หนังเรื่องนี้เป็นหนังครอบครัวครับ ฟังไม่ผิดครับเป็นหนังครอบครัว แต่ก่อนผมจะบอกเหตุผลทำไมผมฟันธงอย่างนั้นจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนังเรื่องนี้ที่ผ่านมาครับ
กาลครั้งหนึ่งปี 80 ช่วงนั้นมีหนังประเภท good cop bad cop เยอะมากครับคือมีเนื้อเรื่องประมาณตำรวจเป็นพระเอกไล่จับผู้ร้ายที่เด่นๆก็จะมี Lethal weapon หรือ ริคส์ คนมหากาฬ ที่เล่นโดย Mel Gibson ครับ Beverly Hill Cops เล่นโดย Eddie Murphy, ตำรวจจอมแหกกฎอย่าง Cobra ที่เล่นโดย Sylvester Stallone แต่มีหนังเรื่องหนึ่งที่คอบู๊ได้ยินชื่อแล้วต้องรู้จัก 100/100 % ครับคือ Die Hard ที่เล่นโดย Bruce Willis ว่าด้วยตำรวจผู้ประสบปัญหาทางครอบครัว และในหนังดูเหมือนเขาจะต้องทำศึกกับผู้ร้ายบนสถานที่ปิดเช่น ภาคแรก บนตึกระฟ่้า ภาค 2 สนามบิน ภาค 3 ภายในเมืองและหนังได้หายไปช่วงนึง เพราะดูเหมือนเสน่ห์ของหนังจะเหือดหายไป จนมามีภาค 4 ฉายอีกที 2007 ซึ่งผมค่อนข้างชอบในการกลับมาเพราะพระเอกในยุคเก่าต้องต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่นั่นคือเทคโนโลยีครับ และทุกภาคเขาต้องเจอศึก 2 ทัพตลอดมานั่นคือ ศึกที่เขาต้องต่อสู้กับผู้ร้ายและครอบครัวของเขาตลอดเวลา ภาค 1-2 ที่ระหองระแหงกับภรรยาตนเอง ภาค 3 ลุยเดี่ยวเพราะเลิกกับภรรยา ภาค 4 ลุยกับลูกสาวและภาค 5 นี่ลุยกับลูกชาย (ภาคหน้าจะยังไง หลานเหลนหรือเปล่า
เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ดูจะขึ้นอยู่กับผู้ร้ายที่ฉลาดเป็นกรดครับ 2 ภาคแรกนี่พระเอกฉายแววชั่วร้ายโดยไม่ต้องพูดอไรมากครับ Aalan rickman จากภาคแรก และ William Atherton ภาค 2 ครับ) มุขตลกที่สอดแทรกเข้าไปในหนังเท่าที่เป็นไปได้ และฉาก action สุดตระการตาและลุุ้นเอาใจช่วยพระเอกให้รอดแบบไม่ได้หายใจไปเลยครับ
เกริ่นพอละ พอมาภาค 5 หนังพยายามเรียกแฟนเก่าหนังเรื่องนี้กลับมาอีกครั้งในฉากหลายๆฉากของหนังเรื่องนี้ครับ เช่น ฉากสนทนากับคนขับ Taxi (เคยเกิดขึ้นในภาค 1) ปัญหากับสมาชิกในครอบครัวนั่นคือลูกชายที่เหมือนทัศนคติจะไม่ลงรอยกัน โดยลูกชายหันไปเป็นเจ้าหน้าที่ CIA และภายในเรื่องเขาไม่เคยเรียก John Mcclaine ว่า 'พ่อ' เลยครับจะเรียกคำว่า John ตลอด รวมทั้งลูกก็ปฏิเสธวิธีการทำงานของพ่อตลอดเวลานั่นแสดงถึงความไม่เอาใจใส่ของตัวพระเอกเป็นอย่างดี รวมทั้งคำสาป Mcclaine ที่ไปที่ไหนก็เจอแต่เรื่องราวครับ
หนังค่อนข้างอืดๆ จนผมจะหลับมิหลับแหล่ ในช่วงแรกๆแต่พอหนังเข้าช่วง action เล่นเอาผมนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ เพราะ design ฉากบู๊ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ยิ่งช่วงๆหลังๆนี่เล่นเอาคิดว่า "คิดได้ไงหว่า" หนังพยายามหักมุขช่วงท้ายแต่ถ้าเราดูหนังมาเยอะคงจะรู้ว่าใครเป็นตัวร้ายตัวจริงครับ ไม่ได้ทำให้ประทับใจเท่าไหร่
เหตุผลที่ผมบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังครอบครัวเพราะหนังสะท้อนปัญหาครอบครัวที่เกิดกับสังคมปัจจุบันได้อย่างดีครับ คนสมัยนี้มุ่งเน้นไปที่ตัวเองโดยไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของคนในครอบครัว ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่เข้าใจกันเกิด Gap ในสังคม ไม่แปลกใจทำไมวัยรุ่นถึงไปหาความสุขจากสิ่งภายนอกแทนเพราะเขาไม่ได้รับความเติมเต็มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดครับ ไม่เว้นแม้แต่ ครอบครัว Mcclain แต่ช่องว่างนี้ถูกเติมเต็มเมื่อทั้งพ่อลูกต้องเข้าไปผจญภัยร่วมแก้ไขปัญหาร่วมกันครับจนสุดท้ายลูกชายยอมรับพ่อและสามารถเรียก John ว่า'พ่อ' เต็มปากครับ
ทั้งหมดทั้งมวลผมให้หนังเรื่องนี้ 7/10 ครับหลายคนอาจมองที่ action แต่ถ้ามองทะลุสาระที่หนังมอบให้ก็คุ้มค่าที่ได้ดูครับ : )
