สวัสดีครับ ผมพึ่งเข้ามาห้องนี้ไม่นาน สักประมาณเกือบๆ เดือนได้ครับ เข้ามาอ่านชีวิตการทำงานของเพื่อนๆ แล้วก็เลยอยากจะเข้ามาแชร์เรื่องของตัวเองบ้างน่ะครับ แล้วก็อยากจะขอคำปรึกษาด้วยครับ ค่อนข้างยาว ขออภัยด้วยนะครับ...
เกริ่นก่อนว่าตอนนี้ผมกำลังจะอายุ 30 เดือนหน้านี้แล้ว เรียนไม่จบ ป.ตรี แค่เกือบๆ จบ แต่ประสบปัญหาทางการเงินจึงไม่สามารถเรียนต่อจนจบได้ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งหลัง ม.รามคำแหง ผมเสียเวลาอยู่ในมหาวิทยาลัย 7 ปี เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง ไม่ชอบ อ. ก็ไม่เข้าเรียน เพราะมัวแต่คิดว่า ครอบครัวบังคับให้เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ก็เรียนได้แค่นี้แหละ อะไรประมาณนี้ (น้องๆ คนไหนที่เจอปัญหาคล้ายๆ กันนี้ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ)
จนมาปีที่ 7 เหลืออยู่อีก 3 วิชา ก็จะจบ แต่เกิดผิดแผน เพราะวิชาที่ติด F ซึ่งเป็นวิชาที่ปิดไปแล้วเพราะเป็นวิชาของหลักสูตรเก่า แล้วผมไปลงเรียนวิชาของหลักสูตรใหม่ ที่แม้แต่ อ. ผู้สอนของวิชาใหม่นี้ก็แจ้งตั้งแต่คลาสแรกแล้วว่า เป็นวิชาที่เอาวิชาของหลักสูตรเก่า 2 วิชามารวมกัน ซึ่งผมก็ลงเรียนวิชาใหม่นี้ไปจนได้ B+ แต่ปรากฎว่า ไม่สามารถเอาไปแทนวิชาเก่าที่ติด F ได้ ผมจึงไม่ผ่านโปรฯ (probation) ครับ ไปขอเข้าพบหัวหน้าคณะ เพื่อขอยื่นต่อโปรฯ แต่เลขาฯ ของท่านก็ไม่ให้เข้าพบ และแจ้งว่าท่านไม่เซ็นต์ต่อโปรฯ ให้ใคร มา 2 ปีแล้ว ให้ผมไป re-enter สถานเดียว (re-enter = ทำเรื่องเข้าเรียนใหม่ โดนโอนหน่วยกิตของเดิมมาครับ) ซึ่งผมมานั่งคิดคำนวณดูแล้ว ผมจะต้องเรียนใหม่อีก 14 วิชา หรือ 2 เทอม แต่ก็เหมือนระเบิดลง เพราะมารู้ว่าที่บ้านไม่มีเงินที่จะส่งเสียเราอีกแล้ว แม้แต่เงินที่จะใช้ในแต่ละวันยังหาลำบาก
ผมเสียเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนานเกินไป ผมเคยมีรถขับไปเรียน มีเงินทำนู่นทำนี่ไร้สาระ จนมาช่วงหลังๆ แม่เริ่มไม่มีเงินให้เราเติมน้ำมัน รถที่เคยใช้ก็ถูกยึดไป และสุดท้ายเงินเกษียณของแม่ผมก็หมดลงพอดีในช่วงที่ผมไม่มีเงินจะเรียนต่อให้จบครับ
ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหางานทำด้วยวุฒิ ปวช. จากโรงเรียนในเครือเดียวกันกับมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ครับ โชคดีที่ว่าสิ่งที่ผมได้ติดตัวมาจากการเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้คือภาษาอังกฤษครับ และผมเคยไปสอบ TOEIC เก็บไว้ และได้คะแนนค่อนข้างดี เลยเก็บไว้เป็นส่วนเสริมในการหางานได้ด้วย โดยงานแรกที่ผมได้ก็คือ งาน call center ครับ ได้ ช.ม. ละ 27 บาท ช่วงโปรฯ ถ้าผ่านโปรฯ ผมจะได้ไปทำส่วนอินเตอร์ฯ คือ รับสายลูกค้าต่างชาติครับ แต่ทำได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็มีโอกาศได้ไปเป็นล่ามที่บริษัทฯ เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเค้าจะมีซัพพลายเออร์มาจากอิตาลี 3 วัน ช่วงสิ้นปีพอดี พอขึ้นปีใหม่ บริษัทฯ นี้ก็เลยให้โอกาศผมเข้าไปทำงานด้วย เลยตัดสินใจลาออกจากงาน call center ครับ
