สมัยเด็กๆ ผมเป็นลูกคนรวย พ่อแม่ตามใจ พ่อผมเป็นนายตำรวจ ยากได้อะไรพ่อแม่ซื้อให้ตลอด ไม่เคยตั้งใจเรียน แต่ไม่ได้เกเรนะ เล่นแต่เกม สอบตกตลอด แต่พ่อแม่ไม่เคยว่า สอบเข้า ม.ต้นไม่ได้ พ่อฝากให้หมด (ตอนมาใหม่ๆเพื้อนจะชอบล้อ ว่า โง่ พวกเด็กฝาก เอาเปรียบคนอื่น) ยันขึ้น ม.ปลายก็ฝาก เกรด 1.20 ไม่เคยมากกว่านี้ เพราะไม่รู้จะเรียนไปทำไม (คนรอบๆตัวก็บอกว่าเราโง่ สมองไม่ดี แม้แต่ญาติเราทุกคน จนเองผมก็คิดเช่นนั้น)
แต่สมัยนั้นเขาฮิต เรียนพิเศษกันก็ไปเรียน ทุกที่ ที่ดัง เรื่องเงินไม่ใช้ปัญหา แต่ไม่เคยเข้าไปเรียนเลย โดดไปเดินห้างตลอด แต่บอกพ่อ แม่ ว่ามาเรียน พ่อก็จะให้เงินพิเศษมาอีก จนสอบเข้ามหาลัย แน่นอนสอบไม่ติดแน่ๆ คือคิดหามหาลัยเอกชลไว้แล้ว แต่คณะที่จะเข้าก็ต้องสอบเพราะจำกัดคนเรียน ก็แน่นอนไม่ได้ แต่พ่อรู้จักกับอธิการเลยได้เข้ามาเรียน (ชีวิตมีเเต่ใช้เส้นสายอย่างเดียว เป็นคนที่ไม่เอาอ่าวจริงๆ) จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนเริ่มเข้ามหาลัยนี้แหละ นั้นคือ "ความจน" พ่อผมเกษียณ อายุราชการ แม่ไม่ได้ทำงาน ผมพบว่า บ้านเราไม่มีเงินเลย ถึงได้บำเน็นมาก็เหลือน้อยมาก ที่เราใช้ชีวิตฟุ้มเฟือยตลอดมา
แรกผมก็ฟุ้มเฟือยเหมือนเดิม เรียนก็เรียนบ้างเล่นบ้าง ในหัวไม่คิดเรื่องเรียนจบเลย จนมีอยู่วันกลับจากหอจะมาขอเงินแม่ พอถึงบ้านผมขึ้นไปขอเงินแม่ที่ห้อง แม่บอกได้ๆ รีบไปหยิบ เงินในกระเป๋ามาให้ ให้มา 500 ปกติแม่ผมต้องให้อย่างต่ำ 2000-3000 ผมก็แปลกใจแต่ก็ไม่อะไร สักพักหิวข้าว แม่บอกจะออกไปซื้อกับข้าวให้กิน แต่ผมแอบเห็นแม่เดินไปเปิดลิ้นชักตู้ เก็บเศษเหรียญ แล้วแอบร้องไห้ พอแม่ออกไปผมเลยไปค้นดูที่กระเป๋าตัง แม่ไม่มีเงินเลย 500 ที่ให้ผมมาคือ 500 สุดท้ายแล้ว แม่กลับมาหิ้วข้าวแกงถุงเล็กๆมาผมจำติดตาเลยหิ้วมาถุงเดียว
บ้านเราไม่เคยกินข้าวแกงแบบนี้ทุกครั้งแม่จะไปซื้อของดีๆที่ห้างมาให้ตลอด แม่แกล้งบอกร้านแถวนี้มันปิดหมด พอดีเปิดร้านเดียวเลยซื้อมา เหลือเท่านี้ ผมยืนมองแม่ ในหัวสับสนมากๆ มันเหมือนมีคนมาทุ้มหินใส่หัว มึนๆชาๆ ผมเลยบอกไป ว่าเอาแแค่200 ก็ได้ แต่แม่บอก ไม่พอหรอกต้องใช้เรียน แล้วแม่ก็บอกว่าไม่ต้องห่วงแม่หรอกตั้งใจเรียนหนังสือไป มากังวลเดียวเรียนไม่รู้เรื่อง ผมนั้งรถตู้กลับหอคิดเรื่องนี้ตลอด นำ้ตาไหลตลอดทางเลย
