คนเฝ้าหนังสือ ตอนที่ 20

กระทู้สนทนา
แม่ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ในช่วงเย็น หรือพลบค่ำ เป็นเวลาที่อุณหภูมิลดต่ำลงจากช่วงกลางวันผ่านรอยต่อเข้าสู่ยามราตรี การปล่อยให้ร่างกายนอนหลับในช่วงเวลาเช่นนี้ อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายขึ้นได้ง่ายๆ แม่ต้องบิดตัวเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้า ก่อนลุกขึ้นไปหาน้ำดื่ม ซึ่งช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกเล็กน้อย

บ้านทั้งหลังว่างเปล่าเงียบเหงาชวนหดหู่ การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวทำให้บางครั้งแม่คาดหวังถึงความสุขสบายที่จะได้รับจากการอยู่คนเดียวบ้าง แต่เมื่อมีโอกาสได้อยู่ตามลำพังขึ้นมาจริงๆ ครั้งใด มันก็ไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวังไว้
    
'ออกจะรู้สึกเหงาๆ เสียด้วยซ้ำไป'
    
หากคิดให้ดีมันก็คงไม่ได้ต่างจากการคาดหวังต่างๆ นาๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในชีวิต เราอยากได้สิ่งใหม่ๆ อยากมีสิ่งต่างๆ อยากออกไปเที่ยว อยากทำอะไร อยากเป็นอะไรที่ต่างไปจากเดิมเสมอ เพราะเราคาดหวังถึงความสุขที่จะได้รับจากสิ่งเหล่านั้น และมันดูจริงจัง มันน่าจะเป็นแบบนั้น จนกระทั่งเมื่อเราได้ครอบครอง ได้เป็นเจ้าของ ได้ทำตามความต้องการนั้น
    
แล้วความสุขที่เรากำลังจะคว้าเอาไว้ได้นั้นก็สลายหายไปราวกับหมอกควัน เป็นความสุขอันแสนสั้นที่ขัดแย้งกับการตั้งตารอคอย มันกลายเป็นสิ่งถัดไป เป็นเรื่องถัดไปที่หวังว่าจะทำให้เรามีความสุขได้แน่ และเป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่สิ้นสุด
    
‘คุณแม่หายไปไหนนะ’
    
หากเป็นคนอื่น แม่จะสามารถรู้ได้ในทันทีว่ามีใครอยู่ภายในบ้านด้วยหรือไม่ เพราะต้องมีหนึ่งในสองสามสิ่งนี้ที่ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ โทรทัศน์ เครื่องเสียง พัดลม หรือไฟส่องสว่าง ไม่มีใครอยู่บ้านได้ โดยไม่ต้องอาศัยหนึ่งในสิ่งเหล่านี้เลย แต่คุณยายนั้นแตกต่างออกไป เมื่อไม่นานมานี้เองที่แม่คิดว่าตนอยู่บ้านเพียงลำพัง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคุณยายกลับมานั่งเงียบๆ อยู่ในสวนตั้งนานแล้ว โดยที่แม่ไม่รู้
    
แม่เปิดประตูออกมาที่หน้าบ้าน คาดว่าอาจได้เห็นคุณยายนั่งอยู่ที่มุมม้านั่งเล็กๆ ใต้ต้นอะไรสักอย่างที่แม่ไม่รู้จัก มันเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ได้มาพร้อมกับการซื้อบ้านหลังนี้ มีสายลมพัดโชยมาเบาๆ แต่ตรงที่นั่งนั้นว่างเปล่า แม่มองค้นไปรอบๆ และได้พบเจอกับหลายสิ่งที่หลงลืมไปนานแล้วว่ามีพวกมันอยู่ รวมถึงเต่าดินเผาเก่าๆ ตัวโตที่ถูกตั้งซุกเก็บเอาไว้
    
เต่าที่แบกพาตัวตนอันแสนหนักไปทั่วทุกที่ มันมีใบหน้าอมทุกข์ บางทีอาจเป็นเพราะคราบที่เกิดขึ้นจากน้ำ และความเก่าจนทำให้มองดูคล้ายกับเป็นรอยน้ำตาที่ไม่มีวันจางหายตลอดกาล
    
ทุกสิ่งที่อยู่รอบกาย บางครั้งพวกมันก็คล้ายกับความทรงจำ มันตั้งอยู่ตรงนั้นเสมอแต่ว่าเราไม่เคยพบเห็น ที่เรามองไม่เห็นเพราะไม่ใส่ใจที่จะคิดถึงพวกมัน ภาพคืนวันอันเก่าก่อนฉายย้อนกลับมาอย่างลางเลือน ชีวิตวัยเด็กที่บ้านในต่างจังหวัด มันเต็มไปด้วยผู้คน มันมักจะเต็มไปด้วยผู้คนเสมอไม่เหมือนกับในตอนนี้ ความยากลำบาก ความสนุกสนาน ความไม่แน่นอน ทุกสิ่งถูกรวมเข้ากับความคิดความเข้าใจของวัยตัวเองในช่วงเวลานั้น
    
