วานนี้เป็นวันที่ผลงานภาพยนตร์ชื่อเรื่องค่อนข้างย๊าว ยาว ว่า
"ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี" หรือจะเรียกสั้นๆ อย่างไม่ต้องมีเรื่องมีรื้อให้หนักหัวว่า
"รูปูรูปี" ได้เริ่มปรากฏต่อหน้าผู้ชมตามโรงต่างๆ ทั้งเครือ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ พารากอน เอสพลานาด เอสเอฟ จนกระทั่งโรงชั้นสอง พร้อมกันทั่วทั้งแผ่นดินไทย
เป็นผลงานล่าสุดที่คนโสดนาม "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" แต่งเรื่อง เขียนบท และกำกับเองเสร็จสรรพ พรั่งพร้อมด้วยทีมงานที่ร่วมทุ่มเทกับงานชิ้นนี้ ที่แม้ว่าจะใช้เวลาสร้างนานกว่างานเรื่องก่อนๆ อยู่สักหน่อย เพราะงานนี้ยังไปถ่ายทำไกลถึงประเทศอินเดีย--จริงๆ นะ ไม่ได้แหกตา
จนได้เข้าโปรแกรมฉายที่เมืองไทย ในช่วงที่ปริมาณหนังไทยยังรู้สึก..เหงาๆ อยู่
เลยได้เรื่องนี้มาช่วยแก้ความอ้างว้างวังเวง ให้คนดูหนังไทยได้พอคึกคัก และสนุกไปกับการผจญภัยของเหล่าตัวแสดงทั้งหน้าเดิมและหน้าใหม่ได้ตลอดเรื่อง ตลอดทุกวินาที แม้กระทั่งช่วงเครดิตปิดท้ายเรื่อง
ต้องนับถือในความใจดีของนายใหญ่อย่าง "สหมงคลฟิล์ม" ที่อุตส่าห์ทุ่มโปรโมทและกล้าจับงานดีๆ ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมชิ้นนี้มาลงจอฉายตรงกับช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนพอดี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กๆ ได้มีโอกาสผ่อนคลายด้วยการชมหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไรมากระทบหรือเบียดบังส่วนตน แถมให้ส่วนลดกับเด็กๆ ในการชมเรื่องนี้ด้วยล่ะ อย่างที่เคยให้มาแล้วกับบางเรื่องที่ผ่านมา
ฉันเอง ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ได้มีโอกาสชมหนังเรื่องนี้ในวันแรก แม้ว่าบางคนจะยังแคลงใจไม่หายกับชื่อเรื่อง(แบบเต็ม) ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จำนวนคนดูในโรงนั้นบางตา นั่นแค่วันแรก แต่ฉันเชื่อด้วยหัวจิตหัวใจว่าคนที่ไปร่วมชมด้วยกันในวันนั้นคงจะหายความรู้สึกขัดๆ เดิมๆ เป็นปลิดทิ้ง หัวเราะ ซาบซึ้ง และร่วมเป็นกำลังใจไปด้วยกัน ถ้าเห็นควรจะเรียกชื่อหนังให้ว่า รูปูรูปี ไม่ต้องมีอะไรเติมหน้าเติมหลัง
ความโดดเด่นของปัญญาเรณูในทุกครั้งที่ออกมาจะอยู่ที่การสะท้อนวิถีชีวิตของลูกอีสานซึ่งเติบโตอยู่กับวงดนตรีโปงลาง แต่สำหรับครั้งนี้ที่ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะไม่มีการต่อเนื่องจากความเดิม ก็เลยได้เห็นพัฒนาการไปอีกขั้น อย่างน้อยก็ได้เห็นเด็กๆ โตขึ้นจวนเป็นหนุ่มเป็นสาว ในเมื่อเป็นหนังที่เกี่ยวกับเด็ก หรือเด็กเป็นตัวเดินเรื่อง แถมเป็นงานที่ต้องถ่ายทำในต่างแดนด้วย สิ่งที่หยิบยกเป็นประเด็นหลักของเรื่องจึงควรเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวต่อการเรียนรู้ชีวิตของเด็กได้ยอดนิยม โดยผู้สร้างเลือกปัญหาการพลัดหลงของเด็กๆ