ที่บ้านก็เริ่มขายของในบ้านไปเรื่อยๆ รถบ้าง อะไรขายได้ก็ขาย เอาเงินมาใช้และเป็นค่าเทอมให้ผม แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยมายุ่งกับเรื่องเรียนผมเลย ผมมาคิดได้ว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้พ่อกับแม่ลำบากแน่ๆ และเราต้องทำให้ครอบครัวกลับมามีเงินให้ได้
ผมเริ่มลองอ่านหนังสือ (คือไม่มีเงินไปเที่ยวแล้ว) และไม่รู้โชคดีในโชคร้ายรึเปล่า ผมได้เพื่อนที่ดี. เพื่อนในกลุ่มที่ผมอยู่ "จน ทุกคน" มาจากต่างจังหวัด ตั้งใจเรียนมากและจริงใจสุดๆ ไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็แบ่งๆกันกิน ช่วยเหลือกัน เพราะแต่ละคนก็ไม่มีเงิน พูดแล้วรักเพื่อนมากๆ (ที่มหาลัยกลุ่มที่คนรวยอยู่จะแยกกันชัดเจน ผมก็โดนออกมาเพราะไม่มีเงินเหมือนเก่า)
ชีวิตผมไม่เคยสนุกกับบการเรียนหนังสือเท่านี้มาก่อน ผมสอบได้ เกรดเฉลียไม่ต่ำกว่า 3.20 ทุกเทอม กลายเป็นคนไม่เที่ยวเลย มีเวลาจะไปเข้าห้องสมุดกับเพื่อนๆติวกัน มันมีความสุขมากๆ คงเพราะรู้ว่าถ้าเกรดดีๆก็มีโอกาศได้งานสูง. (ที่บ้านก็ยังลำบากอยู่)
จนเรียนจบ วันไปสมัครงานตื่นแต่เช้า แม่มาแต่งตัวให้ผม บอกทำตัวดีๆ มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เข้าไว้ ตอบคนสัมภาษณ์ให้จริงใจ อย่าไปโกหกเด็ดขาด ผู้ใหญ่เขาจะชอบ ผมก็ออกมาจะไปขึ้นรถตู้ เดินถือซองใส่เอกสารสมัครงานเหมือนคนหางานทั่วไป แม่ผมร้องไห้เลย บอกไม่คิดว่าลูกจะต้องมาทำแบบนี้ แม่บอกว่าคิดว่าจะเลี้ยงลูกไปได้เรื่อยๆ ให้อยู่สบายๆ ผมก็บอกว่าเราไม่รวยเหมือนเก่าแล้วนะแม่ยังไม่ชินเหรอ 55 (ผมก็พยายามกลั้นนำ้ตาไว้)
ไปถึงบริษัท ที่เค้าเรียกมาสัมภาษณ์ 6โมงครึ่ง. เค้าให้มา10โมง คือแม่ผม กลัวผมมาไม่ทันให้รีบออกมาก่อน (แม่บอกอย่าให้ใครมารอเรา) พอ9โมง ออฟฟิต เปิด ก็ไปนั้งรอในห้อง มีคนมาสมัครตำแหน่งเดียวกับผมอีก 3 คน สักพักก็มีพี่ฝ่ายบุคคลมาให้กรอกเอกสาร ผมดูคนที่มาสมัครกรอก เขาจบม.รัฐ ทั้งหมด ผมเอกชนคนเดียว ด้วยที่ว่าตอนนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องจบใหม่ๆ แถมเป็นบริษัทแรกที่มาสัมภาษณ์อีก คิดว่าบริษัทเขาจะพิจารณา คนที่จบม.รัฐ เป็นพิเศษ ไอ้เราคงตัวรองๆแน่ๆ และคิดว่า ถ้ากรอกเงินเดือนน้อยๆไว้จะดี(ตอนนี้ที่บ้านก็จนมากๆด้วยอยากได้งานมาก) คือที่ช่องให้กรอกเงินเดือน ฝ่ายบุคคลเขาจะเขียนดินสอลางๆไว้ว่าเท่าไร(15000) ตอนนั้นผมกรอกไป 10000 บาท(ตัดราคากันเลยทีเดียว) ก็ส่งใบไปทั้ง 4 คนที่มาสมัคร สักพักพี่ฝ่ายบุคลเดินมาบอกให้กรอกใหม่ เพราะผมกรอกแค่หมื่นเดียว ให้กรอก 15000 เหมือนคนอื่นๆ เขาขำๆกันทั้งห้องเลย ตอนนั้นก็อายมาก
