‘ไล่ตงจิ้น’ ผู้สร้างตำนานความสำเร็จจาก ‘ลูกขอทาน’

กระทู้สนทนา
‘ไล่ตงจิ้น’ ผู้สร้างตำนานความสำเร็จจาก ‘ลูกขอทาน’



Lai Dong Jin เป็นหนังสือขายได้เกินล้านเล่มในไต้หวัน
ล่ายตงจิ้นมีชีวิตที่น่าสนใจและน่ายึดไว้เป็นตัวอย่าง เอาให้ลูกหลานอ่านนี่โอเคเลย เขาได้รับรางวัลบุคคลดีเด่นและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ได้รางวัลจาก ปธน. หูจิ่นเทา ด้วย


Lai Dong Jin เป็นหนังสือค่อนข้างหนักเกี่ยวกับชีวิตขอทาน เรียกได้ว่าแต่ละบทระเบิดต่อมน้ำตาเอาง่ายๆ บางคนพ่อเสียแม่เสีย ถูกทิ้ง หรืออื่นๆ มันก็แย่อยู่ แต่มันอาจจะคนละอย่างกับล่ายตงจิ้น เพราะที่เหลือไว้ก็คือต้องรับผิดชอบตัวเองเท่านั้น แต่สำหรับ Lai Dong Jin เขาเผชิญกับสภาพกดดันเป็นเวลายาวนานและมีชีวิตอีก 14 ชีวิตแขวนอยู่กับความรับผิดชอบของเขาด้วย เคยคิดจะฆ่าตัวตาย หรือถึงขนาดไปซื้อยาฆ่าแมลงมาเตรียมไว้แล้วเพื่อจะปลิดชีวิตของทุกคนในครอบครัวเพื่อที่จะได้พ้นทุกข์ทรมาร แต่ก็คิดได้เสียก่อน ที่น่าทึ่งคือพอผ่านมาแล้วเขาไม่เคยโทษใครและไม่เคยเอาสิ่งไม่ดีต่างๆมาดึงตัวเองลงต่ำเลย


ล่ายตงจิ้นเป็นลูกของขอทานตาบอด เกิดในวัดร้าง มีชีวิตเร่รอนขอทานมาตั้งแต่เกิดและต้องขอทานอยู่ถึงเกือบยี่สิบปี มีแม่เป็นคนปัญญาอ่อน มีโรคประจำตัวคือลมบ้าหมูและมีจิตใจไม่ปรกติคือคุ้มดีคุ้มร้าย น้องชายคนโตก็พิการทางสมองเช่นเดียวกับแม่ สองคนนี้จึงต้องถูกล่ามโซ่ไว้เสมอๆไม่งั้นอาจหายหรือไปก่อเรื่อง ทั้งครอบครัวเวลาไปไหนมาไหนก็จะเป็นสิ่งประหลาดสำหรับผู้พบเห็น เขายังมีพี่สาวที่เสียสละมากๆซึ่งสมควรได้รับการยกย่องพอๆกับตัวเขาเองอีกคนหนึ่ง