ที่บริษัทฯ ใหม่นี้ เป็นบริษัทฯ เล็กๆ ครับ นำเข้าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ จากอิตาลี แล้วก็จากจีน และเกาหลี เป็นหลักครับ ผมได้เงินเดือนเริ่มต้น 8,000 บาทครับ หน้าที่ผมก็คือ คอยติดต่อกับทางซัพพลายเออร์เหล่านี้, ฟอเวิดเดอร์, ชิปปิ้ง, และ ฯลฯ ครับ แล้วก็ออกบิล และเอกสารต่างๆ และก็ทำงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายครับ ซึ่งตอนที่มาทำแรกๆ ผมท้อมากครับ อยากลาออก เพราะต้องมาดูบัญชี ซึ่งผมเป็นคนที่เกลียดตัวเลขมากๆ แล้วก็ต้องมาใช้โปรแกรมบัญชีที่มีพื้นฐานบนระบบดอส ซึ่งใช้งานยากลำบากมากครับ
ถ้าเป็นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมคงลาออกจากบริษัทนี้ไปแล้ว เพราะผมพูดตามตรงเลยว่า ผมเป็นคนที่เหลาะแหละมาก กลัวนู่นกลัวนี่ ตัดสินใจเองไม่ได้ เพราะไม่เคยต้องตัดสินใจอะไร ครอบครัวตัดสินใจให้ตลอด แต่ว่าคราวนี้ผมหนีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เพราะผมต้องหาเงินมาช่วยที่บ้าน ผมจึงอดทนทำงานที่นี่ต่อครับ แล้วผมก็โชคดีมากที่ซัพพลายเออร์ที่อิตาลีพึ่งเปิดโรงงานใหม่ และได้เชิญให้บริษัทที่ผมทำอยู่ไปร่วมงานฉลองเปิดโรงงานด้วยครับ ซึ่งทั้งบริษัทฯ มีผมเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ (ทั้งบริษัทฯ มีพนักงานไม่ถึง 10 คน รวมแมสเซนเจอร์ แล้วครับ) ผมเลยได้มีโอกาศไปอิตาลีกับเจ้านายผมด้วยครับ ซึ่งเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผมด้วยครับ
การไปอิตาลีในครั้งนี้สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับผมครับ ไปครั้งนี้ไปด้วยตัวเอง ไม่มีบริษัทฯ ทัวร์ หรืออะไรมาช่วยครับ เรื่องตั๋วเครื่องบิน, วีซ่า, โรงแรม ต้องจัดการเองหมด ซึ่งผมก็ได้รับมอบหมายให้จัดการหารายละเอียดการทำวีซ่า, เปรียบเทียบเที่ยวบิน/โรงแรม, ฯลฯ เพื่อเสนอให้เจ้านายตัดสินใจครับ เมื่อก่อนนี้เวลาผมสงสัยอะไร ผมจะไม่ถามครับ จะเก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่กล้าถาม ไม่ทราบเหมือนกันว่ากลัวอะไร เป็นคนเงียบๆ ไม่สื่อสารกับใคร แต่พอไปอิตาลี ผมไม่ถามไม่ได้ครับ เพราะผมเป็นคนเดียวที่สามารถสื่อสารได้ (ไปกัน 3 คนครับ) ถ้าผมไม่ถามไม่พูด ก็คงตายกันอยู่ที่นั่นแน่ๆ เจ้านายก็กดดันตอนขึ้นซับเวย์เพราะพาแกหลงครับ ตอนไปขึ้นรถไฟก็สื่อสารกับ จนท.สถานีรถไฟค่อยรู้เรื่อง เพราะภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีฟังยากมาก ก็กดดันอีกเพราะกลัวพาแกขึ้นรถไฟผิด เดี๋ยวถูกว่าอีก แต่ก็ผ่านมาได้ครับ... ประมาณอาทิตย์หนึ่งที่อิตาลี คุ้มค่ามากๆ ครับสำหรับผม และก็เป็นจุดแรกที่ทำให้ผมสนใจงานบริการบนเครื่องบินครับ
