กระทู้ต้นทาง :
http://pantip.com/topic/30121897
กราบสวัสดีทุกคนที่เข้ามาในกระทู้ของผมนะครับ การที่คุณเห็นในสิ่งที่ผมพิมพ์อยู่นี้ แสดงว่า คุณให้ความสนใจ สงสัย อยากรู้
กับคำว่า "MBA" ไม่มากก็น้อย "ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณมาถูกทางแล้ว"
ผมเป็นคนๆหนึ่ง คนธรรมดาๆ เป็นผู้ชายกลางๆ ที่คิดดี ทำดี รักเด็ก ถ้าเลือกผม ... (ไม่ใช่ละ 555)
... ผมแค่เป็นคนๆหนึ่ง ที่อยากมีชีวิตที่ดี ...
และผมก็คิดเอาเองว่า "การศึกษาที่ดี" เป็น "องค์ประกอบและหนทางหนึ่ง" สู่การมีชีวิตที่ดี
วันนี้ ผมกำลังจะมีโอกาสนั้น ผมเลยอยากจะแบ่งปันเรื่องราวของผมให้ท่านผู้สนใจฟัง
ในฐานะ "คนที่พึ่งสอบติด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
เอาละ ถ้าคุณสนใจ
ผมอยากให้คุณนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มๆ เปิดแอร์เย็นๆ ในที่ๆเป็นส่วนตัวสักนิดนึง เตรียมพร้อมรับฟังประสบการณ์ชีวิตของผม ...
พร้อมแล้วนะครับ งั้นลุยกันเลย
....................................................
คำเตือน : สิ่งที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นมุมมองส่วนบุคคล เป็นทัศนคติส่วนตัวล้วนๆ กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ตัดสินใจเอาเองว่าสำหรับตัวท่านแล้ว สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี และเลือกเก็บเฉพาะสิ่งดีๆที่ได้จากการอ่านเรื่องราวของผมไป
อะไรที่มันแย่ๆ ก็ปล่อยให้มันอยู่ในกระทู้ผมต่อไป กระทู้ของผมจะไม่มีการพาดพิงสถาบันใดๆทั้งสิ้น
หากท่านต้องการดราม่าเกี่ยวกับสถาบันการศึกษา กรุณาเชิญที่กระทู้อื่นได้เลย
........................................................
คุณยังจำตอนที่คุณกำลังอยู่ปี 4 ได้มั้ยครับ ???
ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของคนส่วนใหญ่
ปีสุดท้ายที่จะได้บ้าๆบอๆไปวันๆ ก่อนเผชิญโลกของผู้ใหญ่ ... โลกในความเป็นจริง
ผมว่าปีนี้มันเป็นปีที่หนักโคตรๆ ถ้าคุณเรียนสายวิทย์ คุณจะเจอกับโปรเจคจบ พร้อมการสัมนาวิชาการอันแสนหฤโหด
หากคุณเรียนแผนศิลป์ คุณจะเจอกับงานปริมาณมหาศาล พร้อมโปรเจคจบที่หนักไม่แพ้กัน เผลอๆจะหนักยิ่งกว่า
และที่สำคัญ ปีนี้คนรอบๆตัวคุณ พ่อ แม่ พี่ น้อง อากง อาม่า คุณตา คุณยาย อาแปะ อาซิ้ม .... เพื่อนของคุณ และที่สำคัญตัวคุณเอง เค้าจะถามคุณว่า
"จะจบปีสี่อยู่แล้วนะ เอาไงต่อละ"
"จะเรียนต่อ หรือจะทำงาน"
ณ ตอนนั้นเนี่ย ผมมีความรู้สึกว่า คำถามง่ายๆข้อนี้ ... ตอบยากโคตรเลยว่ะ
คือไม่ใช่ว่า สองทางที่มีให้เลือกเนี่ย มันเย้ายวน จนแทบจะเลือกไม่ถูกนะ
แต่ ... มันไม่น่าเลือกเลยทั้งสองทางต่างหากละเฟ้ย !!!!
