จากข่าว เดลินิวส์ 22 กพ. นี้ครับ
ผมเห็นด้วยนะ..ว่าที่เสนอมาน่ะเป็นทางออกจริง แต่ในทางกลับกันมันคือการฉ้อฉลรูปแบบหนึ่งนะครับ..ตอนเริ่มกองทุนเหมือนกับคุณให้คอมมิตเมนต์แล้วว่าทุกคนที่จ่ายเข้ากองทุนชราภาพ.พออายุครบ 55 ปีคุณจะได้ผลประโยชน์นู่นนี่นั่น..
มองในแง่ผม ผมจ่ายประกันสังคม (กองทุนชราภาพ) มาตั้งแต่เริ่มทำงานจน 55 รวม 35 ปี.. สมมติผมอายุถึง 70 ปี เท่ากับผมเหลือเวลารับผลประโยชน์ 15 ปี แต่ถ้าเปลี่ยน ผมต้องทำงาน 40 ปีเพื่อรับผลประโยชน์ 10 ปี
แล้วมีอะไรเป็นหลักประกันว่าถ้ารัฐสามารถเปลี่ยนจาก 55 เป็น 60 ได้ จะเปลี่ยนจาก 60 เป็น 65 หรือ 70 ไม่ได้..
สุดท้ายก็คือทำงาน 50 ปี เพื่อไม่ได้อะไรเลย ผมว่ามันไม่ถูกต้องนะครับ..
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
วันที่ 22 ก.พ. พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ รองเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เปิดเผยในเวทีเสวนามโนทัศน์ใหม่ผู้สูงอายุ เรื่อง "ประกันสังคมจาก 55 ปี เป็น 60 ปี กับความมั่นคงทางสังคมแรงงาน" ว่า เนื่องจากแนวโน้มการเคลื่อนย้ายทางประชากรศาสตร์ ของประเทศไทยกลายไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้แนวโน้มการเกษียณอายุของแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพได้ เนื่องจากจำนวนเงินที่แรงงานผู้ประกันตน จ่ายสมทบเข้ากองทุนค่อนข้างน้อย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการจ่างเงินชดเชย จะเห็นว่าไม่สอดคล้องกับจำนวนเงินที่เรียกเก็บ ทำให้ในอนาคตหลังจากที่มีการจ่ายเงินชดเชยผู้ประกันตน ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป อาจจะทำให้กองทุนประกันสังคม เกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่องได้ในอนาคต
พญ.ลัดดา กล่าวว่า ด้วยมูลเหตุและสถานการณ์ในปัจจุบัน ทางมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย จึงได้พยายามผลักดันข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการวิจัยเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณ โดยเฉพาะประเด็นการขยายระยะเวลา ในการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมในให้มากขึ้น เพื่อให้กองทุนยังคงสเถียรภาพ ผ่านการผลักดันการขยายอายุการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรศาสตร์
ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานไทยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีอยู่มากถึง 1 ใน 4 ของจำนวนแรงงานในระบบทั้งหมดในระบบ ดังนั้นหากการกำหนดอายุเกษียณในประเทศไทย ยังเป็นช่วงอายุ 55 ปีในภาคเอกชน และ 60 ปีในภาครัฐบาล จะทำให้ในอนาคตประเทศไทยจะต้องประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรพิจารณาถึงประเด็นการขยายอายุทำงาน พร้อมกับการเพิ่มอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผู้ชราภาพให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ของแรงงานผู้กันตนภายหลังจากเกษียณอายุทำงาน
ดร.เฉลิมพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ยังอ้างอิงตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2553 ที่กำหนดว่าผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปีบริบูรณ์ และได้จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 180 เดือน โดยสามารถขอรับเงินชดเชยได้ เท่ากับร้อยละ 15 ของค่าจ้างเฉลี่ยเดือนสุดท้าย และผลประโยชน์จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1 ถ้าผู้ประกันตนสมทบเงินเพิ่มอีก 12 เดือน หลังจากครบ 180 เดือน หากหลักการจ่ายเงินยังคงเป็นแบบนี้ อนาคตจะกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพได้ เนื่องจากอัตราการจ่ายเงินชดเชย ไม่สอดคล้องกับอัตราที่เรียกเก็บสมทบ