ก็ทำงานอยู่ที่บริษัทฯ แห่งนี้เรื่อยมา จนเจ้านายไว้ใจครับ เพราะสามารถทำแทนแกได้เกือบทุกอย่าง มีเพื่อนชวนไปทำงานด้วย (เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดอีกที) แกก็เลยขึ้นเงินเดือนให้เราอีกสองพันบาทครับ ก็เลยตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อเพราะผมรักที่นี่ครับ ซึ่งต้องเรียนว่าปัจจัยเรื่องเงินสำหรับผมนั้นค่อนข้างมีน้ำหนักมาก เพราะภาระผมเยอะครับ (ภาระในที่นี้หมายถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัวนะครับ ผมไม่มีภาระบัตรผ่อน, หนี้อื่นๆ ครับ) ระหว่างที่ทำงานที่นี่ เจ้านายผมก็เริ่มชวนให้ผมไปเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ของบริษัทครับ เนื่องจากผมลดความอ้วนลงมาได้เยอะ และปรับปรุงบุคลิกภาพตัวเองใหม่หมด เพราะความสนใจในอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเมื่อครั้งไปอิตาลีนั่นแหละครับ แต่ครั้งแรกๆ ก็ปฏิเสธไปเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานเซลล์เพราะเป็นคนเงียบๆ แต่มีความคิดว่าการที่เราจะไปเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เราควรจะฝึกทักษะในการสื่อสารให้มากกว่านี้ เลยเดินไปบอกเจ้านายว่าจะขอเป็นเซลล์ครับ
ประสบการณ์ในการเป็นเซลล์ของผมไม่ได้สวยงามอย่างที่ผมคิดไว้เลยครับ หนึ่ง คือ ผมไม่มีความรู้ในตัวสินค้าที่ขายในเชิงลึกเลยครับ เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยเรียนอะไรพวกนี้มาเลย (ผมเรียนบริหารธุรกิจ เอกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อธุรกิจ โท e-commerce ครับ), สอง คือ ผมไม่ได้เทรนทักษะการเจรจา หรือปิดการขายอย่างลึกซึ้งครับ, และสาม คือ สินค้าที่ผมขาย คู่แข่งเยอะมากครับ ซึ่งสินค้าที่ผมขายเป็นสินค้ามาตรฐานยุโรป แต่บริษัทฯ ส่วนใหญ่ในไทยเป็นบริษัทฯ ญี่ปุ่น ซึ่งเค้าจะใช้แต่สินค้าของญี่ปุ่นครับ... ดังนั้นยอดขายของผมในเดือนแรกไม่ถึงพันบาทด้วยซ้ำครับ นัดลูกค้าก็ไม่ได้ท้อแท้มาก เลยขอกลับไปทำตำแหน่งเดิมครับ และก็ทำต่อมาจนประมาณ 2 ปีกว่า บริษัทเริ่มมีปัญหาจ่ายเงินเดือนช้า และผมมีปัญหาส่วนตัวกับพนักงานอีกคน ประกอบกับเพื่อนผมชวนไปทำงานด้วยอีกโดยเสนอเงินให้มากกว่า เลยตัดสินใจลาออกไปทำกับเพื่อนครับ ซึ่งเจ้านายผมก็ไม่ได้พูดอะไรครับ ยอมให้ผมออกเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ผมมาลาออก ซึ่งผมก็ผิดที่ไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผมถึงลาออก ปล่อยให้เจ้านายผมให้ งง อยู่อย่างนั้น แต่เจ้านายผมก็เสนอว่า ให้ผมเข้ามาช่วยงานอาทิตย์ละ 2 วันได้ไหม? ถือว่าแกจ้างเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งผมก็ตกลงครับ และการตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของผมเลยครับ...
