ได้ฟังคุณ ส.สิวะลักษณ์ดีเบตกับคุณสมศักดิ์ เมื่อหลายวันก่อน มีหลายตอนเหลือเกินที่รู้สึกถึงแนวคิดที่ยากจะรับ โดยเฉพาะเมื่อคุณ ส.โต้แย้งเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่สรุปได้ว่า ประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยแบบยุโรปไม่ได้ ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ดังนั้นกิจที่เกี่ยวข้องกับสถาบันจะเอามาเทียบเคียงกันไม่ได้...ฟังแล้วงง.!!!.แถมด้วยการรณรงค์ว่า "ทำอย่างไรก็ได้ ไม่ให้พรรคทักษิณมีอำนาจ" เหตุผลหลักที่เอามาอ้าง สองสามครั้งในดีเบตนี้คือ สมัยทักษิณเคยถูกจับคดีหมิ่น.ก็เลยเกิดอาการแค้นและเคือง.!!!..อันนี้ดับเบิล งงเข้าไปอีก.....ไม่น่าเชื่อว่าคนที่ได้รับการยกย่องขนาดนี้จะคิดได้แค่นี้..จริงๆ !!!!!!
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่ผ่านมานั้น ฐานคิดสำคัญมาจากตะวันตกทั้งสิ้น แต่ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศในระบอบสมบูรณาสิทธิราชมาก่อน มีความเหนียวแน่นผูกพันกับระบบกษัตริย์อย่างยากที่จะแยกออกจากกัน ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎร์ย่อมไม่คิดที่จะยกเอาสถาบันออกไปจากระบอบการปกครองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้การบริหารจัดการประเทศ จึงมุ่งดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับการยกไว้เหนือการเมืองการปกครอง ประเทศไทยจึงใช้แนวคิดการปกครองที่ว่า "ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข"..!!!!
ดังนั้น การใดที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน จึงต้องเทิดไว้ ยกไว้เหนือกิจการทางการเมืองการปกครอง ซึ่งเป็นไปตามคตินิยมแต่โบราณของความเป็นชาติ และขณะเดียวกัน การใดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการประเทศ ก็ต้องเดินกันไปตามแนวทางของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย จะมาแบ่งว่าอันนี้แบบไทย อันนี้แบบยุโรป คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะวันนี้โลกกว้างขึ้น ความเป็นสากลมีมากขึ้น ประเทศใดก็แล้วแต่ทำตัวให้ห่างจากความเป็นสากลมากเท่าไหร่ การยอมรับของนานาประเทศก็มีน้อยลงเท่านั้น....
มาถึงบรรทัดนี้ จึงอยากบอกว่า ที่โพสบทความก็เพียงเพื่อต้องการบอกถึงแนวคิดที่ว่าประเทศนี้ควรเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบเสียที เราพัฒนาตัวเองมาเกือบ 100 ปีแล้วในเรื่องการเมืองการปกครอง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย..!!! ความสมบูรณ์แบบที่มาพร้องกันในเรื่องของ ปัญญา คารวะ สามัคคี อันเป็นหัวใจของหลักประชาธิปไตยต่างหากคือสิ่งที่เราควรมีและต้องมี ซึ่งหากเป็นไปเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่ได้ยินเรื่องของการดูแคลนคนต่างจังหวัดของคนกรุงอีกเลย เราจะไม่เห็นภาพของการปะทะคารม โต้แย้งแล้วทะเลาะ วิวาทกัน ตั้งแต่ตามถนนตรอกซอกซอย จนกระทั่งในที่ประชุมรัฐสภา เราจะเห็นการทำงานที่ใช้ปัญญา เราจะเห็นภาพของความสมัครสมานสามัคคี เราจะเห็นภาพที่ดีๆเกิดขึ้น มากกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่หลายร้อยพันเท่า....แล้วเราจะได้เป็นเผ่าพันธุ์อารยะเสียที...
แบบไทยๆ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่ผ่านมานั้น ฐานคิดสำคัญมาจากตะวันตกทั้งสิ้น แต่ด้วยประเทศไทยเป็นประเทศในระบอบสมบูรณาสิทธิราชมาก่อน มีความเหนียวแน่นผูกพันกับระบบกษัตริย์อย่างยากที่จะแยกออกจากกัน ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎร์ย่อมไม่คิดที่จะยกเอาสถาบันออกไปจากระบอบการปกครองได้ เมื่อเป็นเช่นนี้การบริหารจัดการประเทศ จึงมุ่งดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับการยกไว้เหนือการเมืองการปกครอง ประเทศไทยจึงใช้แนวคิดการปกครองที่ว่า "ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข"..!!!!
ดังนั้น การใดที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน จึงต้องเทิดไว้ ยกไว้เหนือกิจการทางการเมืองการปกครอง ซึ่งเป็นไปตามคตินิยมแต่โบราณของความเป็นชาติ และขณะเดียวกัน การใดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการประเทศ ก็ต้องเดินกันไปตามแนวทางของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย จะมาแบ่งว่าอันนี้แบบไทย อันนี้แบบยุโรป คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะวันนี้โลกกว้างขึ้น ความเป็นสากลมีมากขึ้น ประเทศใดก็แล้วแต่ทำตัวให้ห่างจากความเป็นสากลมากเท่าไหร่ การยอมรับของนานาประเทศก็มีน้อยลงเท่านั้น....
มาถึงบรรทัดนี้ จึงอยากบอกว่า ที่โพสบทความก็เพียงเพื่อต้องการบอกถึงแนวคิดที่ว่าประเทศนี้ควรเป็นประเทศประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบเสียที เราพัฒนาตัวเองมาเกือบ 100 ปีแล้วในเรื่องการเมืองการปกครอง แต่ยังไปไม่ถึงไหนเลย..!!! ความสมบูรณ์แบบที่มาพร้องกันในเรื่องของ ปัญญา คารวะ สามัคคี อันเป็นหัวใจของหลักประชาธิปไตยต่างหากคือสิ่งที่เราควรมีและต้องมี ซึ่งหากเป็นไปเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่ได้ยินเรื่องของการดูแคลนคนต่างจังหวัดของคนกรุงอีกเลย เราจะไม่เห็นภาพของการปะทะคารม โต้แย้งแล้วทะเลาะ วิวาทกัน ตั้งแต่ตามถนนตรอกซอกซอย จนกระทั่งในที่ประชุมรัฐสภา เราจะเห็นการทำงานที่ใช้ปัญญา เราจะเห็นภาพของความสมัครสมานสามัคคี เราจะเห็นภาพที่ดีๆเกิดขึ้น มากกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่หลายร้อยพันเท่า....แล้วเราจะได้เป็นเผ่าพันธุ์อารยะเสียที...