"ขณะนี้ประเทศไทย ยังอ้างอิงการเก็บเงินสมทบตามอายุเกษียณ 50 ปี และ 60 ปี จึงทำระยะเวลาในการเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ไม่เพียงพอกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนให้ผู้ประกันตน ซึ่งหากยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขในจุดนี้ อนาคตช่วงปีงบประมาณ 2588 อาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกองทุนได้"
ดร.เฉลิมพล กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับความเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม ทางคณะทำงานจึงเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยควรพิจารณาขยายอายุการเกิดสิทธิฯ กรณีชราภาพ โดยเฉพาะการเกษียณในภาคเอกชนจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เพื่อเป็นการขยายระยะเวลาการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุน ตามระยะเวลาการขยายอายุการเกิดสิทธิ ขณะเดียวกันทางฝั่งนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบมากขึ้นตามไปด้วย
ดร.อลงกต วรกี สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง กล่าวว่า จากการศึกษาระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการขยายอายุการทำงานไปจนถึงอายุ 66 ปี เนื่องจากประชาชนมีอายุยืนยาวมากขึ้น และอัตราการเกิดต่ำลง พบว่ากลุ่มแรงงานสูงอายุเข้ามาบทบาทมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประเทศไทยควรนำมาปรับใช้ โดยการปรับเปลี่ยนการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุน ให้สอดคล้องกับการขยายอายุการทำงาน
"เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนประกันสังคม ภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนการขยายระยะเวลา ในแง่การจ่ายเงินกองทุนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมมีการกำหนดว่าจ่ายครบ 180 เดือน หรือ จ่ายครบ 15 ปี ผู้จ่ายเงินสมทบมีสิทธิรับเงินบำนาญ แต่หากเป็นเช่นนี้ เงินบำนาญที่ได้รับจะไม่มาก ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย" ดร.อลงกต กล่าว
ด้าน ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากผลการศึกษาวิจัยของสถาบันทีดีอาร์ไอ เรื่องการขยายอายุเกิดสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ของแรงงานในประเทศไทย จาก 55 ปี เป็น 60 ปี ตั้งแต่เมื่อปี 2551 พบว่า ประเด็นการขยายอายุการทำงาน ควรจะเริ่มที่สถานประกอบการขาดใหญ่ก่อน เนื่องจากมีความมั่นคงทางรายได้ ค่าล่วงเวลา และโบนัส และมีอัตราการออมเพื่อเกษียณอายุ โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายลูกจ้างที่มีเงินออมไม่เพียงพอ มีรายได้ไม่สูง และไม่ได้ทำงานในภาคอุตสาหกรรม
ดร.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องปรับแก้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2553 เพื่อขยายอายุเกิดสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ จาก 55 ปี เป็น 60 ปี เช่นเดียวกับประเทศที่อายุประชากรยืนยาว ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกันตน ที่อายุ 55 ปีเป็นต้นไป และยังคงทำงานอยู่ ให้ยังจ่ายเงินสมทบต่อไป ด้วยวิธีการได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้เป็นกรณีพิเศษ หรือควรได้รับการอุดหนุนค่าจ้างให้แก่สถานประกอบการ ที่จ้างแรงงานสูงอายุต่อไป
นักวิชาการแนะทางสว่าง "กองทุนชราภาพ"
ผมเห็นด้วยนะ..ว่าที่เสนอมาน่ะเป็นทางออกจริง แต่ในทางกลับกันมันคือการฉ้อฉลรูปแบบหนึ่งนะครับ..ตอนเริ่มกองทุนเหมือนกับคุณให้คอมมิตเมนต์แล้วว่าทุกคนที่จ่ายเข้ากองทุนชราภาพ.พออายุครบ 55 ปีคุณจะได้ผลประโยชน์นู่นนี่นั่น..
มองในแง่ผม ผมจ่ายประกันสังคม (กองทุนชราภาพ) มาตั้งแต่เริ่มทำงานจน 55 รวม 35 ปี.. สมมติผมอายุถึง 70 ปี เท่ากับผมเหลือเวลารับผลประโยชน์ 15 ปี แต่ถ้าเปลี่ยน ผมต้องทำงาน 40 ปีเพื่อรับผลประโยชน์ 10 ปี
แล้วมีอะไรเป็นหลักประกันว่าถ้ารัฐสามารถเปลี่ยนจาก 55 เป็น 60 ได้ จะเปลี่ยนจาก 60 เป็น 65 หรือ 70 ไม่ได้..
สุดท้ายก็คือทำงาน 50 ปี เพื่อไม่ได้อะไรเลย ผมว่ามันไม่ถูกต้องนะครับ..
