ตช่วยอ่านเรื่องของผมซักนิดนึง แล้วช่วยผมคิดหน่อยครับ

กระทู้คำถาม
ท้าวความก่อนนะครับว่าที่บ้านผมปัจจุบันมีสามชิกอยู่ด้วยกัน 3 คนคือ แม่ ผม และ น้องชาย ส่วนพ่อเสียไปได้ 11 ปีแล้วครับ
แม่ผมทำอาชีพแม่บ้านของธนาคารแห่งหนึ่งซึ่งเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะมากนักคือหาเช้ากินค่ำนี่แหละครับ
ซึ่งตอนที่พ่อผมยังอยู่นั้นฐานะทางบ้านถือว่าอยู่ระดับปานกลางครับประมาณว่าระยะสร้างเนื้อสร้างตัว
คือทำธุรกิจประมาณว่ารับจ้างส่งของอ่ะครับ มีรถ 6 ล้ออยู่ 3 คันวิ่งส่งของออกตามต่างจังหวัด
รถทั้งหมดก็ผ่อนเอาครับไม่ได้ซื้อสด รถ 6 ล้อ 3 คันราคารวมกันก็ประมาณล้านกว่าๆ(ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ)
ทางบ้านก็กำลังไปได้ดีอ่ะครับ จนพ่อผมป่วยเป็นโรคไต ต้องใช้เงินรักษาพอสมควรครับจนถึงมากเลยแหละ
จึงจำเป็นต้องขายรถออกไป 1 คัน(ทั้งๆที่ยังผ่อนไม่หมดนะครับและขาดทุนเยอะด้วย)เพื่อเอามารักษาตัว
แต่สุดท้ายก็ไม่หายครับ พ่อผมเสียด้วยอาการไตวายเฉียบพลัน ตอนนั้นผมเรียนอยู่ประมาณ ม.2(จำอายุไม่ได้ 555)
ภาระทั้งหมดจึงตกมาอยู่กับแม่ผมครับต้องมารับผิดชอบธุรกิจของพ่อและหนี้ที่มหาศาล
บังเอิญบวกกับพ่อผมเสียไม่ทันไรบริษัทที่พ่อผมเอารถไปวิ่งงานด้วยโดยบริษัทคู่แข่งแย่งงานไป
ทำให้บริษัทนั้นเลิกจ้างรถที่บ้านผมไปวิ่งงาน(ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ) ทีนี้ยังไงล่ะครับงานไม่มีวิ่งค่าผ่อนรถก็ต้องจ่าย
เงินเดือนแม่บ้านต่อเดือนทั้ง ค่าเช้าบ้าน ค่ากิน ค่าเทอมลูก แค่นี้ก็ไม่เหลือแล้วครับ
สุดท้ายแม่ผมจึงจำใจขายรถที่เหลือเพื่อเอาเงินมาโป๊ะหนี้ที่มีอยู่ แต่ก็ขาดทุนเหมือนเดิมครับ ขายรถโป๊ะหนี้รถ
หนี้ที่เหลือที่โป๊ะไปแล้วก็ประมาณ 8 แสนกว่าๆ ผู้หญิงตัวคนเดียวอาชีพแม่บ้านเลี้ยงลูก 2 คนกับหนี้อีก 8 แสน
สาหัสครับช่วงนั้น แม่ผมจึงหันมาขายของเป็นอาชีพเสริม ก็ขายมันหน้าธนาคารที่ทำนั่นแหละครับ
ขายตอนหลังจากธนาคารปิดจันทร์-ศุกร์ ช่วงประมาณบ่าย 4 จนไปถึง 2 ทุ่ม
เริ่มแรกก็ขายลูกชิ้นปิ้งครับ ก็พอไปได้เรื่อยๆขายดีบ้างไม่ดีบ้างแต่ที่แน่ๆคือที่บ้านไม่พอกินครับ
เลยมาขายของเพิ่มในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ตอนเช้า เป็นพวกข้าวใส่บาตรพระน่ะครับ
อันนี้พอจะดีหน่อยเพราะแม่ผมเป็นคนทำอาหารอร่อย จน ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังขายอยู่ครับ(ใครสนใจมาอุดหนุนได้นะครับเด๋วผมส่งพิกัดให้ อิอิ) จากนั้นที่บ้านก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะแม่ผมขยันครับ ขยันมากไม่เคยไปไหนวันธรรมดาทำงานเสร็จขายของต่อ
เสาร์-อาทิตย์ตื่นแต่ตี 4 ทำกับข้าวขายตอนเช้าตั้งแต่ผมอยู่ ม.3 อ่ะครับจนปัจจุบันนี้ แม่ส่งผมเรียนจนจบปริญญา
มีงานมีการที่ดีทำพอจะเป็นเสาหลักที่บ้านได้แล้ว ส่วนหนี้สินตอนนี้หมดแล้วครับ
(แต่พอผหนี้หมดผมกฌหาเรื่องออกรถเป็นหนี้อีกจนได้ครับ 555)