ตั้งแต่เด็กเขามีชีวิตอดมื้อกินมื้อ ต้องเดินขอทาน 10-20กม.ทุกวัน บางทีถึงกับต้องแย่งข้าวหมาที่ตกอยู่ตามพื้นกิน เคยชินกับการกินของบูดเน่าที่เขาโยนทิ้งแล้ว ไก่ตายมีกลิ่นเหม็นและมีหนอนขึ้นก็ต้องเอามากิน และดื่มน้ำจากคูน้ำประทังชีวิต เครื่องแต่งตัวเท่าที่มีก็คือชุดไว้ทุกข์งานศพที่เขาบริจาคให้มา ใช้ชีวิตเร่ร่อนและใช้สุสานเป็นที่พักพิงถึง 10 ปี ซึ่งสุสานบางทีก็เต็มไปด้วยเศษกระดูกหรืออสรพิษ หรือบางครั้งก็ต้องนอนกลางทุ่งโล่งๆ ไม่เคยอาบน้ำเลยหลายปีโดยรู้จักแค่การใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเท่านั้น เพราะเมื่อท้องหิวก็ไม่ได้ใส่ใจกับความเหม็นหรือความสะอาดอีกต่อไป นานเข้าก็กลายเป็นชินกับกลิ่นอับ ที่สำคัญคือไม่มีสิทธิป่วย เพราะไม่มีเงินหาหมอ เขาต้องช่วยทำคลอดน้องๆเองแล้วในค่ำคืนหนึ่งน้องสาวคนหนึ่งก็ป่วยตายคาอ้อมอกของเขา เขาก็ต้องช่วยฝังเธอกับมือ เขาต้องคอยช่วยดูแลพ่อตาบอด และคอยเช็ดปัสสาวะอุจาระของแม่กับน้องชายพิการทางสมอง เขาคิดถึงน้องๆและทุกคนก่อนเสมอ อาหารที่หามาได้ยากยิ่งก็จะให้คนอื่นกินก่อน ส่วนตัวเองกับพี่สาวยอมกินแต่น้ำจากลำธาร ยังมียิ่งกว่านี้อีก เหล่านี้คือประสบการณ์ที่เกิดกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีอายุในช่วง 4-6 ขวบเท่านั้น
พอเขาอายุสิบขวบผู้เป็นพ่อถึงได้ดิ้นรนส่งเขาเข้าโรงเรียน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียที่ไม่อาจลืมเลือน ในโรงเรียนเขาเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะนั้นนอกจากจะถูกดูถูกเหยียดหยามต่างๆนาๆแล้ว กลางคืนก็ยังต้องออกขอทานอีก มีเวลานอนแค่สามสี่ชั่วโมงเพราะต้องเดินขอทานหลายสิบกิโลเมตรทุกวันไม่มีวันหยุด ขอทานไปด้วยอ่านหนังสือทำการบ้านไปด้วย ถึงขนาดเดินหลับตกคลอง ตอนกลางวันก็นั่งกินข้าวคนเดียวตลอดเพราะอายที่ข้าวกลางวันมีแต่ข้าวเปล่า ขณะที่เพื่อนๆที่นั่งกินกันเป็นกลุ่มบ่นถึงรสชาตของอาหารที่ทางบ้านเตรียมให้ ตอนจะเข้าจะออกโรงเรียนเขาก็แทบจะไม่กล้ามองหน้าใครด้วยความอายเพราะความมอมแมมและความไม่มีของตัวเอง ไปชอบเด็กหญิงคนอื่นเขาก็ทิ้งไปเมื่อรู้ว่ามีพ่อเป็นขอทานมีแม่ปัญญาอ่อน


หนังสือเขียนเล่าแบบไม่ได้จงใจใช้พรรณาโวหารหรือใช้ภาษาให้เกิดอารมณ์คล้อยตามเกินเหตุ เหมือนเล่าๆไปตามที่เขาประสบด้วยอารมณ์อันปรกติ ผมอ่านแล้วลองสมมุติว่าหนังสือมันอาจจะเขียนเกินจริงแล้วเอามาบวกลบคูณหารดู ลดดีกรีลงแล้วก็ยังอึ้งอยู่ดีว่าอะไรมันจะขนาดนั้น ครึ่งแรกจะเรียกน้ำตาได้แทบจะตลอดทีเดียว ขณะที่ครึ่งหลังจะเบาลงบ้าง


บางทีความเพียบพร้อมก็อาจจะทำให้คนกลายเป็นพวกชอบเรียกร้องสูงและเห็นแก่ตัวขณะที่ความไม่มีกลับทำให้คนเรารู้จักเผื่อแผ่ช่วยเหลือก็ได้


ใครคิดจะฆ่าตัวตาย ใครชีวิตรันทด อกหัก แฟนทิ้ง หน้าที่การงานไม่สมปรารถนาหนังสือเล่มนี่อาจช่วยเตือนสติว่ายังโชคดีกว่าคนอื่นอีกเยอะ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่