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
วันที่ 22 ก.พ. พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ รองเลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เปิดเผยในเวทีเสวนามโนทัศน์ใหม่ผู้สูงอายุ เรื่อง "ประกันสังคมจาก 55 ปี เป็น 60 ปี กับความมั่นคงทางสังคมแรงงาน" ว่า เนื่องจากแนวโน้มการเคลื่อนย้ายทางประชากรศาสตร์ ของประเทศไทยกลายไปเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้แนวโน้มการเกษียณอายุของแรงงานไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพได้ เนื่องจากจำนวนเงินที่แรงงานผู้ประกันตน จ่ายสมทบเข้ากองทุนค่อนข้างน้อย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการจ่างเงินชดเชย จะเห็นว่าไม่สอดคล้องกับจำนวนเงินที่เรียกเก็บ ทำให้ในอนาคตหลังจากที่มีการจ่ายเงินชดเชยผู้ประกันตน ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป อาจจะทำให้กองทุนประกันสังคม เกิดปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่องได้ในอนาคต
พญ.ลัดดา กล่าวว่า ด้วยมูลเหตุและสถานการณ์ในปัจจุบัน ทางมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย จึงได้พยายามผลักดันข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการวิจัยเกี่ยวกับการขยายอายุเกษียณ โดยเฉพาะประเด็นการขยายระยะเวลา ในการจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมในให้มากขึ้น เพื่อให้กองทุนยังคงสเถียรภาพ ผ่านการผลักดันการขยายอายุการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรศาสตร์
ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานไทยที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีอยู่มากถึง 1 ใน 4 ของจำนวนแรงงานในระบบทั้งหมดในระบบ ดังนั้นหากการกำหนดอายุเกษียณในประเทศไทย ยังเป็นช่วงอายุ 55 ปีในภาคเอกชน และ 60 ปีในภาครัฐบาล จะทำให้ในอนาคตประเทศไทยจะต้องประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรพิจารณาถึงประเด็นการขยายอายุทำงาน พร้อมกับการเพิ่มอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมผู้ชราภาพให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ของแรงงานผู้กันตนภายหลังจากเกษียณอายุทำงาน
ดร.เฉลิมพล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ยังอ้างอิงตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2553 ที่กำหนดว่าผู้ประกันตนที่อายุ 55 ปีบริบูรณ์ และได้จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 180 เดือน โดยสามารถขอรับเงินชดเชยได้ เท่ากับร้อยละ 15 ของค่าจ้างเฉลี่ยเดือนสุดท้าย และผลประโยชน์จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1 ถ้าผู้ประกันตนสมทบเงินเพิ่มอีก 12 เดือน หลังจากครบ 180 เดือน หากหลักการจ่ายเงินยังคงเป็นแบบนี้ อนาคตจะกระทบต่อความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพได้ เนื่องจากอัตราการจ่ายเงินชดเชย ไม่สอดคล้องกับอัตราที่เรียกเก็บสมทบ
"ขณะนี้ประเทศไทย ยังอ้างอิงการเก็บเงินสมทบตามอายุเกษียณ 50 ปี และ 60 ปี จึงทำระยะเวลาในการเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ไม่เพียงพอกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืนให้ผู้ประกันตน ซึ่งหากยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแก้ไขในจุดนี้ อนาคตช่วงปีงบประมาณ 2588 อาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกองทุนได้"
ดร.เฉลิมพล กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการหาทางออกให้กับความเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคม ทางคณะทำงานจึงเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยควรพิจารณาขยายอายุการเกิดสิทธิฯ กรณีชราภาพ โดยเฉพาะการเกษียณในภาคเอกชนจาก 55 ปี เป็น 60 ปี เพื่อเป็นการขยายระยะเวลาการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุน ตามระยะเวลาการขยายอายุการเกิดสิทธิ ขณะเดียวกันทางฝั่งนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบมากขึ้นตามไปด้วย
ดร.อลงกต วรกี สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง กล่าวว่า จากการศึกษาระบบบำเหน็จบำนาญของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการขยายอายุการทำงานไปจนถึงอายุ 66 ปี เนื่องจากประชาชนมีอายุยืนยาวมากขึ้น และอัตราการเกิดต่ำลง พบว่ากลุ่มแรงงานสูงอายุเข้ามาบทบาทมากขึ้น โดยเชื่อมโยงกับการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประเทศไทยควรนำมาปรับใช้ โดยการปรับเปลี่ยนการเรียกเก็บเงินสมทบกองทุน ให้สอดคล้องกับการขยายอายุการทำงาน
"เพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนประกันสังคม ภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนการขยายระยะเวลา ในแง่การจ่ายเงินกองทุนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมมีการกำหนดว่าจ่ายครบ 180 เดือน หรือ จ่ายครบ 15 ปี ผู้จ่ายเงินสมทบมีสิทธิรับเงินบำนาญ แต่หากเป็นเช่นนี้ เงินบำนาญที่ได้รับจะไม่มาก ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในประเทศไทย" ดร.อลงกต กล่าว
ด้าน ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า จากผลการศึกษาวิจัยของสถาบันทีดีอาร์ไอ เรื่องการขยายอายุเกิดสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ ของแรงงานในประเทศไทย จาก 55 ปี เป็น 60 ปี ตั้งแต่เมื่อปี 2551 พบว่า ประเด็นการขยายอายุการทำงาน ควรจะเริ่มที่สถานประกอบการขาดใหญ่ก่อน เนื่องจากมีความมั่นคงทางรายได้ ค่าล่วงเวลา และโบนัส และมีอัตราการออมเพื่อเกษียณอายุ โดยเลือกกลุ่มเป้าหมายลูกจ้างที่มีเงินออมไม่เพียงพอ มีรายได้ไม่สูง และไม่ได้ทำงานในภาคอุตสาหกรรม
ดร.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ภาครัฐควรต้องปรับแก้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2553 เพื่อขยายอายุเกิดสิทธิประโยชน์กรณีชราภาพ จาก 55 ปี เป็น 60 ปี เช่นเดียวกับประเทศที่อายุประชากรยืนยาว ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกันตน ที่อายุ 55 ปีเป็นต้นไป และยังคงทำงานอยู่ ให้ยังจ่ายเงินสมทบต่อไป ด้วยวิธีการได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้เป็นกรณีพิเศษ หรือควรได้รับการอุดหนุนค่าจ้างให้แก่สถานประกอบการ ที่จ้างแรงงานสูงอายุต่อไป