ไปเริ่มงานที่ใหม่ ซึ่งเป็นงานคนละสายเลยครับ เป็นอพาร์ทเมนท์ของเพื่อน โดยหน้าที่หลักก็คือประจำอยู่ที่เคาเตอร์ คอยรับลูกค้า โดยหลักๆ ก็จะเป็นลูกค้าต่างชาติ เพราะไม่มีใครสื่อสารได้ครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ไปเฝ้าอพาร์ทเมนท์นั่นเอง เป็นงานที่สบายมากครับ แทบไม่ต้องใช้สมองในการคิดใดๆ เลย วันๆ ผมก็จะนั่งดูกล้องวงจรปิดครับ ช่วงแรกๆ ผมเศร้ามากครับ รู้สึกคิดผิดมากที่ลาออกจากที่เก่ามา รู้สึกไร้ค่า เหมือนอยู่ไปวันๆ จริงๆ จะมีช่วงที่รู้สึกว่าได้ทำงานจริงๆ ก็คือวันออกบิลค่าเช่าครับ เพราะต้องทำเองคนเดียวหมด ทั้งจดมิเตอร์น้ำ, คำนวณค่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของแต่ละห้อง แต่พอทำงานที่นี่จนเริ่มลงตัว ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วผมชอบงานด้านบริการครับ... เวลาที่มีลูกค้ามาสอบถามห้องพัก พาลูกค้าไปชมห้องตัวอย่าง หรือเวลามีลูกค้าต่างชาติมาเช็คอิน ให้ข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ผมจะชอบมากครับ เพราะรู้สึกเหมือนได้ทำงาน ผมไม่ชอบการนั่งอยู่เฉยๆ เพราะรู้สึกว่าผมไปนั่งกินเงินเดือนบริษัทโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้กับบริษัทเลย แต่ว่าช่วงเวลาที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามามันไม่ได้มีตลอดเวลา ยิ่งเฉพาะวัน จ-ศ ช่วงกลางวันนี่เงียบมากๆ ครับ ก็ผ่านไปประมาณ 7 เดือน เริ่มรู้สึกว่าผมอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผมยังทะเยอทะยาน ผมยังอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากทำอะไรที่มากกว่าการนั่งเฝ้าอพาร์ทเมนท์ ผมจึงเริ่มมองหางานใหม่ครับ ระหว่างนั้นก็ไปสอบ TOEIC ใหม่ เพื่ออัพเดทคะแนน ซึ่งคราวนี้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากครั้งแรกนิดหนึ่งด้วยครับ
ลืมบอกไปครับว่าก่อนที่ผมจะลาออกจากบริษัทฯ เก่าที่เคยเป็นเซลล์ ผมเคยไปวอล์คอินสมัครสายการบิน 5 ดาว แถบตะวันออกกลาง อยู่ 2 ครั้งครับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 ครั้ง ลองกลับมาแก้ไขเรซูเม่แล้วส่งไปใหม่ ก็ได้อีเมลล์ตอบรับให้ไปวอล์คอินที่ภูเก็ตครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ไปครับ แล้วก็ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ไปแต่ก็ผิดหวังอีกเหมือนเดิมครับ แล้วหลังจากนั้นสายการบินนี้ก็หยุดรับสมัครพนักงานต้อนรับชายตั้งแต่นั้นมาครับ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปสมัครสายการบินอื่น คำตอบก็คือ ผมไม่มีวุฒิปริญญาตรี ครับ
ขออนุญาติต่อในความคิดเห็นถัดไปนะครับ...
