองง่อก๊กเมืองกังตั๋ง ต่อจากพระเจ้าซุนฮิว เมื่อ พ.ศ.๘๐๘ แต่อยู่ในราชสมบัติได้ถึงสิบห้าปีด้วยความหลงระเริงในชีวิต เพราะได้รับการแต่งตั้งโดยไม่คาดฝัน เมื่อเกิดศึกใหญ่กับพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ก็ไม่สามารถจะต่อสู้ได้ ต้องอ่อนน้อมต่อพระเจ้าสุมาเอี๋ยน ยอมอยู่ในอำนาจต่อไปอีกสี่ปี ก็สิ้นพระชนม์หมดเชื้อสายแซ่ซุนแต่เพียงนี้

พระเจ้าสุมาเอี๋ยน ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์จิ้น ต่อจากพระเจ้าโจฮวน เมื่อ พ.ศ.๘๐๘ อยู่ในราชสมบัติได้สิบห้าปี ก็ปราบปรามง่อก๊กแห่งเมืองกังตั๋งได้สำเร็จ จึงเป็นฮ่องเต้แต่ผู้เดียวในประเทศจีนต่อไป ตั้งแต่บัดนั้น


หวนกลับมาดูหองจูเปียนผู้อาภัพบ้าง เมื่อ โฮจิ๋น พี่ชายของนางโฮเฮา มารดาของตน ยกขึ้นเป็นฮ่องเต้เมื่อ พ.ศ.๗๓๓ มีพระนามว่า พระเจ้าเซ่าเต้ นั้น อายุสิบสี่ปีมี นาง     โฮเฮา เป็นผู้ว่าราชการ แต่ก็ไม่มีความสุขเพราะ นางตังไทฮอ มารดาของพระเจ้าเลนเต้ ก็ตั้ง หองจูเหียบ น้องชายที่เกิดจาก นางอองบีหยิน พระมเหสีรองของพระเจ้าเลนเต้ ขึ้นเป็น ตันลิวอ๋อง ว่าราชการงานเมืองแข่งกันขึ้นมาบ้าง

เมื่อนางโฮเฮา เห็นว่าผิดขนบธรรมเนียม จึงเชิญนางตังไทฮอมากินโต๊ะ แล้วก็ต่อว่าที่ทำดังนั้น นางตังไทฮอถือตัวว่าเป็นแม่ผัว ก็ไม่กลัวเกรงจึงโต้เถียงถึงขั้นทะเลาะวิวาทกัน จนพวกขันทีต้องเข้ามาห้ามไว้ นางโฮเฮาจึงยุให้โฮจิ๋นพี่ชายกำจัดนางตังไทฮอเสีย เป็นที่เรียบร้อยไป

ต่อมาพวกขันทีซึ่งมีอยู่ด้วยกันสิบคน ได้เข้าเป็นพวกของนางโฮเฮา กุมอำนาจในพระราชวัง โฮจิ๋นเกรงใจน้องสาว ซึ่งเป็นมารดาของฮ่องเต้ ก็ไม่กล้าจัดการ แต่กลับแต่งหนังสือไปให้เจ้าเมืองภายนอกยกทัพมากำจัดขันทีทั้งสิ้นแทน แม้ใครจะคัดค้าน ก็ไม่ยอมฟังเสียง

ครั้นตั๋งโต๊ะเจ้าเมืองซีหลงยกทหารยี่สิบหมื่นมาถึงเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นเมืองหลวงแล้ว ขันทีทั้งสิบคนจนตรอกก็คิดสู้ตาย จึงหลอกเอาตัวโฮจิ๋น เข้าไปฆ่าเสียในพระราชวัง    โจโฉ กับ อ้วนเสี้ยว สองสหายซึ่งเป็นทหารเอกของโฮจิ๋นก็คุมทหารห้าร้อยคน ทะลายประตูวังเข้าไปฆ่าขันทีได้สี่คน อีกสี่คนก็หนีกระจัดกระจายไป เหลือสองคนคือ ต๋วนกุย กับ เตียวเหยียง พาหองจูเปียน กับหองจูเหียบ หนีไปหลบซ่อนอยู่ในป่าเชิงเขาปักคูสาน

ตอนกลางดึกกองทหารของอ้วนเสี้ยวและโจโฉ ไล่ตามค้นหาใกล้ที่ซ่อนเข้ามาทุกที ทั้งสองจึงทิ้งสองกษัตริย์พี่น้องไว้ในป่า เผ่นหนีไปคนละทาง เตียวเหยียงหนีไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำ ทหารก็ล้อมไว้แล้วจุดคบไฟใส่ปลายไม้ส่องหา เตียวเหยียงเห็นท่าว่าจะไม่รอดแน่ ก็เลยโดดน้ำตายไป ส่วนต๋วนกุยหนีไปเจอทหารอีกกอง เลยถูกตัดศีรษะเสียจนได้