ที่ท้าวความให้อ่านก่อนคือผมต้องการให้ผู้ที่เข้ามาอ่านรู้ถึงความเหนื่อยของแม่ผมที่ต้องทำงานคนเดียวหาเลี้ยงลูก
ส่งลูกเรียน จ่ายหนี้ จนตอนนี้ก็ยังทำไม่หยุด ผมก็อยากให้ท่านสบายครับอยากให้ท่านหยุดขายของแต่ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้
เพราะเงินเดือนผมยังไม่ได้เยอะมากมาย ต้องผ่อนรถอีก ที่ผมซื้อรถก็ไม่ได้ไม่คิดก่อนซื้อนะครับ
ผมคิดไตร่ตรองดีแล้วว่าถ้าอีกหน่อยซื้อบ้านแล้วไม่มีรถมันจะลำบาก เพราะแม่ผมตอนนี้เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมเพราะยืนนาน จะให้ไปไหนมาไหนนั่งรถเมล์ไปเองก็คงไม่ไหวอ่ะครับ ทั้งหมดที่ท้าวความมาก็เพื่อจะบอกว่า ตอนนี้แม่ผมอายุเยอะแล้วอีกไม่กี่ปีก็ 60 แล้ว
ผมอยากให้ท่านสบายทั้งกายสบายทั้งใจ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องอะไรอีก แต่...... มันไม่เป็นยั่งงั้นซิครับ