สิ่งที่ชัดเจนยังคงเป็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันแสนเหนื่อยล้าของผู้เป็นมารดา ใบหน้าที่อ่อนวัยกว่าในตอนนี้มาก แต่ความห่วงใยนั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย อาจมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
    
แม่รู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ร้อนผ่าวจนต้องใช้สองนิ้วกดลงที่หัวตาก่อนนวดคลึงไปมาเบาๆ 'หลายวันมานี้คงหนักหนาเกินไปสำหรับฉัน'
    
แม่พยายามที่จะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้อีก ‘บางที แม่อาจจะแค่ออกไปเดินเล่นแถวๆ นี้ก็เป็นได้’
    
รถกระบะสีขาวคันหนึ่งแล่นตรงมา แม้จะไม่มีเสียงประกาศจากลำโพงที่ดัดแปลงติดไว้บนหลังคารถ แต่จากการแล่นช้าๆ และสินค้าที่บรรทุกมาเต็มด้านหลังซึ่งมีหลังคาคลุมมิดชิด ก็ทำให้แม่พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นรถขายผลไม้
    
ถึงแม้หมู่บ้านจินตนครแห่งนี้จะเคร่งครัดเรื่องรถเข้าออก แต่ก็มีบางครั้งที่รถขายสินค้าสามารถหลุดรอดเข้ามาได้ และส่วนใหญ่ก็จะทำเหมือนกับรถขายผลไม้คันนี้คือวิ่งช้าๆ และไม่ใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงการที่จะถูกขับไล่ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะขายสินค้าอะไรได้บ้าง
    
แม่รู้สึกสนใจขึ้นมา อาหารเย็นนั้นซื้อเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มีของหวาน ถ้าได้ผลไม้มาเพิ่มสักอย่างก็คงดี แม่จึงรีบกลับเข้าบ้านไปหยิบกระเป๋าสตางค์แล้วเดินก้าวยาวๆ ไปที่ประตูรั้ว รถกระบะคันดังกล่าวจอดเข้าข้างทางอย่างรู้งาน เมื่อคนขับมองเห็นแม่จากทางกระจกมองข้าง
    
“มีผลไม้หลายอย่าง เลือกได้เลยจ๊ะ” แม่ค้าส่งเสียงหวานต้อนรับจากในกระบะท้ายรถ
    
ใบหน้าที่งดงามราวตุ๊กตาของเธอซึ่งถูกขับเน้นให้โดดเด่นด้วยผ้าคลุมที่ใช้กันแดดลม ทำเอาแม่เผลอจ้องมองตาค้าง จนเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาท จึงรีบเปลี่ยนเป็นก้มหน้าก้มตาเลือกผลไม้แทน
    
‘สวย’ แม้จะมองดูผลไม้ แต่ใจของแม่กลับยังคงวนเวียนอยู่ที่ใบหน้าของแม่ค้า ‘ทำไมฉันต้องสนใจถึงขนาดนั้นด้วย’ แม่เลือกผลไม้หยิบใส่ลงในถุงพร้อมกับความสงสัย เปลือกของผลไม้ทุกลูกเป็นเงาสวยงามอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ไม่ใช่อย่างที่มันเป็นเมื่อยังอยู่บนต้นแน่นอน
    
‘มันสวยเกินไป’ แม่เหลือบตาขึ้นมองหน้าแม่ค้าคนงามอีกครั้ง ‘ใช่’ มันเป็นความงามที่ถูกสร้างขึ้นมา ‘แต่ก็สวย’ เหมือนกับผลไม้พวกนี้

“พวกนี้ก็ดีนะคะ สดสด หวานกรอบเลยทีเดียว” แม่ค้ายิ้มหวาน ชี้ไปที่ผลไม้ชนิดหนึ่งที่แม่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อตั้งแต่แรก พร้อมกับเชิญชวนว่าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ
    
‘ได้ลดราคาก็ดีสิ’ แต่ต้องแลกกับการซื้อของที่มากกว่าความต้องการ ‘ก็ไม่เป็นไร ผลไม้พวกนี้กินได้ทั้งนั้น ซื้อมาก ก็ได้กินมากขึ้นอีกนิด’
    
ส่วนลด กับ สินค้าที่เกินกว่าความต้องการ การประหยัด ที่แลกมาด้วยการซื้อของเกินกว่าที่จำเป็น หรือตั้งใจไว้
    
“ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้ด้วยก็ได้” แม่ตกลงทันที
    
“ซื้ออะไรอยู่ล่ะ” คุณยายส่งเสียงทัก ส่วนตาเอกที่เดินกลับมาจากร้านหนังสือพร้อมกัน หยุดยืนรออยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านของตน
    
