วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษ ไม่ได้ไปจุ๊กกรูกับใครที่ไหน... เลยมีพี่พันและเพื่อนที่นี่เป็นที่คลายหงิม เอ้ย...เหงา
ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ภาพเก่าในอดีตลงในกระทู้ของน้องคนนึง ทีนี้มันเกิดอาการ " อิน " ไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกถึงนู่นนี่นั่น
จนมาลงเอยที่ "
ห้างแห่งหนึ่ง " ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห้างของผมที่ชื่อ...
สนามหลวง
จากบ้านย่านฝั่งธน พ่อกับแม่พาเราสามพี่น้องนั่งรถเมล์สาย 10 มาต่อสาย 43 แถววงเวียนใหญ่ ลงอีกทีตรงป้าย
รถเมล์ใกล้เสาชิงช้า เดินเลาะๆ ไปตามที่เขาขายสังฆภัณฑ์ พ่อชอบเดินดูของเก่าย่านหลังกระทรวง ( กลาโหม )
แวะทุก ร้าน ...ไม่รู้ดูอะไรนักหนา ( อันนี้ความคิดผม ) สามพี่น้องทำหน้าเซ็ง เมื่อยขาแทบแย่ ยัง...ยังไม่ถึงสนาม
หลวง พ่อพาแวะร้านขายต้นไม้ที่ตั้งอยู่ยาวเหยียดริมคลองหลอด อันนี้ยิ่งเบื่อใหญ่...
สนามหลวงในภาพจำตอนนั้น เป็นห้างกลางแจ้งที่ใหญ่และกว้างมาก มีร้านค้าจิปาถะรายรอบเป็นวงกลม แบ่งเป็น
โซนคล้ายตลาดนัดจตุจักรในวันนี้ "
สวรรค์ " ของผมอยู่ที่ สนามจักรยานที่อยู่ลานดินใจกลางสนามหลวง เรามีร้าน
เช่าเจ้าประจำ เป็นรถสีแดง โคตรเท่เลยตอนนั้น ผมกับน้องชอบเลือกแบบเบาะยาวๆเหมือนรถไอ้มดแดง วี 1 ส่วนพี่
สาวเลือกแบบหญิงๆ สนนราคาบอกตรงๆว่าจำไม่ได้ รู้แต่ว่าถ้าเช่ากี่ชั่วโมงก็ตาม ต้องตรงเวลา ไม่งั้นจะมี " ไอ้โหด "
ออกตามล่าและถือวิสาสะยึดจักรยานคืน ทำเอาเซ็งไปตามๆกัน ช่วงระหว่างที่พวกเราปั่นจักรยาน พ่อกับแม่พากันหนุง
หนิงไปซื้อของ ( ที่นี่ไม่มีอะไรน่าห่วง โจรลักเด็ก หรือ แก๊งขอทาน ไม่เคยมี ) สองชั่วโมงถึงมารับ แล้วพาเดินเล่น และ
ทุกครั้งแม่จะแวะซื้อน้ำพริกแม่ประนอม ที่ตั้งเป็นแผงเล็กๆ กับแกงบอนจากป้าคนนึง เป็นภาคบังคับที่มาทีไรเป็นต้องมีติด
มือติดไม้กลับบ้าน
หิวข้าวแล้ว...พวกเราจะข้ามมาฝั่งแม่พระธรณีบีบมวยผม เรามีร้านข้าวหมูแดงรถเข็นเป็นร้านประจำ ( อยู่ตรงข้ามศาล )
นั่งกินรอบคันรถ ไม่ก็เก้าอีัพับเล็กๆ มือนึงถือจาน อีกมือถือช้อนตักเข้าปาก แม้ผ่านมาหลายสิบปีรสชาติข้าวหมูแดงที่นี่ยัง
ติดอยู่ริมฝีปากของผมอยู่เลยครับ ช่วงที่นั่งพักเหนื่อย พ่อจะไปซื้อหนังสือเก่าๆ ส่วนแม่จะไปซื้อหนังสือนิยาย ผมเคยเดิน