ดูข่าวหนัง และ review อื่นๆได้ที่
http://moviesitt.blogspot.com
[CR] Review: A good to die hard พ่อลูกใช้เวลาว่างด้วยกัน
กาลครั้งหนึ่งปี 80 ช่วงนั้นมีหนังประเภท good cop bad cop เยอะมากครับคือมีเนื้อเรื่องประมาณตำรวจเป็นพระเอกไล่จับผู้ร้ายที่เด่นๆก็จะมี Lethal weapon หรือ ริคส์ คนมหากาฬ ที่เล่นโดย Mel Gibson ครับ Beverly Hill Cops เล่นโดย Eddie Murphy, ตำรวจจอมแหกกฎอย่าง Cobra ที่เล่นโดย Sylvester Stallone แต่มีหนังเรื่องหนึ่งที่คอบู๊ได้ยินชื่อแล้วต้องรู้จัก 100/100 % ครับคือ Die Hard ที่เล่นโดย Bruce Willis ว่าด้วยตำรวจผู้ประสบปัญหาทางครอบครัว และในหนังดูเหมือนเขาจะต้องทำศึกกับผู้ร้ายบนสถานที่ปิดเช่น ภาคแรก บนตึกระฟ่้า ภาค 2 สนามบิน ภาค 3 ภายในเมืองและหนังได้หายไปช่วงนึง เพราะดูเหมือนเสน่ห์ของหนังจะเหือดหายไป จนมามีภาค 4 ฉายอีกที 2007 ซึ่งผมค่อนข้างชอบในการกลับมาเพราะพระเอกในยุคเก่าต้องต่อสู้กับอาวุธสมัยใหม่นั่นคือเทคโนโลยีครับ และทุกภาคเขาต้องเจอศึก 2 ทัพตลอดมานั่นคือ ศึกที่เขาต้องต่อสู้กับผู้ร้ายและครอบครัวของเขาตลอดเวลา ภาค 1-2 ที่ระหองระแหงกับภรรยาตนเอง ภาค 3 ลุยเดี่ยวเพราะเลิกกับภรรยา ภาค 4 ลุยกับลูกสาวและภาค 5 นี่ลุยกับลูกชาย (ภาคหน้าจะยังไง หลานเหลนหรือเปล่า
เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ดูจะขึ้นอยู่กับผู้ร้ายที่ฉลาดเป็นกรดครับ 2 ภาคแรกนี่พระเอกฉายแววชั่วร้ายโดยไม่ต้องพูดอไรมากครับ Aalan rickman จากภาคแรก และ William Atherton ภาค 2 ครับ) มุขตลกที่สอดแทรกเข้าไปในหนังเท่าที่เป็นไปได้ และฉาก action สุดตระการตาและลุุ้นเอาใจช่วยพระเอกให้รอดแบบไม่ได้หายใจไปเลยครับ
เกริ่นพอละ พอมาภาค 5 หนังพยายามเรียกแฟนเก่าหนังเรื่องนี้กลับมาอีกครั้งในฉากหลายๆฉากของหนังเรื่องนี้ครับ เช่น ฉากสนทนากับคนขับ Taxi (เคยเกิดขึ้นในภาค 1) ปัญหากับสมาชิกในครอบครัวนั่นคือลูกชายที่เหมือนทัศนคติจะไม่ลงรอยกัน โดยลูกชายหันไปเป็นเจ้าหน้าที่ CIA และภายในเรื่องเขาไม่เคยเรียก John Mcclaine ว่า 'พ่อ' เลยครับจะเรียกคำว่า John ตลอด รวมทั้งลูกก็ปฏิเสธวิธีการทำงานของพ่อตลอดเวลานั่นแสดงถึงความไม่เอาใจใส่ของตัวพระเอกเป็นอย่างดี รวมทั้งคำสาป Mcclaine ที่ไปที่ไหนก็เจอแต่เรื่องราวครับ
หนังค่อนข้างอืดๆ จนผมจะหลับมิหลับแหล่ ในช่วงแรกๆแต่พอหนังเข้าช่วง action เล่นเอาผมนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยครับ เพราะ design ฉากบู๊ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา ยิ่งช่วงๆหลังๆนี่เล่นเอาคิดว่า "คิดได้ไงหว่า" หนังพยายามหักมุขช่วงท้ายแต่ถ้าเราดูหนังมาเยอะคงจะรู้ว่าใครเป็นตัวร้ายตัวจริงครับ ไม่ได้ทำให้ประทับใจเท่าไหร่
เหตุผลที่ผมบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังครอบครัวเพราะหนังสะท้อนปัญหาครอบครัวที่เกิดกับสังคมปัจจุบันได้อย่างดีครับ คนสมัยนี้มุ่งเน้นไปที่ตัวเองโดยไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของคนในครอบครัว ไม่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่เข้าใจกันเกิด Gap ในสังคม ไม่แปลกใจทำไมวัยรุ่นถึงไปหาความสุขจากสิ่งภายนอกแทนเพราะเขาไม่ได้รับความเติมเต็มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดครับ ไม่เว้นแม้แต่ ครอบครัว Mcclain แต่ช่องว่างนี้ถูกเติมเต็มเมื่อทั้งพ่อลูกต้องเข้าไปผจญภัยร่วมแก้ไขปัญหาร่วมกันครับจนสุดท้ายลูกชายยอมรับพ่อและสามารถเรียก John ว่า'พ่อ' เต็มปากครับ
ทั้งหมดทั้งมวลผมให้หนังเรื่องนี้ 7/10 ครับหลายคนอาจมองที่ action แต่ถ้ามองทะลุสาระที่หนังมอบให้ก็คุ้มค่าที่ได้ดูครับ : )
ดูข่าวหนัง และ review อื่นๆได้ที่ http://moviesitt.blogspot.com