เข้าเรื่องเลยนะครับ ผมมีน้องอยู่อีก 1 คนซึ่งแม่ผมเลี้ยงมาเหมือนกัน แทบจะไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย
ผมเป็นพี่ชายก็ต้องดูแลรับผิดชอบน้องอยู่แล้ว พอผมเรียนจบมีงานทำผมก็ส่งน้องเรียนต่อเลยครับ
เหตุเกิดตรงที่ว่าน้องผมคนนี้มันไม่เรียนครับ น้องพอผมจบ ม.3 ผมก็พาไปเรียนโรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่งซึ่งผมก็จบที่นั่นมา
จะเข้าไปเรียนที่นั่นต้องสอบเข้าครับ น้องผมมันก็สอบได้เรียนไปได้ ปวช. 1 ดันไปมีเรื่องกับโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งผมก็เข้าใจครับ
เพราะผมก็เคยเป็นมาก่อน แต่ประเด็นคือน้องผมโดนไล่ออกจากโรงเรียนกลางเทอมพร้อมเพื่อนที่ไปด้วยกันอีกประมาณ 60 คน
ทำให้เคว้งเลยครับ บวกกับแม่ผมรู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ครั้งนี้ จนผมต้องพาน้องผมไปเรียนที่ใหม่ โรงเรียนใหม่ก็เป็นโรงเรียนอาชีวะเหมือนเดิมครับแต่ทางโรงเรียนให้เรียนเฉพาะวันอาทิตย์วันเดียว ทำให้วันธรรมดาเลยว่างไม่ได้ทำอะไร แม่ผมเลยให้น้องผมไปทำงานอยู่กับพี่เขย(ผมมีพี่สาวอีกคนนึงเป็นลูกคนละแม่ครับ) ทำได้อยู่ซักพักก็หยุดทำ ส่วนโรงเรียนใหม่ก็ไปอยู่พักเดียวแล้วก็ไม่ได้ไป มาโกหกผมกับแม่ว่าไปตลอด อาจารย์ทางโรงเรียนก็ไม่เคยโทรมาหา แต่ผมก็ผิดด้วยแหละครับที่ไม่ใส่ใจน้องให้มากกว่านี้ มัวแต่ทำงานหาเงินเข้าบ้าน ทำให้ตอนนี้น้องผมไม่ได้เรียนแล้วครับ วุฒิมีแค่ ม.3 แล้วจะให้ผมส่งเรียนต่อก็คงจะเสียเปล่าเหมือนเดิมครับ เพราะดูจากท่าทีแล้วจะไม่เรียนอีกเหมือนเคย
ผมเข้าใจแม่แล้วครับตอนนี้ว่าหาเงินส่งใครซักคนให้เรียนนี่มันยากแค่ไหน ถ้าเรียนได้ดีก็ปลื้มใจครับ แต่นี่ไม่เอาอะไรเลยผมกับแม่เสียใจมากหมดความหวังกับน้องแล้วครับ พูดเท่าไหร่สอนเท่าไหร่ไม่ฟังนะครับ แต่ไม่คิดตามไม่มองอนาคตตัวเองว่า
อีกหน่อยถ้าเกิดแม่เป็นอะไรไปขึ้นมา พี่ไม่อยู่ไปสร้างครอบครัว จะทำยังไง จะเอาที่ไหนใช้ เหนื่อยครับเหนื่อยจริงๆ
แต่เรื่องที่ทำให้ผมกับแม่สะเทือนใจที่สุดคือเรื่องนี้ครับ น้องผมมีแฟนอยู่คนนึงครับ คบกันมาประมาณ 2 ปีได้แล้วมั้งครับ
เคยพามาให้ผมเห็นอยู่ 3 ครั้งเท่าที่จำได้นะครับ ไม่เคยได้คุย เคยเจอผู้หญิงก็จะยกมือไหว้แล้วก็พากันออกไป ส่วนแม่ผมก็เคยเจออย่างผมเนี่ยแหละครับ น้องผมกับแฟนไปไหนมาไหนด้วยกัน ไปเที่ยว ดูหนัง กินข้าว เที่ยวต่างจังหวัด ตามประสาแฟนกันทั่วไป เวลาไปเที่ยวไหน
ผมกับแม่จะรู้หมดครับ เพราะจะมาขอเงินแล้วก็ไป เวลาไปเที่ยว ตจว ฝ่ายแม่ผู้หญิงก็รู้นะครับ ว่าไปอะไรยังไง ก็ไม่เคยเห็นจะว่าอะไร
ผมก็จะเตือนน้องผมอยู่เสมอครับเรื่อง sex ว่าให้ป้องกัน เพราะผมคิดว่าเรื่อง sex มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์โลกอยู่แล้วครับ
(ถ้าผมคิดต่างจากใครแล้วทำให้ดูขัดหูขัดตาขอโทษ ณ ที่นี้ด้วยครับ)

