เปิด 82 หุ้นร้อนกลุ่มมาลีนนท์ - เจริญติดโผ

วันอาทิตย์ที่ 03 มีนาคม 2013 เวลา 10:45 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : ข่าวหน้า1


        เปิด 82 หุ้นร้อน รายย่อยปั่นตีฟองสบู่ ราคาทะยานดันพี/อี สูงเกิน 40 เท่า ผงะบริษัทดังติดกลุ่มเพียบ  ช.การช่าง พี/อี พุ่งทะลุ 1,500 เท่า แต่กำไรทรุด  , หุ้นตระกูลมาลีนนท์-เสี่ยเจริญ ติดโผ  ด้านก.ล.ต.เร่งสกัดฟองสบู่

altเพิ่มความถี่ตรวจสอบโบรกเกอร์ พร้อมสั่งหยุดให้วงเงินลูกค้าหลังพบพฤติกรรมผิดปกติ โอนหลักทรัพย์ค้ำประกันไปเปิดบัญชีกับอีกโบรก "ทีเอสเอฟซี" ชะลอปล่อยกู้แล้ว หลังวงเงินเต็มเพดาน

    จากสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและเต็มไปด้วยภาวะการเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือหุ้นนอก SET 100 จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงตลาดหุ้นกังวลว่าจะเกิดภาวะ "ฟองสบู่"

       ล่าสุดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกว่าได้เกิด"ฟองสบู่" ขึ้นแล้วในหุ้น  122 ตัว  ในจำนวนนี้มี 72 ตัว ที่มีอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี เรโช)สูงเกิน 40 เท่า (หมายถึงการลงทุนเพื่อให้ได้กำไร 1 บาท จะต้องใช้เงินถึง 40 บาท ) และยังมีหุ้นที่ผลประกอบการขาดทุนอีก 50 ตัว  พร้อมเตือนว่าขณะนี้มีสัญญาณความเสี่ยงจากปัญหาฟองสบู่ในหุ้นเหล่านี้  

    ทั้งนี้การรวบรวมของ"ฐานเศรษฐกิจ"จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 มีบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่มีพี/อี สูงเกิน 40 เท่า หรือหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากแล้วมีจำนวนถึง 62 บริษัท และมีบจ.ที่ขาดทุน 20 บริษัท รวมเป็น 82 บริษัท

     ในจำนวนหุ้นที่มีพี/อี สูงเกิน 40 เท่านั้น พบว่า มีบริษัทชื่อดังติดกลุ่มจำนวนมาก เช่น หุ้นของบริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ที่มีพี/อี สูงที่สุด คือ 1,566.91 เท่า  ขณะที่ปี 2555 กำไรสุทธิลดลง 39% มาที่ 568.4 ล้านบาท, บมจ.อีเทอเนิล เอนเนอยี  ซึ่งเป็นบริษัททำธุรกิจพลังงานทางเลือกของกลุ่มคอมลิงค์ มีพี/อี 857.28 เท่า ด้านผลการดำเนินงานปี 2555 พลิกมีกำไร 63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 766%

*ตระกูล "มาลีนนท์" ติดกลุ่ม  


    บมจ.เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ธุรกิจของตระกูลมาลีนนท์ มีพี/อี 402.34 เท่า  และแม้ผลการดำเนินงานดีขึ้น แต่ก็ไล่ไม่ทันตามพี/อี ที่สูงมาก โดยปี 2555 ขาดทุนสุทธิ 4.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.36% ทั้งนี้มีการเก็งกำไรหุ้นดังกล่าวตามกระแสข่าวลือในห้องค้าว่าตระกูลมาลีนนท์จะนำบริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) เข้าจดทะเบียนทางอ้อม(แบ็กดอร์ ลิสติ้ง)ผ่านบมจ.เวฟ

    บมจ.สามารถ ไอ-โมบาย หุ้นมีพี/อีที่ 181.18 เท่า ขณะที่ปี 2555 มีกำไรสุทธิ 165.65 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้า 98.18 % ,บมจ.ไทยคม มีพี/อี 170.16 เท่า  ขณะที่กำไรยังไล่ไม่ทันพี/อี ที่สูงมาก โดยปี 2555 พลิกมีกำไรสุทธิ 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 135.49 % จากปีก่อนหน้าที่ขาดทุน 490.03 ล้านบาท (ดูตารางประกอบหุ้น 62 ตัว ที่มีพี/อี สูงกว่า 40 เท่า)

***เปิดบริษัท"ขาดทุน"


    สำหรับหุ้นที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน อาทิ บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ที่มีแรงเก็งกำไรด้วยการเล่นกระแสข่าวกลุ่มนายเจริญ  เข้ามาเก็บหุ้นจนดันราคาวิ่งต่อเนื่อง แต่ด้านผลการดำเนินงานปี 2555 กลับขาดทุนหนักขึ้น 613.06 ล้านบาท จากปี 2554 ขาดทุนสุทธิ 231.45 ล้านบาท

    บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง(IEC) ที่ผลการดำเนินงานยังคงติดลบอยู่แต่ยังมีแรงเก็งกำไรอย่างต่อเนื่องเช่นกันที่มีเสียงลือกันว่าเสี่ยเนสกาแฟ นายประยุทธ มหากิจศิริ เข้ามาซื้อ พร้อมลุ่นเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ หรือผลการดำเนินงานพลิกเป็นขาดทุนจากธุรกิจโรงไฟฟ้า
*หุ้นกลุ่ม"เสี่ยเจริญ"พุ่งปรี๊ด  