“อ้าว คุณแม่ จะเอาผลไม้อะไรเพิ่มอีกไหมคะ”
    
ยายมองดูผลไม้ที่แม่ซื้อ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ล่ะ แค่นี้ก็เยอะแล้ว”
    
“แม่หายไปไหนมาคะ”
    
“แม่ไปร้านหนังสือกับคุณเอก ได้หนังสือน่าอ่านมาด้วย”
    
“ร้านหนังสือ” แม่ทวนคำด้วยความสงสัย
    
“นี่ลูกไม่รู้เลยหรือ ว่ามีร้านขายหนังสือเก่ามาเปิดอยู่ใกล้ๆ นี้ ขนาด พอ ยังรู้เลย” แม่เป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่ไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของร้านหนังสือฟูลแห่งนั้น
    
รถขายผลไม้ค่อยๆ วิ่งจากไป แม่หันกลับไปมองเป็นครั้งสุดท้าย ในเศษเสี้ยวแห่งวินาทีนั้น แม่ค้าผลไม้แสนสวยที่นั่งอยู่ในกระบะท้ายรถกลับมองเห็นเป็นหญิงชราที่มีใบหน้าเหี่ยวย่นราวกับแม่มด 'ภาพลวงตา' แม่กระพริบตา แล้วรถสีขาวก็เลี้ยวหายไปในยามสนธยา และถ้ามันจะเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากนั้นแม่ก็ไม่เคยได้พบเห็นรถคันนี้อีกเลย
    
ทั้งสามคนยืนพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตน
    
“อย่าคิดมากไปล่ะ”
    
ตาเอกพูดทิ้งท้ายกับคุณยาย ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นไปในทางตรงกันข้ามแน่นอน ยายเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ และรู้สึกแปลกใจเมื่อถูกแม่ตรงเข้ามากอดเอวเอาไว้ ทั้งคู่ต่างมองหน้า ส่งยิ้ม แล้วเดินไปด้วยกัน
    
“หนูรักแม่ค่ะ” แม่กระซิบเบาๆ ยายปั้นหน้าพิลึก แต่สุดท้ายก็กระซิบตอบกลับไปเช่นกัน ทั้งคู่ต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา ก่อนพากันกลับเข้าไปในบ้านแล้วช่วยกันเตรียมอาหารเย็น

#####
    
“กลับบ้านกันเถอะ” อะตอมว่า พร้อมกับเร่งเดินแซงหน้าเพื่อน มุ่งตรงไปยังประตูโรงเรียน
    
“อื้อ” พอ รีบเดินตามไปไม่รอช้า
    
“รอก่อน ฉันไปด้วยคนสิ” เสียงหวานๆ แว่วมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าเล็กๆ ที่ดังราวกับเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจในหน้าอกค่อนไปทางด้านซ้ายของพวกเขา
    
‘ตึก ตัก ตึก ตัก’
    
ทั้งคู่หันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้นพร้อมกัน
    
“พริม” ชื่อนั้นหลุดออกมาจากปากที่ยิ้มไม่หุบของอะตอม เด็กทั้งสามมองหน้ากันไปมา สบตา ยิ้ม หัวเราะ แล้วเดินไปด้วยกัน
    
“ดูเหมือนจะจบลงด้วยดีอย่างที่เธอเคยบอกแล้วสินะ”
    
เสียงทักทายนั้นพุ่งเป้ามาที่ พอ เย็นวันนี้ครูอ้อมคอยทำหน้าที่เป็นครูเวรยืนอยู่ที่ประตูโรงเรียน เด็กทั้งสามรีบยกมือไหว้พร้อมกัน ครูอ้อมรับไหว้แล้วมองดูแต่ละคน โดยเฉพาะอะตอมที่พยายามก้มหน้าหลบสายตาเนื่องจากเรื่องวุ่นวายที่เขาเคยก่อเอาไว้
    
“...เกือบแล้วครับ”
    
คำตอบกำกวมของ พอ ทำให้คิ้วของครูอ้อมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องการผิดใจระหว่างตัวเขากับเพื่อน แต่กำลังคิดไปถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นหลังจากการที่ได้ก้าวเข้าไปในร้านหนังสือประหลาดนั้นต่างหาก
    
'ฉันรู้สึกว่ามันใกล้จะจบลงแล้ว' และแม้จะยังไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ดีเช่นเดิม
    
“พวกเธอเองก็รักกันไว้ให้ดีล่ะ ถึงแม้ว่าอาจจะต้องแยกย้ายกันไปเรียนคนละที่ก็ตาม มิตรภาพนั้นมีคุณค่ามากกว่าที่พวกเธอเข้าใจ”
    
'ฉันเองก็ดูเหมือนจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเด็กๆ พวกนี้เหมือนกัน' อะไรหลายอย่างที่เธออาจหลงลืมไปในระหว่างขบวนการเติบโตขึ้นเพื่อเป็นผู้ใหญ่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่