สำหรับเด็ก GEN-Y แบบผม การตื่นไปทำงานให้ทัน แปดโมง มันเป็นอะไรที่สาหัสมาก มีเรียนเก้าโมง เก้าโมงครึ่งยังไม่ตื่นเลย
แล้วจะให้เรียนต่อเหรอ หึหึ ปริญญาตรียังแทบไม่รอด ปริญญาโทจะรอดเรอะ
มันเป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วน ร้อนๆรุ่มๆในหัวใจเป็นอย่างมากกับอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องตัดสินใจใช่มั้ยครับ
"ตัดสินใจและรับผิดชอบกับการตัดสินใจ"
...
สำหรับผม ผมตัดสินใจทำงานครับ แต่ ... ทำงานเพื่อเก็บประสบการณ์มา"ใช้ในการเรียนต่อ"
คุณคงอยากได้คำตอบใช่มั้ยครับ ว่าทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนั้น ผมอยากจะบอกล่วงหน้าว่าการตัดสินใจของผมมันไม่ได้ดีที่สุดหรอก
ไม่ได้ถูกต้องด้วยสำหรับใครหลายๆคน แต่ "สิ่งที่ผมตัดสินใจ มันดีสำหรับตัวผมเอง"
การตัดสินใจของผม เป็นการตัดสินใจแบบองค์รวม ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต้องไป "ซ้ายหรือขวา" "หน้าหรือหลัง"
แต่ผมตัดสินใจโดยคิดเองเองว่า ผลลัพธ์สุดท้ายในชีวิตผมมันต้องดี
...
อันดับแรกครับ ... ลึกๆในใจผมอยากเรียนต่อ
การเรียนปริญญาโท และถ้าเป็นไปได้ ถึงปริญญาเอก มันเป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็ก
แต่ "สิ่งที่ฝันกับสิ่งที่เป็นจริง บ่อยครั้งมันแตกต่างกันและเราคงต้องยอมรับ"
ผมมันเด็กหลังห้อง ... ไม่ใช่ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ของภาควิชา
ผมรู้ถึงศักยาภาพของตัวเอง ผมรู้ว่าอะไรบ้างที่ผมทำได้ และอะไรบ้างที่ผมทำไม่ได้
ประกอบกับ ในช่วงชีวิตปริญญาตรี ปี3 - ปี 4 ผมได้มีโอกาสเลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับการเงิน การจัดการ การบริหารอยู่หลายวิชา
มันทำให้ผมรู้แล้ว "อะไรคือสิ่งที่ผมชอบจริงๆ อะไรคือชีวิตที่ผมต้องการ"
อีกประการหนึ่งที่สำคัญต่อการตัดสินใจไม่แพ้กัน มาจากประสบการณ์การทำงาน
โอเค ผมยอมรับว่าผมเป็นเด็กใหม่ ผมอาจจะคิดอะไร มองอะไรแบบเด็กๆ ผมอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมาย
แต่ผมก็มองออก ว่าผมจะมีความสุขมั้ย ถ้าผมใช้วิถีชีวิตแบบนี้ต่อไป
ผมสนุกกับการทำงาน สนุกกับความท้าทายในแต่ละวัน แต่ผมก็พบข้อจำกัดในการเป็นลูกจ้างอีกเช่นเดียวกัน
โชคดีที่ผมมีเจ้านายที่ดี ผมไม่ได้ทำงานบริษัทข้ามชาติ ผมทำงานบริษัทเล็กๆ แต่มากด้วยคุณภาพ
"คุณอย่าเป็นลูกจ้างผมนานเลย เก็บประสบการณ์สักพัก แล้วไปตามฝันของตัวเองเถอะ"
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ณ วันนั้น ผมตัดสินใจว่า MBA คือสถานีต่อไป คือเป้าหมายระยะสั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวในชีวิต
"นี่คือสิ่งที่ผมเลือก และผมพร้อมที่จะรับผลของการเลือกครั้งนี้"
"ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเลือกผิดหรือถูก ผมรู้แค่ ผมจะลองดู"
...