พระราชาสองพี่น้องซุ่มซ่อนอยู่ที่เดิม จนถึงยามสาม จึงออกเดินทางบุกป่าต่อไป โดยเอาชายเสื้อผูกติดกันไว้ไม่ให้หลง พากันเดินตามแสงหิ่งห้อยกลุ่มหนึ่งไปจนใกล้รุ่ง จึงหยุดพักนอนที่กองหญ้าชายบ้านตำบลหนึ่ง นายบ้านชื่อ ซุยก๊ก มาเจอสองกุมารเข้าในตอนเช้า จึงเชิญเสด็จเข้าบ้านแล้วหาเครื่องเสวยมาถวาย แล้วทั้งสองก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านของซุยก๊กนั้นเอง

จนรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง กองทหารของเมืองหลวงพร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่จึงมาเชิญเสด็จทั้งสองพระองค์ ขึ้นรถกลับเข้าเมือง ในระหว่างกลางทาง ก็พบกับ ตั๋งโต๊ะ คุมกองทัพของตนสวนทางมา อ้วนเสี้ยวก็ถามว่าเป็นกองทัพของผู้ใด ตั๋งโต๊ะก็ถามหาพระราชบุตรทั้งสอง หองจูเปียนตกใจก็นิ่งเงียบอยู่ หองจูเหียบกล้าหาญกว่าจึงถามว่า ใครมาถามหาฮ่องเต้ ตั๋งโต๊ะก็รายงานตัวให้ทราบ หองจูเหียบถามว่าที่มานี้จะขบถ หรือจะมีความประสงค์สิ่งใด ตั๋งโต๊ะว่ามารับเสด็จ หองจูเหียบก็ท้วงว่ามารับเสด็จแล้วทำไมไม่ลงจากหลังม้า ตั๋งโต๊ะตกใจรีบลงจากหลังม้าถวายบังคม และนิยมในความกล้าหาญของ    หองจูเหียบแต่นั้นมา

เมื่อพาสองกุมารกลับมาถึงเมืองลกเอี๋ยงแล้ว ตั๋งโต๊ะก็เข้าครองอำนาจแทนโฮจิ๋นทันที เพราะมีกองทัพใหญ่โตกำลังมากกว่าทหารเมืองหลวง แล้วก็คบคิดกับ ลิยู ที่ปรึกษาคนสนิท จะถอดหองจูเปียนออกจากราชสมบัติ ให้หองจูเหียบขึ้นครองราชย์แทน

ครั้งแรกเมื่อตั๋งโต๊ะประกาศขึ้นกลางที่ชุมนุมของทหาร เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วคัดค้านก็ยกทหารเข้ารบกัน แต่เต๊งหงวนเสียท่าถูก ลิโป้ ลูกเลี้ยงทรยศตัดศีรษะเสีย ตั๋งโต๊ะก็เลยได้ลิโป้เป็นลูกเลี้ยง และตั้งให้เป็นนายทหารคนสนิท

ครั้งต่อมาพอตั๋งโต๊ะประกาศขึ้นอีก อ้วนเสี้ยวก็คัดค้านอีก คราวนี้ต่างก็ชักกระบี่จะต่อสู้กันกลางที่ชุมนุม แต่มีผู้ห้ามทั้งสองฝ่ายจึงแยกกันไป โดยอ้วนเสี้ยวเลี่ยงไปตั้งหลักที่เมืองกิจิ๋ว

ครั้งที่สามเมื่อหองจูเปียนเสด็จออก ณ พระที่นั่งแกเต๊กเตี้ยน มีขุนนาง ผู้ใหญ่ผู้น้อยเข้าเฝ้าตามตำแหน่ง ตั๋งโต๊ะก็ชักกระบี่ออกร้องประกาศว่า

"......ทุกวันนี้ อาญาสิทธิ์ก็อยู่กับเรา เราเห็นว่าหองจูเปียนสติปัญญาน้อยไม่ควรจะอยู่ในราชสมบัติ เราเห็นหองจูเหียบนั้นกล้าหาญ สติปัญญาก็หลักแหลม ควรจะว่าราชการเมืองได้ เราจะตั้งให้เป็นเจ้าแผ่นดิน....."

