คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
แอร์แบบธรรมดา ต้องเลือกให้มีขนาดทำความเย็นที่เหมาะสมกับขนาดของห้อง ต้องเลือกแบบใกล้เคียงสุดเท่าที่จะทำได้
ถ้าใช้แอร์เล็กเกินไปมันก็จะทำงานหนัก ทำงานไม่หยุด ซึ่งอันนี้จะเป็นทั้งแอร์ธรรมดา และแอร์อินเวอร์เตอร์
แต่ถ้าเลือกแอร์ใหญ่เกินกว่าขนาดของห้องมากไป แอร์แบบธรรมดาคอมเพรสเซอร์จะทำงานแบบ ตัด-ต่อ ถี่จนเกินไป
อาจทำให้รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว และกินไฟมากเพราะต้องสตาร์ทคอมเพรสเซอร์บ่อยๆ
กรณีใช้แอร์ใหญ่กว่าขนาดห้อง แอร์อินเวอร์เตอร์ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นในเรื่องขนาดพื้นที่ทำความเย็น
เพราะคอมเพรสเซอร์มันเดินแบบปรับรอบการทำงานให้สัมพันธ์กับผลต่างของอุณหภูมิ ต่างจากแอร์ธรรมดาที่คอมเพรสเซอร์
จะเดินแบบเต็มกำลัง อาศัยการ ตัด-ต่อ การทำงาน เพื่อควบคุมความเย็น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าคอมเพรสเซอร์ของแอร์อินเวอร์เตอร์จะเดินรอบต่ำตลอดไม่มีการตัด เพราะถ้าห้องเย็นถึงระดับที่ตั้งไว้
ไม่มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในช่วงเวลาหนึ่ง สุดท้ายคอมเพรสเซอร์มันก็จะหยุดเดินในที่สุดครับ
แต่ถึงจะยืดหยุ่นกว่าแอร์ธรรมดาอยู่บ้าง แต่ก็ต้องดูรูปแบบการใช้งานด้วย
ลองดูการใช้งานโดยรวมดีกว่า ถ้าเวลาในการเปิดแอร์แบบต้องกันห้องมีทุกวัน เวลาการใช้งานแบบกั้นห้องโดยรวมมีมากกว่า
การเปิดแอร์แบบเปิดโล่งไม่กั้นห้องถ้าใช้งานไม่บ่อยหรือไม่ได้ใช้เป็นประจำ เทียบดูแล้วมีการใช้แบบนี้น้อยกว่า
บางทีการติดแอร์แบบธรรมดาขนาด 9000 BTU สองเครื่อง ในแต่ละส่วนที่ถูกกั้น อาจจะประหยัดทั้งค่าแอร์และค่าไฟมากกว่า
การติดอินเวอร์เตอร์ 18000 BTU ตัวเดียว เพราะแอร์อินเวอร์เตอร์ขนาดนี้ราคาค่าตัวก็ดูจะไม่น้อยเลย
ถ้าเอามาใช้แบบไม่เหมาะสม ใช้ไม่เต็มความสามารถที่แอร์มี อาจจะไม่คุ้มก็ได้ครับ
ถ้าใช้แอร์เล็กเกินไปมันก็จะทำงานหนัก ทำงานไม่หยุด ซึ่งอันนี้จะเป็นทั้งแอร์ธรรมดา และแอร์อินเวอร์เตอร์
แต่ถ้าเลือกแอร์ใหญ่เกินกว่าขนาดของห้องมากไป แอร์แบบธรรมดาคอมเพรสเซอร์จะทำงานแบบ ตัด-ต่อ ถี่จนเกินไป
อาจทำให้รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว และกินไฟมากเพราะต้องสตาร์ทคอมเพรสเซอร์บ่อยๆ
กรณีใช้แอร์ใหญ่กว่าขนาดห้อง แอร์อินเวอร์เตอร์ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นในเรื่องขนาดพื้นที่ทำความเย็น
เพราะคอมเพรสเซอร์มันเดินแบบปรับรอบการทำงานให้สัมพันธ์กับผลต่างของอุณหภูมิ ต่างจากแอร์ธรรมดาที่คอมเพรสเซอร์