ความพยายามครั้งที่ 12 [Review] สอบเข้า MBA CHULA
กราบสวัสดีทุกคนที่เข้ามาในกระทู้ของผมนะครับ การที่คุณเห็นในสิ่งที่ผมพิมพ์อยู่นี้ แสดงว่า คุณให้ความสนใจ สงสัย อยากรู้
กับคำว่า "MBA" ไม่มากก็น้อย "ขอแสดงความยินดีด้วยครับ คุณมาถูกทางแล้ว"
ผมเป็นคนๆหนึ่ง คนธรรมดาๆ เป็นผู้ชายกลางๆ ที่คิดดี ทำดี รักเด็ก ถ้าเลือกผม ... (ไม่ใช่ละ 555)
... ผมแค่เป็นคนๆหนึ่ง ที่อยากมีชีวิตที่ดี ...
และผมก็คิดเอาเองว่า "การศึกษาที่ดี" เป็น "องค์ประกอบและหนทางหนึ่ง" สู่การมีชีวิตที่ดี
วันนี้ ผมกำลังจะมีโอกาสนั้น ผมเลยอยากจะแบ่งปันเรื่องราวของผมให้ท่านผู้สนใจฟัง
ในฐานะ "คนที่พึ่งสอบติด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"
เอาละ ถ้าคุณสนใจ
ผมอยากให้คุณนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มๆ เปิดแอร์เย็นๆ ในที่ๆเป็นส่วนตัวสักนิดนึง เตรียมพร้อมรับฟังประสบการณ์ชีวิตของผม ...
พร้อมแล้วนะครับ งั้นลุยกันเลย
....................................................
คำเตือน : สิ่งที่ท่านกำลังจะอ่านต่อไปนี้ เป็นมุมมองส่วนบุคคล เป็นทัศนคติส่วนตัวล้วนๆ กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ตัดสินใจเอาเองว่าสำหรับตัวท่านแล้ว สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี และเลือกเก็บเฉพาะสิ่งดีๆที่ได้จากการอ่านเรื่องราวของผมไป
อะไรที่มันแย่ๆ ก็ปล่อยให้มันอยู่ในกระทู้ผมต่อไป กระทู้ของผมจะไม่มีการพาดพิงสถาบันใดๆทั้งสิ้น
หากท่านต้องการดราม่าเกี่ยวกับสถาบันการศึกษา กรุณาเชิญที่กระทู้อื่นได้เลย
........................................................
คุณยังจำตอนที่คุณกำลังอยู่ปี 4 ได้มั้ยครับ ???
ปีสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของคนส่วนใหญ่
ปีสุดท้ายที่จะได้บ้าๆบอๆไปวันๆ ก่อนเผชิญโลกของผู้ใหญ่ ... โลกในความเป็นจริง
ผมว่าปีนี้มันเป็นปีที่หนักโคตรๆ ถ้าคุณเรียนสายวิทย์ คุณจะเจอกับโปรเจคจบ พร้อมการสัมนาวิชาการอันแสนหฤโหด
หากคุณเรียนแผนศิลป์ คุณจะเจอกับงานปริมาณมหาศาล พร้อมโปรเจคจบที่หนักไม่แพ้กัน เผลอๆจะหนักยิ่งกว่า
และที่สำคัญ ปีนี้คนรอบๆตัวคุณ พ่อ แม่ พี่ น้อง อากง อาม่า คุณตา คุณยาย อาแปะ อาซิ้ม .... เพื่อนของคุณ และที่สำคัญตัวคุณเอง เค้าจะถามคุณว่า
"จะจบปีสี่อยู่แล้วนะ เอาไงต่อละ"
"จะเรียนต่อ หรือจะทำงาน"
ณ ตอนนั้นเนี่ย ผมมีความรู้สึกว่า คำถามง่ายๆข้อนี้ ... ตอบยากโคตรเลยว่ะ
คือไม่ใช่ว่า สองทางที่มีให้เลือกเนี่ย มันเย้ายวน จนแทบจะเลือกไม่ถูกนะ
แต่ ... มันไม่น่าเลือกเลยทั้งสองทางต่างหากละเฟ้ย !!!!