คราวนี้ไม่มีใครคัดค้าน

ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ขันทีอุ้มหองจูเปียนลงจากที่ประทับ ถอดตราประจำตัวฮ่องเต้ออกจากพระศอ แล้วให้ไปตามนางโฮเฮา มาริบเครื่องประดับสำหรับตำแหน่งจนหมดสิ้น แล้วให้เอาตัวสองแม่ลูกไปขังไว้ ณ ตำหนักในวังลั่นกุญแจเสีย ห้ามมิให้ผู้ใดไปมาหาสู่ จากนั้นก็เชิญหองจูเหียบขึ้นประทับบนแท่นถวายนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางทั้งปวงที่เฝ้าอยู่ ก็หมอบกราบถวายบังคมลงสิ้น

นางโฮเฮากับหองจูเปียนและนางสนม ถูกขังอยู่ในตำหนัก ก็อดอยากมี ความทุกข์ทรมานเป็นอันมาก อยู่มาวันหนึ่งมีนกนางแอ่นคู่หนึ่ง บินมาอาศัยอยู่ในตำหนัก      หองจูเปียนจึงเขียนโคลงปิดไว้ที่ข้างฝาตำหนัก มีความว่า

"....พระราชฐานนี้เป็นของ พระเจ้าเลนเต้ พระราชบิดายกให้เป็นสิทธิ์แก่เรา บัดนี้เรากับมารดาได้ทุกข์ทรมาน ขังอยู่เหมือนนกคู่นี้ ถ้าผู้ใดสัตย์ซื่อต่อบิดาของเราช่วยแก้แค้นในอกเราได้ คุณนั้นหาที่อุปมา มิได้เลย....."

คนสนิทของตั๋งโต๊ะที่ใช้ให้มาเฝ้าอยู่ ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่ตั๋งโต๊ะ ให้ทราบ ตั๋งโต๊ะจึงให้ลิยูคุมตำรวจวังสิบคน เปิดตระตูตำหนักเข้าไป แล้วลิยูก็ยื่นสุราใส่ ยาพิษให้        หองจูเปียนกิน นางโฮเฮาก็ว่า

"....ตัวท่านผู้เอามา จงกินเข้าไปให้เราเห็นก่อน เราจึงจะให้บุตรเรากิน....."

ลิยูก็เรียกเอากระบี่และโซ่มาวางไว้ตรงหน้าแล้วสำทับว่า

".....ซึ่ง มหาอุปราชให้เอาสุรามาให้กิน นางโฮเฮาขัดมิกินนั้น จงเลือกเอาของสองสิ่งนี้ จะเอา โซ่หรือกระบี่....."

นางสนมก็คุกเข่าลงคำนับแล้วว่า

"....ซึ่งจะให้หองจูเปียนเสวยสุรานั้น ข้าพเจ้าขอรับกินแทน แต่ว่าขอชีวิตนางโฮเฮากับหองจูเปียน ให้คงไว้เถิด..."

ลิยูก็ตวาดว่าไม่ควรที่เอ็งจะมารับตายแทนนั้นไม่ได้

ทั้งสองแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้คร่ำครวญ ลิยูก็เร่งว่า

"...ซึ่งจะบิดพริ้วอยู่นั้น ไม่มีผู้ใดจะช่วยชีวิตแล้ว จะสั่งความก็สั่งเร็ว ๆ มหาอุปราชจะคอยเรา......"

นางโฮเฮาจึงด่าว่า

"....อ้ายตั๋งโต๊ะนั้นเป็นนายโจรขบถต่อแผ่นดิน ซึ่งมันจะให้ทำร้าย แก่กูกับหองจูเปียนผู้บุตรในวันนี้ ถึงมาทว่ากูแม่ลูกจะตาย เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงก็หา สรรเสริญมันไม่  ทั้งอ้ายลิยูเป็นพวกขบถก็หาเจริญไม่ ถึงกูทำไม่ได้ นานไปก็จะมีผู้ฆ่าเสีย        เป็นมั่นคง....."  

ลิยูโกรธมาก จึงลากนางโฮเฮากับนางสนมคนละมือ ออกมาให้ตำรวจรัดคอจนตาย แล้วก็จับหองจูเปียน เอาสุราใส่ยาพิษกรอกปากจนตายเช่นกัน แล้วเอาศพทั้งสามไปฝังไว้นอกเมือง

หองจูเปียนหรือ พระเจ้าเซ่าเต้ จึงต้องสิ้นพระชนม์ลง โดยมิได้มีความผิดแต่อย่างใด ภายหลังจากที่ได้ครองราชสมบัติใน พ.ศ.๗๓๓ ยังไม่ครบปี

แล้วพระนามนี้ก็ได้ถูกลืมเลือนไปตั้งแต่บัดนั้น.

##########

วารสารสยามอารยะ
มิถุนายน ๒๕๓๘


วางเมื่อ ๑๗ มี.ค.๕๖ เวลา ๑๗.๑๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่