ผมได้คิวสัมภาษณ์คนสุดท้าย รอนานมาก จนถึงเที่ยงคนในบริษัทก็ออกไปกินข้าวกันจะหมดแล้ว มีพี่บุคคลมาบอกคนสัมภาษณ์ เขาติดธุระรีบไปไม่เขาออฟฟิตแล้วขอโทษจริงๆให้มาใหม่ เดี๋ยวจะนัดอีกที ผมก็บอกไม่เป็นไรครับ พี่เค้าก็ถามทานข้าวเช้ามายังเห็นมารอตั้งแต่ 6โมงกว่าๆ ผมก็บอกว่ายังครับ รีบมาเลยไม่ได้ทานมาครับ พี่เค้าบอกงั้นรอเดี๋ยวนะ เค้าเดินไปห้องๆหนึ่ง แล้วออกมาบอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวสัมภาษณ์กับลูกเจ้าของบริษัทเลย ท่านบอกไม่อยากให้รอ และมาหลายรอบมันเสียเวลา
ผมก็ได้สัมภาษณ์ กับลูกเจ้าของบริษัท อายุห่างจากผมตอนนั้น ราวๆ6-7 ปี พึ่งกลับมาจากเมืองนอก ไม่รู้อะไรพูดคุยกันถูกคอมาก แกก็ถามว่ารู้จักเกี่ยวกับบริษัทนี้อะไรบ้าง ผมโชคดีมาก ตอนนั้งรอสัมภาษณ์ มันมีหนังสือรายงานผลประกอบการอะไรสักอย่างของบริษัท(เกี่ยวกับหุ้น)วางอยู่ ผมอ่านรอเพราะมันมีเล่มนี้เล่มเดียว มีครบอ่ะ ทั่งผลประกอบการ ประวัติความเป็นมา และแนวโน้มของการลงทุนในอนาคต ลูกเจ้าของดูจะปลื้มผมมาก ตอนสัมภาษณ์เสร็จเดินออกมาส่งที่ประตูห้องที่สัมภาษณ์ด้วย
แล้วเค้าถามว่ามารอตั้งแต่กี่โมง เพราะตอนมาก็เห็นตั้งแต่เช้าเเล้ว พอดีฝ่ายบุคลเค้ามาแจ้งว่าคนสัมภาษณ์ติดธุระ และเค้าเห็นผมก็มารอนานมาก เค้าว่างอยู่ก็เลยสัมภาษณ์เองเลย
ผมกลับบ้านไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกดีแล้วลูกอาจจะได้งานนะ ผ่านไป2-3 วัน บริษัทโทรมาแจ้งว่ารับผมเข้าทำงาน ให้มาเซ็นสัญญาได้เลย
ตอนนั้นร้องไห้กันทั้งบ้านเลย ดีใจมากๆ มันบอกไม่ถูกผมไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่างเลยตั้งแต่เด็กๆพ่อแม่ช่วยมาทั้งชีวิต ตอนนี้ผมจะเป็นคนช่วยพ่อกะแม่เอง
ปล. เรื่องสัมภาษณ์งานกับบริษัท ผ่านมาแล้ว 8 ปี ตอนนี้ผมก็ยังคงอยู่รับใช้บริษัทนี้ แม่บอกให้เราทำงานให้เค้าเต็มที่ ตอบแทนที่เค้าให้โอกาสเราเข้าทำงาน
ผมตั้งใจทำงานสร้างผลงาน จนตอนนี้รับเงินเดือน 7 หมื่นกว่าๆแล้ว ตำแหน่งก็รับผิดชอบมหาศาล เครียดมากขึ้น แต่ มองย้อนไปเราก็ทำได้ไม่เลวแฮะ