สำหรับเด็ก GEN-Y แบบผม การตื่นไปทำงานให้ทัน แปดโมง มันเป็นอะไรที่สาหัสมาก มีเรียนเก้าโมง เก้าโมงครึ่งยังไม่ตื่นเลย
แล้วจะให้เรียนต่อเหรอ หึหึ ปริญญาตรียังแทบไม่รอด ปริญญาโทจะรอดเรอะ
มันเป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วน ร้อนๆรุ่มๆในหัวใจเป็นอย่างมากกับอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายมนุษย์ทุกคนก็ต้องตัดสินใจใช่มั้ยครับ
"ตัดสินใจและรับผิดชอบกับการตัดสินใจ"
...
สำหรับผม ผมตัดสินใจทำงานครับ แต่ ... ทำงานเพื่อเก็บประสบการณ์มา"ใช้ในการเรียนต่อ"
คุณคงอยากได้คำตอบใช่มั้ยครับ ว่าทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนั้น ผมอยากจะบอกล่วงหน้าว่าการตัดสินใจของผมมันไม่ได้ดีที่สุดหรอก
ไม่ได้ถูกต้องด้วยสำหรับใครหลายๆคน แต่ "สิ่งที่ผมตัดสินใจ มันดีสำหรับตัวผมเอง"
การตัดสินใจของผม เป็นการตัดสินใจแบบองค์รวม ไม่ได้ตัดสินใจว่าจะต้องไป "ซ้ายหรือขวา" "หน้าหรือหลัง"
แต่ผมตัดสินใจโดยคิดเองเองว่า ผลลัพธ์สุดท้ายในชีวิตผมมันต้องดี
...
อันดับแรกครับ ... ลึกๆในใจผมอยากเรียนต่อ
การเรียนปริญญาโท และถ้าเป็นไปได้ ถึงปริญญาเอก มันเป็นความฝันของผมมาตั้งแต่เด็ก
แต่ "สิ่งที่ฝันกับสิ่งที่เป็นจริง บ่อยครั้งมันแตกต่างกันและเราคงต้องยอมรับ"
ผมมันเด็กหลังห้อง ... ไม่ใช่ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง ของภาควิชา
ผมรู้ถึงศักยาภาพของตัวเอง ผมรู้ว่าอะไรบ้างที่ผมทำได้ และอะไรบ้างที่ผมทำไม่ได้
ประกอบกับ ในช่วงชีวิตปริญญาตรี ปี3 - ปี 4 ผมได้มีโอกาสเลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับการเงิน การจัดการ การบริหารอยู่หลายวิชา
มันทำให้ผมรู้แล้ว "อะไรคือสิ่งที่ผมชอบจริงๆ อะไรคือชีวิตที่ผมต้องการ"
อีกประการหนึ่งที่สำคัญต่อการตัดสินใจไม่แพ้กัน มาจากประสบการณ์การทำงาน
โอเค ผมยอมรับว่าผมเป็นเด็กใหม่ ผมอาจจะคิดอะไร มองอะไรแบบเด็กๆ ผมอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากมาย
แต่ผมก็มองออก ว่าผมจะมีความสุขมั้ย ถ้าผมใช้วิถีชีวิตแบบนี้ต่อไป
ผมสนุกกับการทำงาน สนุกกับความท้าทายในแต่ละวัน แต่ผมก็พบข้อจำกัดในการเป็นลูกจ้างอีกเช่นเดียวกัน
โชคดีที่ผมมีเจ้านายที่ดี ผมไม่ได้ทำงานบริษัทข้ามชาติ ผมทำงานบริษัทเล็กๆ แต่มากด้วยคุณภาพ
"คุณอย่าเป็นลูกจ้างผมนานเลย เก็บประสบการณ์สักพัก แล้วไปตามฝันของตัวเองเถอะ"
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ณ วันนั้น ผมตัดสินใจว่า MBA คือสถานีต่อไป คือเป้าหมายระยะสั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวในชีวิต
"นี่คือสิ่งที่ผมเลือก และผมพร้อมที่จะรับผลของการเลือกครั้งนี้"
"ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเลือกผิดหรือถูก ผมรู้แค่ ผมจะลองดู"
...