รบกวนปรึกษาและขอความคิดเห็นครับ ว่าควรทำอย่างไรดี
เกริ่นก่อนว่าตอนนี้ผมกำลังจะอายุ 30 เดือนหน้านี้แล้ว เรียนไม่จบ ป.ตรี แค่เกือบๆ จบ แต่ประสบปัญหาทางการเงินจึงไม่สามารถเรียนต่อจนจบได้ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งหลัง ม.รามคำแหง ผมเสียเวลาอยู่ในมหาวิทยาลัย 7 ปี เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง ไม่ชอบ อ. ก็ไม่เข้าเรียน เพราะมัวแต่คิดว่า ครอบครัวบังคับให้เรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ก็เรียนได้แค่นี้แหละ อะไรประมาณนี้ (น้องๆ คนไหนที่เจอปัญหาคล้ายๆ กันนี้ อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ)
จนมาปีที่ 7 เหลืออยู่อีก 3 วิชา ก็จะจบ แต่เกิดผิดแผน เพราะวิชาที่ติด F ซึ่งเป็นวิชาที่ปิดไปแล้วเพราะเป็นวิชาของหลักสูตรเก่า แล้วผมไปลงเรียนวิชาของหลักสูตรใหม่ ที่แม้แต่ อ. ผู้สอนของวิชาใหม่นี้ก็แจ้งตั้งแต่คลาสแรกแล้วว่า เป็นวิชาที่เอาวิชาของหลักสูตรเก่า 2 วิชามารวมกัน ซึ่งผมก็ลงเรียนวิชาใหม่นี้ไปจนได้ B+ แต่ปรากฎว่า ไม่สามารถเอาไปแทนวิชาเก่าที่ติด F ได้ ผมจึงไม่ผ่านโปรฯ (probation) ครับ ไปขอเข้าพบหัวหน้าคณะ เพื่อขอยื่นต่อโปรฯ แต่เลขาฯ ของท่านก็ไม่ให้เข้าพบ และแจ้งว่าท่านไม่เซ็นต์ต่อโปรฯ ให้ใคร มา 2 ปีแล้ว ให้ผมไป re-enter สถานเดียว (re-enter = ทำเรื่องเข้าเรียนใหม่ โดนโอนหน่วยกิตของเดิมมาครับ) ซึ่งผมมานั่งคิดคำนวณดูแล้ว ผมจะต้องเรียนใหม่อีก 14 วิชา หรือ 2 เทอม แต่ก็เหมือนระเบิดลง เพราะมารู้ว่าที่บ้านไม่มีเงินที่จะส่งเสียเราอีกแล้ว แม้แต่เงินที่จะใช้ในแต่ละวันยังหาลำบาก
ผมเสียเวลาอยู่ที่มหาวิทยาลัยนานเกินไป ผมเคยมีรถขับไปเรียน มีเงินทำนู่นทำนี่ไร้สาระ จนมาช่วงหลังๆ แม่เริ่มไม่มีเงินให้เราเติมน้ำมัน รถที่เคยใช้ก็ถูกยึดไป และสุดท้ายเงินเกษียณของแม่ผมก็หมดลงพอดีในช่วงที่ผมไม่มีเงินจะเรียนต่อให้จบครับ
ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหางานทำด้วยวุฒิ ปวช. จากโรงเรียนในเครือเดียวกันกับมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้ครับ โชคดีที่ว่าสิ่งที่ผมได้ติดตัวมาจากการเรียนมหาวิทยาลัยแห่งนี้คือภาษาอังกฤษครับ และผมเคยไปสอบ TOEIC เก็บไว้ และได้คะแนนค่อนข้างดี เลยเก็บไว้เป็นส่วนเสริมในการหางานได้ด้วย โดยงานแรกที่ผมได้ก็คือ งาน call center ครับ ได้ ช.ม. ละ 27 บาท ช่วงโปรฯ ถ้าผ่านโปรฯ ผมจะได้ไปทำส่วนอินเตอร์ฯ คือ รับสายลูกค้าต่างชาติครับ แต่ทำได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็มีโอกาศได้ไปเป็นล่ามที่บริษัทฯ เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเค้าจะมีซัพพลายเออร์มาจากอิตาลี 3 วัน ช่วงสิ้นปีพอดี พอขึ้นปีใหม่ บริษัทฯ นี้ก็เลยให้โอกาศผมเข้าไปทำงานด้วย เลยตัดสินใจลาออกจากงาน call center ครับ