ชีวิตผม ถ้าไม่ จน คงไม่มีวันนี้ บางครั้งเรื่องร้ายๆที่เราเจอ มันอาจจะไม่ใช้เรื่องร้ายก็ได้นะ และอีกอย่างผมเชื่อลึกๆว่าคนเราถ้ากตัญญู ไม่ตกอับแน่นอน
คุณเคยคิดไหมว่าตัวเองทำได้ไง ว่าจะเดินมาได้ถึงขนาดนี้
แต่สมัยนั้นเขาฮิต เรียนพิเศษกันก็ไปเรียน ทุกที่ ที่ดัง เรื่องเงินไม่ใช้ปัญหา แต่ไม่เคยเข้าไปเรียนเลย โดดไปเดินห้างตลอด แต่บอกพ่อ แม่ ว่ามาเรียน พ่อก็จะให้เงินพิเศษมาอีก จนสอบเข้ามหาลัย แน่นอนสอบไม่ติดแน่ๆ คือคิดหามหาลัยเอกชลไว้แล้ว แต่คณะที่จะเข้าก็ต้องสอบเพราะจำกัดคนเรียน ก็แน่นอนไม่ได้ แต่พ่อรู้จักกับอธิการเลยได้เข้ามาเรียน (ชีวิตมีเเต่ใช้เส้นสายอย่างเดียว เป็นคนที่ไม่เอาอ่าวจริงๆ) จนมีจุดเปลี่ยนของชีวิต ตอนเริ่มเข้ามหาลัยนี้แหละ นั้นคือ "ความจน" พ่อผมเกษียณ อายุราชการ แม่ไม่ได้ทำงาน ผมพบว่า บ้านเราไม่มีเงินเลย ถึงได้บำเน็นมาก็เหลือน้อยมาก ที่เราใช้ชีวิตฟุ้มเฟือยตลอดมา
แรกผมก็ฟุ้มเฟือยเหมือนเดิม เรียนก็เรียนบ้างเล่นบ้าง ในหัวไม่คิดเรื่องเรียนจบเลย จนมีอยู่วันกลับจากหอจะมาขอเงินแม่ พอถึงบ้านผมขึ้นไปขอเงินแม่ที่ห้อง แม่บอกได้ๆ รีบไปหยิบ เงินในกระเป๋ามาให้ ให้มา 500 ปกติแม่ผมต้องให้อย่างต่ำ 2000-3000 ผมก็แปลกใจแต่ก็ไม่อะไร สักพักหิวข้าว แม่บอกจะออกไปซื้อกับข้าวให้กิน แต่ผมแอบเห็นแม่เดินไปเปิดลิ้นชักตู้ เก็บเศษเหรียญ แล้วแอบร้องไห้ พอแม่ออกไปผมเลยไปค้นดูที่กระเป๋าตัง แม่ไม่มีเงินเลย 500 ที่ให้ผมมาคือ 500 สุดท้ายแล้ว แม่กลับมาหิ้วข้าวแกงถุงเล็กๆมาผมจำติดตาเลยหิ้วมาถุงเดียว
บ้านเราไม่เคยกินข้าวแกงแบบนี้ทุกครั้งแม่จะไปซื้อของดีๆที่ห้างมาให้ตลอด แม่แกล้งบอกร้านแถวนี้มันปิดหมด พอดีเปิดร้านเดียวเลยซื้อมา เหลือเท่านี้ ผมยืนมองแม่ ในหัวสับสนมากๆ มันเหมือนมีคนมาทุ้มหินใส่หัว มึนๆชาๆ ผมเลยบอกไป ว่าเอาแแค่200 ก็ได้ แต่แม่บอก ไม่พอหรอกต้องใช้เรียน แล้วแม่ก็บอกว่าไม่ต้องห่วงแม่หรอกตั้งใจเรียนหนังสือไป มากังวลเดียวเรียนไม่รู้เรื่อง ผมนั้งรถตู้กลับหอคิดเรื่องนี้ตลอด นำ้ตาไหลตลอดทางเลย
ที่บ้านก็เริ่มขายของในบ้านไปเรื่อยๆ รถบ้าง อะไรขายได้ก็ขาย เอาเงินมาใช้และเป็นค่าเทอมให้ผม แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยมายุ่งกับเรื่องเรียนผมเลย ผมมาคิดได้ว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้พ่อกับแม่ลำบากแน่ๆ และเราต้องทำให้ครอบครัวกลับมามีเงินให้ได้