จะเดินแบบเต็มกำลัง อาศัยการ ตัด-ต่อ การทำงาน เพื่อควบคุมความเย็น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าคอมเพรสเซอร์ของแอร์อินเวอร์เตอร์จะเดินรอบต่ำตลอดไม่มีการตัด เพราะถ้าห้องเย็นถึงระดับที่ตั้งไว้
ไม่มีการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิในช่วงเวลาหนึ่ง สุดท้ายคอมเพรสเซอร์มันก็จะหยุดเดินในที่สุดครับ
แต่ถึงจะยืดหยุ่นกว่าแอร์ธรรมดาอยู่บ้าง แต่ก็ต้องดูรูปแบบการใช้งานด้วย
ลองดูการใช้งานโดยรวมดีกว่า ถ้าเวลาในการเปิดแอร์แบบต้องกันห้องมีทุกวัน เวลาการใช้งานแบบกั้นห้องโดยรวมมีมากกว่า
การเปิดแอร์แบบเปิดโล่งไม่กั้นห้องถ้าใช้งานไม่บ่อยหรือไม่ได้ใช้เป็นประจำ เทียบดูแล้วมีการใช้แบบนี้น้อยกว่า
บางทีการติดแอร์แบบธรรมดาขนาด 9000 BTU สองเครื่อง ในแต่ละส่วนที่ถูกกั้น อาจจะประหยัดทั้งค่าแอร์และค่าไฟมากกว่า
การติดอินเวอร์เตอร์ 18000 BTU ตัวเดียว เพราะแอร์อินเวอร์เตอร์ขนาดนี้ราคาค่าตัวก็ดูจะไม่น้อยเลย
ถ้าเอามาใช้แบบไม่เหมาะสม ใช้ไม่เต็มความสามารถที่แอร์มี อาจจะไม่คุ้มก็ได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ขอปรึกษาเรื่อง ขนาดBTUแอร์ระบบธรรมดา/Inverter กับ ห้องนอนที่มีกั้นห้องในบางคราวกลางวัน/กลางคืน
ข้อมูลที่ผมคำนวนไว้ เป็นดังนี้ครับ
ห้อง
กว้าง 3.63 เมตร
ยาว 5.90 เมตร
เท่ากับ 21.42 ตารางเมตร
ดังนั้น
กลางคืนใช้ 14,994 บีทียู กลางวันใช้ 17,136 บีทียู
กั้นห้องจะเหลือพื้นที่ห้องเท่ากับ 10.71 ตารางเมตร
เมื่อกั้นห้องแล้ว จะใช้แอร์เท่ากับ
กลางคืนใช้ 7,497 บีทียู กลางวันใช้ 8,568 บีทียู
ลักษณะห้องนี้คือ ใช้ทุกคืนแน่นอน บางคืนก็กั้นห้อง บางคืนก็ไม่กั้นห้อง
และ กลางวันช่วงบ่ายถึงเย็น ใช้บ้างเป็นบางวัน(ไม่บ่อย) และอาจจะไม่กั้นห้อง (ฝ้ามีความร้อนถ่ายทอดลงมาจากหลังคาในวันแดดแรง)
ความต้องการคือ ต้องการประหยัดค่าไฟให้มากที่สุด แล้วก็พร้อมยืดหยุ่นสำหรับการทำความเย็นให้สบายปกติเมื่อกั้นห้อง และมีกำลังในการทำความเย็นทั้งห้องขณะไม่กั้นห้องช่วงกลางวันด้วย
ที่ผมศึกษามา ถ้าติดแบบระบบธรรมดา ขนาด 18000 บีทียู จะใช้ได้ปกติดีทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่กั้นห้อง แต่ถ้ากั้นห้องเหลือพื้นที่ 10 ตารางเมตรแล้ว แอร์ท่าทางจะทำงานไม่เหมาะสม (ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า)
และถ้าเป็นระบบอินเวอร์เตอร์ มันจะยืดหยุ่นให้เราไหม (แบบว่าทำงานเป็นแอร์เล็กก็ได้เมื่อห้องเล็ก ทำงานเป็นแอร์ใหญ่ก็ได้เมื่อห้องใหญ่)
ทีนี้ ควรจะติดแอร์ระบบธรรมดา หรือ ระบบอินเวอร์เตอร์ ดีครับ? ขนาดเท่าไหร่ดี?