ที่บริษัทฯ ใหม่นี้ เป็นบริษัทฯ เล็กๆ ครับ นำเข้าอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ จากอิตาลี แล้วก็จากจีน และเกาหลี เป็นหลักครับ ผมได้เงินเดือนเริ่มต้น 8,000 บาทครับ หน้าที่ผมก็คือ คอยติดต่อกับทางซัพพลายเออร์เหล่านี้, ฟอเวิดเดอร์, ชิปปิ้ง, และ ฯลฯ ครับ แล้วก็ออกบิล และเอกสารต่างๆ และก็ทำงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมายครับ ซึ่งตอนที่มาทำแรกๆ ผมท้อมากครับ อยากลาออก เพราะต้องมาดูบัญชี ซึ่งผมเป็นคนที่เกลียดตัวเลขมากๆ แล้วก็ต้องมาใช้โปรแกรมบัญชีที่มีพื้นฐานบนระบบดอส ซึ่งใช้งานยากลำบากมากครับ
ถ้าเป็นสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมคงลาออกจากบริษัทนี้ไปแล้ว เพราะผมพูดตามตรงเลยว่า ผมเป็นคนที่เหลาะแหละมาก กลัวนู่นกลัวนี่ ตัดสินใจเองไม่ได้ เพราะไม่เคยต้องตัดสินใจอะไร ครอบครัวตัดสินใจให้ตลอด แต่ว่าคราวนี้ผมหนีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เพราะผมต้องหาเงินมาช่วยที่บ้าน ผมจึงอดทนทำงานที่นี่ต่อครับ แล้วผมก็โชคดีมากที่ซัพพลายเออร์ที่อิตาลีพึ่งเปิดโรงงานใหม่ และได้เชิญให้บริษัทที่ผมทำอยู่ไปร่วมงานฉลองเปิดโรงงานด้วยครับ ซึ่งทั้งบริษัทฯ มีผมเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ (ทั้งบริษัทฯ มีพนักงานไม่ถึง 10 คน รวมแมสเซนเจอร์ แล้วครับ) ผมเลยได้มีโอกาศไปอิตาลีกับเจ้านายผมด้วยครับ ซึ่งเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผมด้วยครับ
การไปอิตาลีในครั้งนี้สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับผมครับ ไปครั้งนี้ไปด้วยตัวเอง ไม่มีบริษัทฯ ทัวร์ หรืออะไรมาช่วยครับ เรื่องตั๋วเครื่องบิน, วีซ่า, โรงแรม ต้องจัดการเองหมด ซึ่งผมก็ได้รับมอบหมายให้จัดการหารายละเอียดการทำวีซ่า, เปรียบเทียบเที่ยวบิน/โรงแรม, ฯลฯ เพื่อเสนอให้เจ้านายตัดสินใจครับ เมื่อก่อนนี้เวลาผมสงสัยอะไร ผมจะไม่ถามครับ จะเก็บความสงสัยไว้ในใจ ไม่กล้าถาม ไม่ทราบเหมือนกันว่ากลัวอะไร เป็นคนเงียบๆ ไม่สื่อสารกับใคร แต่พอไปอิตาลี ผมไม่ถามไม่ได้ครับ เพราะผมเป็นคนเดียวที่สามารถสื่อสารได้ (ไปกัน 3 คนครับ) ถ้าผมไม่ถามไม่พูด ก็คงตายกันอยู่ที่นั่นแน่ๆ เจ้านายก็กดดันตอนขึ้นซับเวย์เพราะพาแกหลงครับ ตอนไปขึ้นรถไฟก็สื่อสารกับ จนท.สถานีรถไฟค่อยรู้เรื่อง เพราะภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีฟังยากมาก ก็กดดันอีกเพราะกลัวพาแกขึ้นรถไฟผิด เดี๋ยวถูกว่าอีก แต่ก็ผ่านมาได้ครับ... ประมาณอาทิตย์หนึ่งที่อิตาลี คุ้มค่ามากๆ ครับสำหรับผม และก็เป็นจุดแรกที่ทำให้ผมสนใจงานบริการบนเครื่องบินครับ