    นอกจากนี้มีบมจ.ยูนิเวนเจอร์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มทีซีซีของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี  ที่จัดเป็นหุ้นที่ร้อนแรงติดแถวหน้าของปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องถึงปีนี้ มีพี/อี 173.41 เท่า ขณะที่เมื่อดูความสามารถในการทำกำไรก็ถือว่าโดดเด่น โดยปี 2555 มีกำไรสุทธิ 212 ล้านบาท  เพิ่มจากปีก่อนถึง 236%  

    ทั้งนี้นายจรัมพร กล่าวว่าในหุ้น 72 ตัว ที่ตลท.พบว่าได้เกิดฟองสบู่แล้วนั้น พบว่าในรอบ 14 เดือน หุ้นเหล่านี้มีสภาพคล่องในการซื้อขายหรือฟรีโฟลต เพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท เป็น 6 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,100% )และฟรีโฟลตที่เพิ่มขึ้นนั้นคาดว่าจะเป็นเงินจากนักลงทุนรายย่อยประมาณ 50 % (ประมาณ 3 แสนล้านบาท) ดังนั้นจึงถือว่าอันตรายหากนักลงทุนรายย่อยยังลงทุนในหุ้นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว

    ดังนั้นจึงแนะนำนักลงทุนควรแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นที่อยู่นอกกลุ่มเสี่ยงฟองสบู่ และควรรู้ถึงระดับความเสี่ยงที่ตัวเองสามารถรับได้ นอกจากนี้ควรศึกษาธุรกิจของหุ้นที่ลงทุนด้วยว่าจากพี/อี ที่สูงนั้น กำไรของบริษัทนั้น ๆ ยังสามารถเติบโตตามพี/อี ได้หรือไม่

    "หุ้นที่มีพี/อี สูงเกิน 40 เท่า จะต้องสะท้อนมาที่กำไร โดยควรต้องมีอัตราการเติบโตของกำไรที่ก้าวกระโดดไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี  อีกทั้งต้องพิจารณาด้วยว่าการเติบโตดังกล่าวมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน"ผู้จัดการตลาดหุ้นกล่าว  
*ก.ล.ต. สกัด"ฟองสบู่"ลาม

    นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้เข้าตรวจสอบบริษัทหลักทรัพย์หรือบล.บ่อยมากขึ้น หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างร้อนแรง

     "จากการตรวจสอบก.ล.ต. พบสิ่งผิดปกติ หรือการสร้างราคาในตลาดหุ้น อาจทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากต้องใช้เวลาและมีหลักฐานเพียงพอจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ"
*สั่งโบรกเกอร์หยุดให้วงเงินลูกค้า

    เลขาธิการก.ล.ต.กล่าวอีกว่า ขณะนี้พบการโอนหลักทรัพย์จากบัญชีหนึ่งมายังอีกบัญชีหนึ่ง ทำให้บุคคลคนนั้นสามารถนำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการเพิ่มวงเงินในการซื้อขายหุ้น หรือโอนหุ้นจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง เมื่อตรวจพบจึงให้บริษัทหลักทรัพย์หยุดการให้วงเงินกับลูกค้า เพราะทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย และบริษัทหลักทรัพย์เกิดความเสียหายไปด้วย

    ขณะเดียวกันก.ล.ต.ได้กำชับให้บริษัทหลักทรัพย์ โดยเฉพาะการตลาดใช้บทวิเคราะห์ในการแนะนำหุ้นให้ผู้ลงทุน เพราะที่ผ่านมาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นลงแรง ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและเล็กซึ่งไม่มีบทวิเคราะห์การลงทุน (อ่านเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องหน้า 13  บทความของตลาดหลักทรัพย์ฯเรื่อง "ข้อควรระวัง ในภาวะตลาดหุ้นกระทิง”)

*"ทีเอสเอฟซี" ชะลอปล่อยกู้

    นางสาวเยาวลักษณ์ อร่ามทวีทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์  ที่ผ่านมา บริษัทได้หยุดให้สินเชื่อเครดิตบาลานซ์เพิ่มเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) เป็นการชั่วคราว  เนื่องจากขณะนี้บริษัทมียอดปล่อยสินเชื่อขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านบาท แตะระดับเพดานการเตือน (วอร์นนิ่ง ลิมิต)   และใกล้ระดับกับข้อบังคับของก.ล.ต. ที่กำหนดให้ TSFC ปล่อยมาร์จินได้ไม่เกิน 5 เท่าของเงินกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 1 พันล้านบาท

    นอกจากนี้บริษัทได้ระงับการปล่อยมาร์จินโลนสำหรับหุ้นนอก SET100 : ซึ่งจะปล่อยหุ้นที่อยู่ใน SET100 เพียง 30 ตัวเท่านั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเพื่อทำให้การปล่อยมาร์จินไม่กระจุกตัว จากปัจจุบันที่มีการกระจุกตัวแล้ว

    "เท่าที่ได้หารือกับบริษัทหลักทรัพย์หลายรายพบว่า มีการปล่อยมาร์จินที่สูงแล้ว และขณะนี้เชื่อว่าทุกโบรกเกอร์คงระวังในการเพิ่มเพดานการปล่อยมาร์จิน โลน" นางสาวเยาวลักษณ์กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,823  วันที่  3 - 6  มีนาคม พ.ศ. 2556

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่