ตามไป และหลายครั้งจะมีหนุ่มรุ่นๆเดินมาถามพ่อ..." โป๊ มั้ย โป๊ " 10 กว่าขวบตอนนั้นยังไม่รู้ความหมาย ( ผิดกับตอนนี้
แยะ ) ที่รู้คือ ไม่ชอบเลย...สาบาน
ก่อนกลับบ้าน พ่อจะพามาเล่นว่าวอีกด้านหนึ่งของสนามหลวง อากาศบ่ายแก่ๆ ลมพัดกำลังดี มีร้านให้ซื้อและยืมว่าวมาก
มายมีทั้งสำเร็จรูปและทำตามที่ต้องการ ลุงแก่ใจดีตั้งเชือกและม้วนเชือกใส่กระป๋องนมตราหมีเก่าๆ สองพี่น้องวิ่งกันหนุกหนาน
โดยมีพี่สาวหน้ามุ่ย เพราะต้องทำหน้าที่เป็นคนคอยส่งว่าว ซึ่งบางทีลอยเลยยอดต้นมะขามแล้วหล่นปุลงพื้นหลายต่อหลาย
ครั้ง กว่าที่จะเหินขึ้นฟ้าให้เราชักอย่างเมามันส์
ไม่อยากกลับบ้าน....รบเร้าทั้งพ่อและแม่แต่ไม่มีใครตามใจ เพราะเราอยู่นี่มาเกือบทั้งวันแล้ว จนท่านต้องบอก อาทิตย์หน้าค่อย
มาใหม่....พวกเราถึงได้หายงอแง แต่แอบเซ็งนิดๆที่กว่าจะได้มาขี่จักรยาน เล่นว่าว ต้องผ่าน " ด่านโหด " นั่นคือการเดินหลัง
กระทรวง และ ดูต้นไม้ริมคลองหลอด อันเป็นภาคบังคับที่จำต้องปฎิบัติตามท่านพ่อทุกครั้ง
...............
พร่ำเพ้ออะไรมาเยอะ ถ้าท่านรำคาญก็ขออภัย ส่วนท่านใดมีอารมณ์ร่วมเพราะอาจจะเคยมีเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่มี
ความหลังกับ " สนามหลวง " แห่งนี้ มาเล่าสู่กันฟังในแง่มุมของท่าน ก็จะเป็นการดี.....
เอวังก็มี ณ ประการฉะนี้

ขอบคุณภาพประกอบจาก kapook.com / fb : bkk bike / toptenthailand.com
" สนามหลวง " ....วันวารอันน่าจดจำ
วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษ ไม่ได้ไปจุ๊กกรูกับใครที่ไหน... เลยมีพี่พันและเพื่อนที่นี่เป็นที่คลายหงิม เอ้ย...เหงา
ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ภาพเก่าในอดีตลงในกระทู้ของน้องคนนึง ทีนี้มันเกิดอาการ " อิน " ไม่มีปี่มีขลุ่ย นึกถึงนู่นนี่นั่น
จนมาลงเอยที่ " ห้างแห่งหนึ่ง " ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง ห้างของผมที่ชื่อ...สนามหลวง
จากบ้านย่านฝั่งธน พ่อกับแม่พาเราสามพี่น้องนั่งรถเมล์สาย 10 มาต่อสาย 43 แถววงเวียนใหญ่ ลงอีกทีตรงป้าย
รถเมล์ใกล้เสาชิงช้า เดินเลาะๆ ไปตามที่เขาขายสังฆภัณฑ์ พ่อชอบเดินดูของเก่าย่านหลังกระทรวง ( กลาโหม )
แวะทุก ร้าน ...ไม่รู้ดูอะไรนักหนา ( อันนี้ความคิดผม ) สามพี่น้องทำหน้าเซ็ง เมื่อยขาแทบแย่ ยัง...ยังไม่ถึงสนาม
หลวง พ่อพาแวะร้านขายต้นไม้ที่ตั้งอยู่ยาวเหยียดริมคลองหลอด อันนี้ยิ่งเบื่อใหญ่...
