ได้อ่านบทความของอาจารย์ วรากรณ์ สามโกเศศ และคิดว่าเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่
ยังไงลองอ่านดูนะคะ
**********************************************************************
อย่าให้ลูกเสียคนเพราะเงิน
การหาเงินของพ่อแม่เพื่อเล้ียงลูกและให้มีการศึกษาท่ีดีตลอดจนสะสมทรัพย์สมบัติให้ลูกก็ว่ายากแล้ว
แต่ท่ียากกว่าน้ันก็คือจะทําอย่างไรให้ลูกสามารถรักษาสมบัติไว้ได้ และมีชีวิตที่มีคุณค่าแก่สังคม
พ่อแม่ท่ีอยู่ในสถานะเช่นน้ีมีอยู่ไม่น้อยในโลกและในบ้านเรา ยิ่งพ่อแม่มีเงินมากเท่าใด ปัญหาก็ย่ิงปวดหัวเท่าน้ัน
เพราะทรัพย์สินท่ีจะทิ้งไว้ให้ลูกมีมาก ลูกก็ต้องมี ความสามารถสูงยิ่งข้ึนในการรักษาสมบัติเหล่านั้น
วิธีทางการเงินและกฎหมายโอนถ่ายทรัพย์สินให้ลูกนั้นมีผู้ให้คําแนะนําไว้มากมายและเป็นเรื่องง่าย
แต่สิ่งที่ยากก็คือจะถ่ายโอนความบากบั่น ขยันหม่ันเพียร ขันแข็งในการทํางาน มีความรอบคอบ มัธยัสถ์รู้จักใช้เงิน
ตลอดจนรู้จักคุณค่าของเงินและการดําเนินชีวิตที่พ่อแม่อยากให้ลูกมีได้อย่างไร
มิใช่แต่เพียงต้องการถ่ายโอนส่ิงเหล่าน้ีเพ่ือให้รักษาสมบัติ ไว้ได้จนถึงช้ันลูกหลานต่อไปเท่าน้ัน
แต่ต้องการให้ลูกมีชีวิตที่มีคุณแค่แก่คนอื่นและมีชีวิตท่ีมีความสุขและมีความหมายด้วย
ชีวิตที่มีความหมาย (Meaningful Life) คือชีวิตท่ีมีความสุขท้ังกายและใจ เป็นชีวิตที่อิ่มเอิบมิใช่มีชีวิตเพ่ือตนเองเท่านั้น
หากมีชีวิตเพ่ือคนอื่นด้วย ไม่เห็นแก่ตัว คิดเข้าข้างตัวเองเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวอย่างปราศจากเหตุผลและวุฒิภาวะ
ชีวิตเช่นนี้ต่อให้พ่อแม่มีเงินท่วมฟ้าก็ไม่สามารถให้ลูกได้ ลูกจะต้องสร้างขึ้นมาเอง
โดยใช้ความคิดความอ่านที่กลั่นมาจากการอบรมเลี้ยงดูในอดีตและการศึกษา
พ่อแม่เศรษฐีจำนวนมากคิดว่าการให้เงินลูกใช้มากๆ แต่ยังเด็กและเมื่อตายไปแล้วก็มอบมรดกมหาศาลไว้ให้แล้วก็จบกัน
ลูกก็จะมีความสุขไปตลอดชีวิตเหมือนความเชื่อแบบไทยๆ ดังสะท้อนในนิยายน้ําเน่าอยู่เนืองๆ
ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ยินเรื่องเล่านานาชาติของ “ช่ัวคนท่ีสาม” ท่ีจะทําให้เงินมลายหายไป
กล่าวคือพ่อในชั่วคนแรกทํางานหนักสะสมเงินทอง ลูกในช่ัวคนท่ีสองยังทันเห็นพ่อแม่ทํางานหนักหาเงินทอง
จึงยังพอรู้จักใช้เงินและเห็นคุณค่าเงิน ถึงแม้ตนเองจะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายก็ตาม แต่เม่ือถึงลูกในช่ัวคนท่ีสาม
ซ่ึงเติบโตมาโดยไม่เห็นการทํางานหนักของพ่อแม่ มีความ “เคารพ” ในเงินน้อยเพราะได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องทํางาน
ขาดแรงจูงใจที่จะทํางานหาเงิน คราวน้ีก็จะใช้เงินอย่าง สนุกและเงินก็จะละลายหายไปหมด