ก็ทำงานอยู่ที่บริษัทฯ แห่งนี้เรื่อยมา จนเจ้านายไว้ใจครับ เพราะสามารถทำแทนแกได้เกือบทุกอย่าง มีเพื่อนชวนไปทำงานด้วย (เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดอีกที) แกก็เลยขึ้นเงินเดือนให้เราอีกสองพันบาทครับ ก็เลยตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อเพราะผมรักที่นี่ครับ ซึ่งต้องเรียนว่าปัจจัยเรื่องเงินสำหรับผมนั้นค่อนข้างมีน้ำหนักมาก เพราะภาระผมเยอะครับ (ภาระในที่นี้หมายถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัวนะครับ ผมไม่มีภาระบัตรผ่อน, หนี้อื่นๆ ครับ) ระหว่างที่ทำงานที่นี่ เจ้านายผมก็เริ่มชวนให้ผมไปเป็นเซลล์ขายอุปกรณ์ของบริษัทครับ เนื่องจากผมลดความอ้วนลงมาได้เยอะ และปรับปรุงบุคลิกภาพตัวเองใหม่หมด เพราะความสนใจในอาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเมื่อครั้งไปอิตาลีนั่นแหละครับ แต่ครั้งแรกๆ ก็ปฏิเสธไปเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับงานเซลล์เพราะเป็นคนเงียบๆ แต่มีความคิดว่าการที่เราจะไปเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เราควรจะฝึกทักษะในการสื่อสารให้มากกว่านี้ เลยเดินไปบอกเจ้านายว่าจะขอเป็นเซลล์ครับ
ประสบการณ์ในการเป็นเซลล์ของผมไม่ได้สวยงามอย่างที่ผมคิดไว้เลยครับ หนึ่ง คือ ผมไม่มีความรู้ในตัวสินค้าที่ขายในเชิงลึกเลยครับ เพราะตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยเรียนอะไรพวกนี้มาเลย (ผมเรียนบริหารธุรกิจ เอกระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อธุรกิจ โท e-commerce ครับ), สอง คือ ผมไม่ได้เทรนทักษะการเจรจา หรือปิดการขายอย่างลึกซึ้งครับ, และสาม คือ สินค้าที่ผมขาย คู่แข่งเยอะมากครับ ซึ่งสินค้าที่ผมขายเป็นสินค้ามาตรฐานยุโรป แต่บริษัทฯ ส่วนใหญ่ในไทยเป็นบริษัทฯ ญี่ปุ่น ซึ่งเค้าจะใช้แต่สินค้าของญี่ปุ่นครับ... ดังนั้นยอดขายของผมในเดือนแรกไม่ถึงพันบาทด้วยซ้ำครับ นัดลูกค้าก็ไม่ได้ท้อแท้มาก เลยขอกลับไปทำตำแหน่งเดิมครับ และก็ทำต่อมาจนประมาณ 2 ปีกว่า บริษัทเริ่มมีปัญหาจ่ายเงินเดือนช้า และผมมีปัญหาส่วนตัวกับพนักงานอีกคน ประกอบกับเพื่อนผมชวนไปทำงานด้วยอีกโดยเสนอเงินให้มากกว่า เลยตัดสินใจลาออกไปทำกับเพื่อนครับ ซึ่งเจ้านายผมก็ไม่ได้พูดอะไรครับ ยอมให้ผมออกเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ผมมาลาออก ซึ่งผมก็ผิดที่ไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมผมถึงลาออก ปล่อยให้เจ้านายผมให้ งง อยู่อย่างนั้น แต่เจ้านายผมก็เสนอว่า ให้ผมเข้ามาช่วยงานอาทิตย์ละ 2 วันได้ไหม? ถือว่าแกจ้างเดือนละ 3,000 บาท ซึ่งผมก็ตกลงครับ และการตัดสินใจลาออกครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของผมเลยครับ...