จนกระทั่งเมื่อเดือนมกราที่ผ่านมา ป้าทางฝ่ายแฟนน้องผม ซึ่งป้าคนนี้แม่ผมรู้จักอยู่ครับ เพราะเค้าเป็นลูกจ้างร้านขายของข้างๆธนาคาร
ที่แม่ผมทำงานอยู่ ป้าคนนี้มาบอกกับแม่ผมว่า น้องผมไปทำอะไรหลานสาวเค้าให้รับผิดชอบ และให้เข้าไปคุยกับแม่ฝ่ายหญิง
แม่ผมก็งงซิครับว่าเรื่องอะไร ผมกับแม่เลยเข้าไปบ้านฝ่ายหญิง ได้ความว่า น้องชายผมไปมีอะไรกับลูกสาวเค้า
แล้วเข้าเปิดประตูเข้ามาเห็น เค้าเลยจะให้รับผิดชอบ โดยการให้หมั้นภายในปีนี้ และ ให้แต่งงานปีหน้า!!
ช๊อคซิครับทั้งผมทั้งแม่ น้องชายตัวเองเรียนก็ไม่เรียน วันๆไม่เคยจะอยู่บ้าน
เข้าบ้าน ตี 1 ตี 2 ทุกวัน แล้วมาเจออย่างงี้ แม่ผมจะเป็นลมครับ สงสารแกมากกก แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้นครับ ทางฝ่ายหญิงเรียกเงินหมั้น
จำนวน 1 หมื่นบาท และ เงินแต่งจำนวน 1 แสนบาท จะเอาที่ไหนให้ครับ คนหาเช้ากินค่ำ แม่ผมทำงานเป็นแม่บ้านได้เดือนละ 8000 จ่ายค่าเช่าบ้านค่ากินอยู่ภายในบ้าน ก็เกือบจะหมดอยู่แล้ว ส่วนเงินที่ได้จากการขายของแกก็เก็บไว้ ไม่ใช่ให้ครับหรอกครับ เก็บไว้ให้ลูกๆส่วนนึง
เงินเผื่อมีเหตุฉุกเฉินส่วนนึง และ เก็บไว้รักษาตัวเองบวกกับไว้ใช้ยามเกษียนส่วนนึง ส่วนเงินเดือนของผม ผมผ่อนรถเดือนละ 1 หมื่นกว่าบาท
ให้แม่เดือนละ 5000 เหลือเงินเก็บบวกเงินกินของตัวเองก็อยู่ราวๆประมาณ 6000 เลยหันมองหน้ากับแม่ครับ แล้วหันไปมองหน้าน้อง
แล้วคิดในใจ "ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยวะ" และแม่ฝ่ายหญิงก็ถามต่อมาว่า "เงินพร้อมเมื่อไหร่ วันนี้พกเงินมาไหม" อึ๊งงงงงงง ไปใหญ่เลยครับ
ไม่คิดว่าเค้าจะให้เร็วรวบรัดขนาดนี้ ผมจึงถามเค้าไปว่า "เด็กทั้งคู่ยังเรียนไม่จบเลยนะครับ ทำไมต้องรีบขนาดนั้น รอให้เรียนจบได้ไหมค่อยว่ากัน" แม่ผู้หญิงตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไรแต่งไปเรียนไปก็ได้ เด็กๆแถวบ้านเค้าก็แต่งเยอะแยะ" โอวววววว ตายและ นี่เค้าคิดอะไรอยู่เนี่ย
สุดท้าย ผมก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่น้องผมทำลงไป โดยตกลงกับทางฝ่ายผู้หญิงไปว่าจะหาเงินมาหมั้น ภายในสิ้นเดือนมีนา
แต่เรื่องแต่งนั้น ต้องรอให้ทั้งคู่เรียนให้จบก่อนค่อยมาคุยกัน

สิ่งที่ผมจะถามทุกท่านคือ
1.ผมทำถูกแล้วใช่มั้ยครับเรื่องที่จะให้มีการหมั้น
2.ผมจะทำยังไงต่อไปกับเรื่องนี้ครับ
3.คือตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออก ขอความคิดเห็นว่าควรทำยังไงดีครับ

สิ่งที่ผมสาธยายยาวมากกกก มาทั้งหมดนี้คือ ผมสงสารแม่ผมครับไอตัวผมอ่ะไม่เท่าไหร่ ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้อีก
เพราะทุกอย่้างที่ผ่านมา แม่ผมเค้าสะเทือนมาหลายเรื่องแล้วครับ จนเค้าไม่กล้าคิดอะไรทำอะไรแล้วตอนนี้ ผมจึงขอความคิดเห็นหน่อยครับ
เพราะยังไงซะ หลายหัวก็ยังดีกว่าหัวเดียว

ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่