ในเมื่อกลุ่มเด็กไทยที่พลัดหลงซึ่งวางตัวแสดงไว้ 7 คนมาเจอกับเด็กชาวอินเดียที่มีน้ำใจงาม แม้จะยากในการสื่อสารและเข้าใจ แต่โชคดีที่มีเด็กไทยคนหนึ่งในกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษได้มาสื่อสารกับเด็กอินเดียที่พูดภาษาสากลเช่นกัน ก็ช่วยให้การดำเนินเรื่องดูกระชับ รับรู้ได้ทันท่วงที
การวางบุคลิกและการแสดงของเหล่าเด็กๆ ก็สามารถสร้างบรรยากาศความจริงใจใสซื่อ น่ารัก น่าชัง น่าเตะได้อย่างดี แม้ว่าการวางชื่อตัวละครในครั้งนี้จะใช้ชื่อเล่นของนักแสดงเกือบทั้งหมดเพื่อความง่ายต่อการจดจำเหล่าตัวละครที่ดูคับคั่งขึ้น
เมื่อไม่มีชื่อตัวละครว่า ปัญญา และ เรณู ในภาคนี้ก็คงจะหาตัวแทนของสองชื่อนี้ได้เลย เพราะ "เรณู" ก็คือ "น้ำขิง" ตัวนำทัพของเรื่อง
ส่วน "ปัญญา" นั้น..ก็ต้องยกให้เจ้า "รูปี" เด็กชายชาวอินเดีย ที่มาช่วยเสริมให้เรื่องนี้ จนดูกลายๆ ว่านี่คือพระเอกของเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งคนที่รับบทก็คือเด็กชาวอินเดียจริงๆ ที่พี่บิณฑ์หมายมั่นว่าน่าจะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิงระดับอินเตอร์ หากมีโอกาสร่วมแสดงในเรื่องถัดไป
แม้กระทั่งเหล่านักแสดงฝ่ายผู้ใหญ่ ที่ไม่เห็นจำเป็นต้องจ้างมาริโอ้หรือดาราค่าตัวแพงๆเอาใจตลาดเกรดเอเลย โดยตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์องค์เจ้าอีกหลายรูป ก็แสดงได้อย่างแนบเนียน สมบทบาท เช่นเดียวกับนักแสดงเด็กทั้งหลาย โดยภาพรวมแล้วก็ดูไม่ฝืนจนเกินไป
ก็คงไม่ต้องไปเทียบกับงานในชื่อ ปัญญาเรณู ภาคก่อนๆ แต่อย่างน้อยแล้ว "รูปูรูปี" ก็ถือเป็นก้าวใหม่ที่ท้าทาย และเดินได้อย่างถูกทาง น่าชื่นใจกว่าที่เคยชมมา
เป็นผู้ที่ให้ความบันเทิง ทั้งยังให้สาระน่ารู้ต่างๆ และรสแห่งธรรมะ ได้เป็นอย่างดี
ขอบอกว่า ... "รูปูรูปี" จึงมีดีกว่าที่ใครจะคาดคิด
จึงเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เราต้องนั่งอยู่กับที่ตลอดทุกฉาก ทุกตอน ทุกวินาที เปิดเรื่องได้ดี ไม่เหมือนใคร ตอนท้ายเรื่องยังมีการแก้สถานการณ์ที่พิเศษ แม้กระทั่งช่วงปิดเรื่อง แทนที่จะฉายแค่เบื้องหลังไว้ที่มุมซ้าย กลับแสดงฉากที่เป็นจุดหมายสำคัญของเรื่อง เรียกว่าจะได้อรรถรสของหนังอย่างบริบูรณ์ คงไม่มีฉากใดที่ดูแล้วเบื่อแน่ๆ อาจขาดหายไปบ้างในสิ่งที่อยากเห็นอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็เห็นได้ในใจ