ผมเริ่มลองอ่านหนังสือ (คือไม่มีเงินไปเที่ยวแล้ว) และไม่รู้โชคดีในโชคร้ายรึเปล่า ผมได้เพื่อนที่ดี. เพื่อนในกลุ่มที่ผมอยู่ "จน ทุกคน" มาจากต่างจังหวัด ตั้งใจเรียนมากและจริงใจสุดๆ ไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็แบ่งๆกันกิน ช่วยเหลือกัน เพราะแต่ละคนก็ไม่มีเงิน พูดแล้วรักเพื่อนมากๆ (ที่มหาลัยกลุ่มที่คนรวยอยู่จะแยกกันชัดเจน ผมก็โดนออกมาเพราะไม่มีเงินเหมือนเก่า)
ชีวิตผมไม่เคยสนุกกับบการเรียนหนังสือเท่านี้มาก่อน ผมสอบได้ เกรดเฉลียไม่ต่ำกว่า 3.20 ทุกเทอม กลายเป็นคนไม่เที่ยวเลย มีเวลาจะไปเข้าห้องสมุดกับเพื่อนๆติวกัน มันมีความสุขมากๆ คงเพราะรู้ว่าถ้าเกรดดีๆก็มีโอกาศได้งานสูง. (ที่บ้านก็ยังลำบากอยู่)
จนเรียนจบ วันไปสมัครงานตื่นแต่เช้า แม่มาแต่งตัวให้ผม บอกทำตัวดีๆ มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่เข้าไว้ ตอบคนสัมภาษณ์ให้จริงใจ อย่าไปโกหกเด็ดขาด ผู้ใหญ่เขาจะชอบ ผมก็ออกมาจะไปขึ้นรถตู้ เดินถือซองใส่เอกสารสมัครงานเหมือนคนหางานทั่วไป แม่ผมร้องไห้เลย บอกไม่คิดว่าลูกจะต้องมาทำแบบนี้ แม่บอกว่าคิดว่าจะเลี้ยงลูกไปได้เรื่อยๆ ให้อยู่สบายๆ ผมก็บอกว่าเราไม่รวยเหมือนเก่าแล้วนะแม่ยังไม่ชินเหรอ 55 (ผมก็พยายามกลั้นนำ้ตาไว้)
ไปถึงบริษัท ที่เค้าเรียกมาสัมภาษณ์ 6โมงครึ่ง. เค้าให้มา10โมง คือแม่ผม กลัวผมมาไม่ทันให้รีบออกมาก่อน (แม่บอกอย่าให้ใครมารอเรา) พอ9โมง ออฟฟิต เปิด ก็ไปนั้งรอในห้อง มีคนมาสมัครตำแหน่งเดียวกับผมอีก 3 คน สักพักก็มีพี่ฝ่ายบุคคลมาให้กรอกเอกสาร ผมดูคนที่มาสมัครกรอก เขาจบม.รัฐ ทั้งหมด ผมเอกชนคนเดียว ด้วยที่ว่าตอนนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องจบใหม่ๆ แถมเป็นบริษัทแรกที่มาสัมภาษณ์อีก คิดว่าบริษัทเขาจะพิจารณา คนที่จบม.รัฐ เป็นพิเศษ ไอ้เราคงตัวรองๆแน่ๆ และคิดว่า ถ้ากรอกเงินเดือนน้อยๆไว้จะดี(ตอนนี้ที่บ้านก็จนมากๆด้วยอยากได้งานมาก) คือที่ช่องให้กรอกเงินเดือน ฝ่ายบุคคลเขาจะเขียนดินสอลางๆไว้ว่าเท่าไร(15000) ตอนนั้นผมกรอกไป 10000 บาท(ตัดราคากันเลยทีเดียว) ก็ส่งใบไปทั้ง 4 คนที่มาสมัคร สักพักพี่ฝ่ายบุคลเดินมาบอกให้กรอกใหม่ เพราะผมกรอกแค่หมื่นเดียว ให้กรอก 15000 เหมือนคนอื่นๆ เขาขำๆกันทั้งห้องเลย ตอนนั้นก็อายมาก