สนามหลวงในภาพจำตอนนั้น เป็นห้างกลางแจ้งที่ใหญ่และกว้างมาก มีร้านค้าจิปาถะรายรอบเป็นวงกลม แบ่งเป็น
โซนคล้ายตลาดนัดจตุจักรในวันนี้ " สวรรค์ " ของผมอยู่ที่ สนามจักรยานที่อยู่ลานดินใจกลางสนามหลวง เรามีร้าน
เช่าเจ้าประจำ เป็นรถสีแดง โคตรเท่เลยตอนนั้น ผมกับน้องชอบเลือกแบบเบาะยาวๆเหมือนรถไอ้มดแดง วี 1 ส่วนพี่
สาวเลือกแบบหญิงๆ สนนราคาบอกตรงๆว่าจำไม่ได้ รู้แต่ว่าถ้าเช่ากี่ชั่วโมงก็ตาม ต้องตรงเวลา ไม่งั้นจะมี " ไอ้โหด "
ออกตามล่าและถือวิสาสะยึดจักรยานคืน ทำเอาเซ็งไปตามๆกัน ช่วงระหว่างที่พวกเราปั่นจักรยาน พ่อกับแม่พากันหนุง
หนิงไปซื้อของ ( ที่นี่ไม่มีอะไรน่าห่วง โจรลักเด็ก หรือ แก๊งขอทาน ไม่เคยมี ) สองชั่วโมงถึงมารับ แล้วพาเดินเล่น และ
ทุกครั้งแม่จะแวะซื้อน้ำพริกแม่ประนอม ที่ตั้งเป็นแผงเล็กๆ กับแกงบอนจากป้าคนนึง เป็นภาคบังคับที่มาทีไรเป็นต้องมีติด
มือติดไม้กลับบ้าน
หิวข้าวแล้ว...พวกเราจะข้ามมาฝั่งแม่พระธรณีบีบมวยผม เรามีร้านข้าวหมูแดงรถเข็นเป็นร้านประจำ ( อยู่ตรงข้ามศาล )
นั่งกินรอบคันรถ ไม่ก็เก้าอีัพับเล็กๆ มือนึงถือจาน อีกมือถือช้อนตักเข้าปาก แม้ผ่านมาหลายสิบปีรสชาติข้าวหมูแดงที่นี่ยัง
ติดอยู่ริมฝีปากของผมอยู่เลยครับ ช่วงที่นั่งพักเหนื่อย พ่อจะไปซื้อหนังสือเก่าๆ ส่วนแม่จะไปซื้อหนังสือนิยาย ผมเคยเดิน
ตามไป และหลายครั้งจะมีหนุ่มรุ่นๆเดินมาถามพ่อ..." โป๊ มั้ย โป๊ " 10 กว่าขวบตอนนั้นยังไม่รู้ความหมาย ( ผิดกับตอนนี้
แยะ ) ที่รู้คือ ไม่ชอบเลย...สาบาน
ก่อนกลับบ้าน พ่อจะพามาเล่นว่าวอีกด้านหนึ่งของสนามหลวง อากาศบ่ายแก่ๆ ลมพัดกำลังดี มีร้านให้ซื้อและยืมว่าวมาก
มายมีทั้งสำเร็จรูปและทำตามที่ต้องการ ลุงแก่ใจดีตั้งเชือกและม้วนเชือกใส่กระป๋องนมตราหมีเก่าๆ สองพี่น้องวิ่งกันหนุกหนาน
โดยมีพี่สาวหน้ามุ่ย เพราะต้องทำหน้าที่เป็นคนคอยส่งว่าว ซึ่งบางทีลอยเลยยอดต้นมะขามแล้วหล่นปุลงพื้นหลายต่อหลาย
ครั้ง กว่าที่จะเหินขึ้นฟ้าให้เราชักอย่างเมามันส์
ไม่อยากกลับบ้าน....รบเร้าทั้งพ่อและแม่แต่ไม่มีใครตามใจ เพราะเราอยู่นี่มาเกือบทั้งวันแล้ว จนท่านต้องบอก อาทิตย์หน้าค่อย
มาใหม่....พวกเราถึงได้หายงอแง แต่แอบเซ็งนิดๆที่กว่าจะได้มาขี่จักรยาน เล่นว่าว ต้องผ่าน " ด่านโหด " นั่นคือการเดินหลัง
กระทรวง และ ดูต้นไม้ริมคลองหลอด อันเป็นภาคบังคับที่จำต้องปฎิบัติตามท่านพ่อทุกครั้ง
...............
พร่ำเพ้ออะไรมาเยอะ ถ้าท่านรำคาญก็ขออภัย ส่วนท่านใดมีอารมณ์ร่วมเพราะอาจจะเคยมีเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่มี
ความหลังกับ " สนามหลวง " แห่งนี้ มาเล่าสู่กันฟังในแง่มุมของท่าน ก็จะเป็นการดี.....
เอวังก็มี ณ ประการฉะนี้
ขอบคุณภาพประกอบจาก kapook.com / fb : bkk bike / toptenthailand.com