ก็ไม่แน่ว่าวันต่อๆ ไปคงจะมีคนไปชมเรื่องนี้จนแน่นโรงแน่นอน และคงจะลบอาถรรพ์เลข 3 ได้ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือ รางวัล
เอาเป็นกำลังใจกับทีมงาน รูปูรูปี เพื่อโอกาสต่อไปแล้วกัน //
ขอขอบคุณ ทีมสร้าง "รูปูรูปี" ที่มอบความบันเทิงได้น่าชื่นชม
เป็นผลงานล่าสุดที่คนโสดนาม "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" แต่งเรื่อง เขียนบท และกำกับเองเสร็จสรรพ พรั่งพร้อมด้วยทีมงานที่ร่วมทุ่มเทกับงานชิ้นนี้ ที่แม้ว่าจะใช้เวลาสร้างนานกว่างานเรื่องก่อนๆ อยู่สักหน่อย เพราะงานนี้ยังไปถ่ายทำไกลถึงประเทศอินเดีย--จริงๆ นะ ไม่ได้แหกตา
จนได้เข้าโปรแกรมฉายที่เมืองไทย ในช่วงที่ปริมาณหนังไทยยังรู้สึก..เหงาๆ อยู่
เลยได้เรื่องนี้มาช่วยแก้ความอ้างว้างวังเวง ให้คนดูหนังไทยได้พอคึกคัก และสนุกไปกับการผจญภัยของเหล่าตัวแสดงทั้งหน้าเดิมและหน้าใหม่ได้ตลอดเรื่อง ตลอดทุกวินาที แม้กระทั่งช่วงเครดิตปิดท้ายเรื่อง
ต้องนับถือในความใจดีของนายใหญ่อย่าง "สหมงคลฟิล์ม" ที่อุตส่าห์ทุ่มโปรโมทและกล้าจับงานดีๆ ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมชิ้นนี้มาลงจอฉายตรงกับช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนพอดี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กๆ ได้มีโอกาสผ่อนคลายด้วยการชมหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ หากไม่มีอะไรมากระทบหรือเบียดบังส่วนตน แถมให้ส่วนลดกับเด็กๆ ในการชมเรื่องนี้ด้วยล่ะ อย่างที่เคยให้มาแล้วกับบางเรื่องที่ผ่านมา
ฉันเอง ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่งก็ได้มีโอกาสชมหนังเรื่องนี้ในวันแรก แม้ว่าบางคนจะยังแคลงใจไม่หายกับชื่อเรื่อง(แบบเต็ม) ก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จำนวนคนดูในโรงนั้นบางตา นั่นแค่วันแรก แต่ฉันเชื่อด้วยหัวจิตหัวใจว่าคนที่ไปร่วมชมด้วยกันในวันนั้นคงจะหายความรู้สึกขัดๆ เดิมๆ เป็นปลิดทิ้ง หัวเราะ ซาบซึ้ง และร่วมเป็นกำลังใจไปด้วยกัน ถ้าเห็นควรจะเรียกชื่อหนังให้ว่า รูปูรูปี ไม่ต้องมีอะไรเติมหน้าเติมหลัง
ความโดดเด่นของปัญญาเรณูในทุกครั้งที่ออกมาจะอยู่ที่การสะท้อนวิถีชีวิตของลูกอีสานซึ่งเติบโตอยู่กับวงดนตรีโปงลาง แต่สำหรับครั้งนี้ที่ถึงแม้ว่าเรื่องราวจะไม่มีการต่อเนื่องจากความเดิม ก็เลยได้เห็นพัฒนาการไปอีกขั้น อย่างน้อยก็ได้เห็นเด็กๆ โตขึ้นจวนเป็นหนุ่มเป็นสาว ในเมื่อเป็นหนังที่เกี่ยวกับเด็ก หรือเด็กเป็นตัวเดินเรื่อง แถมเป็นงานที่ต้องถ่ายทำในต่างแดนด้วย สิ่งที่หยิบยกเป็นประเด็นหลักของเรื่องจึงควรเป็นปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวต่อการเรียนรู้ชีวิตของเด็กได้ยอดนิยม โดยผู้สร้างเลือกปัญหาการพลัดหลงของเด็กๆ