ผมได้คิวสัมภาษณ์คนสุดท้าย รอนานมาก จนถึงเที่ยงคนในบริษัทก็ออกไปกินข้าวกันจะหมดแล้ว มีพี่บุคคลมาบอกคนสัมภาษณ์ เขาติดธุระรีบไปไม่เขาออฟฟิตแล้วขอโทษจริงๆให้มาใหม่ เดี๋ยวจะนัดอีกที ผมก็บอกไม่เป็นไรครับ พี่เค้าก็ถามทานข้าวเช้ามายังเห็นมารอตั้งแต่ 6โมงกว่าๆ ผมก็บอกว่ายังครับ รีบมาเลยไม่ได้ทานมาครับ พี่เค้าบอกงั้นรอเดี๋ยวนะ เค้าเดินไปห้องๆหนึ่ง แล้วออกมาบอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวสัมภาษณ์กับลูกเจ้าของบริษัทเลย ท่านบอกไม่อยากให้รอ และมาหลายรอบมันเสียเวลา
ผมก็ได้สัมภาษณ์ กับลูกเจ้าของบริษัท อายุห่างจากผมตอนนั้น ราวๆ6-7 ปี พึ่งกลับมาจากเมืองนอก ไม่รู้อะไรพูดคุยกันถูกคอมาก แกก็ถามว่ารู้จักเกี่ยวกับบริษัทนี้อะไรบ้าง ผมโชคดีมาก ตอนนั้งรอสัมภาษณ์ มันมีหนังสือรายงานผลประกอบการอะไรสักอย่างของบริษัท(เกี่ยวกับหุ้น)วางอยู่ ผมอ่านรอเพราะมันมีเล่มนี้เล่มเดียว มีครบอ่ะ ทั่งผลประกอบการ ประวัติความเป็นมา และแนวโน้มของการลงทุนในอนาคต ลูกเจ้าของดูจะปลื้มผมมาก ตอนสัมภาษณ์เสร็จเดินออกมาส่งที่ประตูห้องที่สัมภาษณ์ด้วย
แล้วเค้าถามว่ามารอตั้งแต่กี่โมง เพราะตอนมาก็เห็นตั้งแต่เช้าเเล้ว พอดีฝ่ายบุคลเค้ามาแจ้งว่าคนสัมภาษณ์ติดธุระ และเค้าเห็นผมก็มารอนานมาก เค้าว่างอยู่ก็เลยสัมภาษณ์เองเลย
ผมกลับบ้านไปเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกดีแล้วลูกอาจจะได้งานนะ ผ่านไป2-3 วัน บริษัทโทรมาแจ้งว่ารับผมเข้าทำงาน ให้มาเซ็นสัญญาได้เลย
ตอนนั้นร้องไห้กันทั้งบ้านเลย ดีใจมากๆ มันบอกไม่ถูกผมไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่างเลยตั้งแต่เด็กๆพ่อแม่ช่วยมาทั้งชีวิต ตอนนี้ผมจะเป็นคนช่วยพ่อกะแม่เอง
ปล. เรื่องสัมภาษณ์งานกับบริษัท ผ่านมาแล้ว 8 ปี ตอนนี้ผมก็ยังคงอยู่รับใช้บริษัทนี้ แม่บอกให้เราทำงานให้เค้าเต็มที่ ตอบแทนที่เค้าให้โอกาสเราเข้าทำงาน
ผมตั้งใจทำงานสร้างผลงาน จนตอนนี้รับเงินเดือน 7 หมื่นกว่าๆแล้ว ตำแหน่งก็รับผิดชอบมหาศาล เครียดมากขึ้น แต่ มองย้อนไปเราก็ทำได้ไม่เลวแฮะ
ชีวิตผม ถ้าไม่ จน คงไม่มีวันนี้ บางครั้งเรื่องร้ายๆที่เราเจอ มันอาจจะไม่ใช้เรื่องร้ายก็ได้นะ และอีกอย่างผมเชื่อลึกๆว่าคนเราถ้ากตัญญู ไม่ตกอับแน่นอน