ไปเริ่มงานที่ใหม่ ซึ่งเป็นงานคนละสายเลยครับ เป็นอพาร์ทเมนท์ของเพื่อน โดยหน้าที่หลักก็คือประจำอยู่ที่เคาเตอร์ คอยรับลูกค้า โดยหลักๆ ก็จะเป็นลูกค้าต่างชาติ เพราะไม่มีใครสื่อสารได้ครับ พูดง่ายๆ ก็คือ ไปเฝ้าอพาร์ทเมนท์นั่นเอง เป็นงานที่สบายมากครับ แทบไม่ต้องใช้สมองในการคิดใดๆ เลย วันๆ ผมก็จะนั่งดูกล้องวงจรปิดครับ ช่วงแรกๆ ผมเศร้ามากครับ รู้สึกคิดผิดมากที่ลาออกจากที่เก่ามา รู้สึกไร้ค่า เหมือนอยู่ไปวันๆ จริงๆ จะมีช่วงที่รู้สึกว่าได้ทำงานจริงๆ ก็คือวันออกบิลค่าเช่าครับ เพราะต้องทำเองคนเดียวหมด ทั้งจดมิเตอร์น้ำ, คำนวณค่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ของแต่ละห้อง แต่พอทำงานที่นี่จนเริ่มลงตัว ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วผมชอบงานด้านบริการครับ... เวลาที่มีลูกค้ามาสอบถามห้องพัก พาลูกค้าไปชมห้องตัวอย่าง หรือเวลามีลูกค้าต่างชาติมาเช็คอิน ให้ข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ผมจะชอบมากครับ เพราะรู้สึกเหมือนได้ทำงาน ผมไม่ชอบการนั่งอยู่เฉยๆ เพราะรู้สึกว่าผมไปนั่งกินเงินเดือนบริษัทโดยที่ไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้กับบริษัทเลย แต่ว่าช่วงเวลาที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามามันไม่ได้มีตลอดเวลา ยิ่งเฉพาะวัน จ-ศ ช่วงกลางวันนี่เงียบมากๆ ครับ ก็ผ่านไปประมาณ 7 เดือน เริ่มรู้สึกว่าผมอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ผมยังทะเยอทะยาน ผมยังอยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากทำอะไรที่มากกว่าการนั่งเฝ้าอพาร์ทเมนท์ ผมจึงเริ่มมองหางานใหม่ครับ ระหว่างนั้นก็ไปสอบ TOEIC ใหม่ เพื่ออัพเดทคะแนน ซึ่งคราวนี้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากครั้งแรกนิดหนึ่งด้วยครับ
ลืมบอกไปครับว่าก่อนที่ผมจะลาออกจากบริษัทฯ เก่าที่เคยเป็นเซลล์ ผมเคยไปวอล์คอินสมัครสายการบิน 5 ดาว แถบตะวันออกกลาง อยู่ 2 ครั้งครับ แต่ไม่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 ครั้ง ลองกลับมาแก้ไขเรซูเม่แล้วส่งไปใหม่ ก็ได้อีเมลล์ตอบรับให้ไปวอล์คอินที่ภูเก็ตครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ไปครับ แล้วก็ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ไปแต่ก็ผิดหวังอีกเหมือนเดิมครับ แล้วหลังจากนั้นสายการบินนี้ก็หยุดรับสมัครพนักงานต้อนรับชายตั้งแต่นั้นมาครับ หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมผมไม่ไปสมัครสายการบินอื่น คำตอบก็คือ ผมไม่มีวุฒิปริญญาตรี ครับ
ขออนุญาติต่อในความคิดเห็นถัดไปนะครับ...