ในเมื่อกลุ่มเด็กไทยที่พลัดหลงซึ่งวางตัวแสดงไว้ 7 คนมาเจอกับเด็กชาวอินเดียที่มีน้ำใจงาม แม้จะยากในการสื่อสารและเข้าใจ แต่โชคดีที่มีเด็กไทยคนหนึ่งในกลุ่มที่พูดภาษาอังกฤษได้มาสื่อสารกับเด็กอินเดียที่พูดภาษาสากลเช่นกัน ก็ช่วยให้การดำเนินเรื่องดูกระชับ รับรู้ได้ทันท่วงที
การวางบุคลิกและการแสดงของเหล่าเด็กๆ ก็สามารถสร้างบรรยากาศความจริงใจใสซื่อ น่ารัก น่าชัง น่าเตะได้อย่างดี แม้ว่าการวางชื่อตัวละครในครั้งนี้จะใช้ชื่อเล่นของนักแสดงเกือบทั้งหมดเพื่อความง่ายต่อการจดจำเหล่าตัวละครที่ดูคับคั่งขึ้น
เมื่อไม่มีชื่อตัวละครว่า ปัญญา และ เรณู ในภาคนี้ก็คงจะหาตัวแทนของสองชื่อนี้ได้เลย เพราะ "เรณู" ก็คือ "น้ำขิง" ตัวนำทัพของเรื่อง
ส่วน "ปัญญา" นั้น..ก็ต้องยกให้เจ้า "รูปี" เด็กชายชาวอินเดีย ที่มาช่วยเสริมให้เรื่องนี้ จนดูกลายๆ ว่านี่คือพระเอกของเรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งคนที่รับบทก็คือเด็กชาวอินเดียจริงๆ ที่พี่บิณฑ์หมายมั่นว่าน่าจะเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการบันเทิงระดับอินเตอร์ หากมีโอกาสร่วมแสดงในเรื่องถัดไป
แม้กระทั่งเหล่านักแสดงฝ่ายผู้ใหญ่ ที่ไม่เห็นจำเป็นต้องจ้างมาริโอ้หรือดาราค่าตัวแพงๆเอาใจตลาดเกรดเอเลย โดยตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์องค์เจ้าอีกหลายรูป ก็แสดงได้อย่างแนบเนียน สมบทบาท เช่นเดียวกับนักแสดงเด็กทั้งหลาย โดยภาพรวมแล้วก็ดูไม่ฝืนจนเกินไป
ก็คงไม่ต้องไปเทียบกับงานในชื่อ ปัญญาเรณู ภาคก่อนๆ แต่อย่างน้อยแล้ว "รูปูรูปี" ก็ถือเป็นก้าวใหม่ที่ท้าทาย และเดินได้อย่างถูกทาง น่าชื่นใจกว่าที่เคยชมมา
เป็นผู้ที่ให้ความบันเทิง ทั้งยังให้สาระน่ารู้ต่างๆ และรสแห่งธรรมะ ได้เป็นอย่างดี
ขอบอกว่า ... "รูปูรูปี" จึงมีดีกว่าที่ใครจะคาดคิด
จึงเป็นหนังไทยเรื่องหนึ่งที่เราต้องนั่งอยู่กับที่ตลอดทุกฉาก ทุกตอน ทุกวินาที เปิดเรื่องได้ดี ไม่เหมือนใคร ตอนท้ายเรื่องยังมีการแก้สถานการณ์ที่พิเศษ แม้กระทั่งช่วงปิดเรื่อง แทนที่จะฉายแค่เบื้องหลังไว้ที่มุมซ้าย กลับแสดงฉากที่เป็นจุดหมายสำคัญของเรื่อง เรียกว่าจะได้อรรถรสของหนังอย่างบริบูรณ์ คงไม่มีฉากใดที่ดูแล้วเบื่อแน่ๆ อาจขาดหายไปบ้างในสิ่งที่อยากเห็นอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็เห็นได้ในใจ
ก็ไม่แน่ว่าวันต่อๆ ไปคงจะมีคนไปชมเรื่องนี้จนแน่นโรงแน่นอน และคงจะลบอาถรรพ์เลข 3 ได้ สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นก็คือ รางวัล
เอาเป็นกำลังใจกับทีมงาน รูปูรูปี เพื่อโอกาสต่อไปแล้วกัน //