เม่ือกลางปี 2008 Bill Gates ผู้ก่อต้ัง Microsoft ยืนยันว่าจะบริจาคเงินทั้งหมดของเขาประมาณ 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ให้การกุศลแทนท่ีจะให้ลูก 3 คน Warren Buffet ก็ได้ประกาศมอบเงินให้มูลนิธิ Bill Gates เป็นจํานวนร้อยละ 95 ของเงินที่เขามี
ซ่ึงใกล้เคียงกับที่ Bill Gates มี เพราะเขาเช่ือว่าเงินมากๆ จะทําลายลูกเขามากกว่าทําให้ลูกเขามีชีวิตที่มีความหมาย
นักจิตวิทยาบอกว่าสําหรับเงินในตัวของมันเองมิได้ ทําลายลูกเศรษฐี แต่มันทําให้เด็กเหล่าน้ีได้รับเสรีภาพมากเกินไป
กล่าวคือได้ทุกส่ิงท่ีตนปรารถนา และสภาวะนี้แหละนําไปสู่ความรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิที่จะได้มันโดยธรรมชาติจากการเกิดมาเป็นลูก
โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ซ่ึงก็คือความเห็นแก่ตัว และภายใต้ความเห็นแก่ตัวนี้ก็คือ ความรู้สึกไม่มั่นใจในความม่ันคงของตนเอง
กล่าวคือเด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาโดยถามตนเองอยู่เสมอว่าคนอื่นๆ ชอบเขาเพราะฉันมีอะไร หรือ เพราะเป็นตัวฉันจริงๆ
ผู้เช่ียวชาญบอกว่าส่ิงท่ีเด็กเหล่าน้ีจะต้องมีหากจะเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก็คือการพัฒนาอัตลักษณ์ (Identity) ของตนเองขึ้นมา
โดยตัดขาดจากพ่อแม่และ เงินของพ่อแม่
นอกจากปัญหาเหล่านี้แล้ว เด็กจะอ่อนแอเพราะมีคนช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนรถ เลขานุการ บอดี้การ์ด คนใช้ ฯลฯ
คนพวกนี้จะเป็นคนช่วยปัดเป่าแก้ไขปัญหาให้อยู่เสมอ จนท้ายท่ีสุดแล้วตนเองแก้ไขปัญหาไม่เป็นมีชีวิตสนุกสนานอยู่ไปวันๆ อย่างรกโลก
พ่อแม่เศรษฐีของเด็กเหล่าน้ีมักใช้เงินถมหลุมท่ีลูกเดิน เพื่อลูกจะได้ไม่ต้องลําบากแก้ไขปัญหา
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง การแก้ไขปัญหาหลุมบ่อเหล่าน้ีแหละคือ การเรียนรู้ชีวิต
คําถามสําคัญก็คือแล้วพ่อแม่ท่ีพอมีเงินเป็นมรดกให้ลูก ควรทําอย่างไร คําตอบก็คือพ่อแม่ต้องวางรากฐานชีวิตในลักษณะที่ทําให้ลูกรู้ว่า
เงินเป็นส่ิงที่ต้องหามาและต้องดูแลเป็นอย่างดี มันไม่ใช่สิทธิอันเกิดจากการเกิดเป็นลูกคนมีเงิน ที่จะเผาผลาญเงินเล่นอย่างไรก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญแนะนํา 3 ขั้นตอนของการวางรากฐานชีวิต เช่นน้ีคือ
(1) ให้เงินลูกจํากัดจํานวนหนึ่งต่ออาทิตย์หรือ ต่อเดือนเม่ือเริ่มไปโรงเรียน เพ่ือให้เขาเรียนรู้เรื่องของความจำกัด เรียนรู้เรื่องงบประมาณ
รู้จักวางแผนท่ีจะซ้ือสิ่งที่ตนเองต้องการ และประการสําคัญ รู้จักผลัดเล่ือนการได้รับความสุข (Delayed Gratification)
(2) เมื่อลูกโตขึ้นขนาดวัยรุ่นให้ทํางาน เพ่ือจักได้รู้จัก คุณค่าของเงิน รู้ว่าเงินแต่ละบาทท่ีได้มาน้ันยากเย็น เงินไม่ได้ฉกฉวยเอามาได้จากอากาศ
หรือจากพ่อแม่ ฝรั่งบอก ว่า “Earning is Learning” (การหาเงินคือการเรียนรู้) ไม่ควรให้ทํางานในบริษัทของครอบครัว
เพราะจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซ่ึงไม่สอดคล้องกับความจริงของชีวิต
(3) พ่อแม่เป็นซูเปอร์โมเดลของลูกในการสอนให้รู้จักอด ออม รู้จักให้ มีจิตสาธารณะ ซาบซึ้งในบุญคุณ
เด็กทุกคนจะเลียนแบบพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักการให้ ก็อย่าหวังเลยท่ีลูกจะชื่นชมการให้
สุดท้าย “การใช้เงินเป็น” ของพ่อแม่ กล่าวคือรู้จักคิด ไตร่ตรองการใช้เงิน รู้จักมัธยัสถ์ไม่เสียเงินในเร่ืองที่ไม่ควรเสีย
ท้ังหมดนี้เป็นบทเรียนท่ีสาํคัญอย่างยิ่งแก่ลูก อย่าคิดว่าแค่มีเงินมากๆ จะแก้ไขทุกปัญหาของชีวิตได้
เม่ือมีเงินแล้วจะมีแต่ความสะดวกสบาย สบายกาย สบายใจ ความทุกข์ไม่มาเยือน
และอย่าคิดว่ามีเงินให้ลูกมากๆ แล้วจะทำให้ลูกมีความสุขในอนาคต
สะสมเงินให้ลูกในอนาคตสําคัญ แต่ที่สําคัญกว่าคือทํา อย่างไรให้เขามีความสุข และมีชีวิตที่มีความหมายกับเงินที่สะสมไว้ให้เขาด้วย
อาหารสมอง : วีรกร ตรีเศศ ปีที่ 29 ฉบับที่ 1486 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 หน้า 44
อย่าให้ลูกเสียคนเพราะเงิน
ยังไงลองอ่านดูนะคะ
**********************************************************************
อย่าให้ลูกเสียคนเพราะเงิน
การหาเงินของพ่อแม่เพื่อเล้ียงลูกและให้มีการศึกษาท่ีดีตลอดจนสะสมทรัพย์สมบัติให้ลูกก็ว่ายากแล้ว
แต่ท่ียากกว่าน้ันก็คือจะทําอย่างไรให้ลูกสามารถรักษาสมบัติไว้ได้ และมีชีวิตที่มีคุณค่าแก่สังคม
พ่อแม่ท่ีอยู่ในสถานะเช่นน้ีมีอยู่ไม่น้อยในโลกและในบ้านเรา ยิ่งพ่อแม่มีเงินมากเท่าใด ปัญหาก็ย่ิงปวดหัวเท่าน้ัน
เพราะทรัพย์สินท่ีจะทิ้งไว้ให้ลูกมีมาก ลูกก็ต้องมี ความสามารถสูงยิ่งข้ึนในการรักษาสมบัติเหล่านั้น
วิธีทางการเงินและกฎหมายโอนถ่ายทรัพย์สินให้ลูกนั้นมีผู้ให้คําแนะนําไว้มากมายและเป็นเรื่องง่าย
แต่สิ่งที่ยากก็คือจะถ่ายโอนความบากบั่น ขยันหม่ันเพียร ขันแข็งในการทํางาน มีความรอบคอบ มัธยัสถ์รู้จักใช้เงิน
ตลอดจนรู้จักคุณค่าของเงินและการดําเนินชีวิตที่พ่อแม่อยากให้ลูกมีได้อย่างไร
มิใช่แต่เพียงต้องการถ่ายโอนส่ิงเหล่าน้ีเพ่ือให้รักษาสมบัติ ไว้ได้จนถึงช้ันลูกหลานต่อไปเท่าน้ัน
แต่ต้องการให้ลูกมีชีวิตที่มีคุณแค่แก่คนอื่นและมีชีวิตท่ีมีความสุขและมีความหมายด้วย
ชีวิตที่มีความหมาย (Meaningful Life) คือชีวิตท่ีมีความสุขท้ังกายและใจ เป็นชีวิตที่อิ่มเอิบมิใช่มีชีวิตเพ่ือตนเองเท่านั้น
หากมีชีวิตเพ่ือคนอื่นด้วย ไม่เห็นแก่ตัว คิดเข้าข้างตัวเองเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวอย่างปราศจากเหตุผลและวุฒิภาวะ
ชีวิตเช่นนี้ต่อให้พ่อแม่มีเงินท่วมฟ้าก็ไม่สามารถให้ลูกได้ ลูกจะต้องสร้างขึ้นมาเอง
โดยใช้ความคิดความอ่านที่กลั่นมาจากการอบรมเลี้ยงดูในอดีตและการศึกษา
พ่อแม่เศรษฐีจำนวนมากคิดว่าการให้เงินลูกใช้มากๆ แต่ยังเด็กและเมื่อตายไปแล้วก็มอบมรดกมหาศาลไว้ให้แล้วก็จบกัน
ลูกก็จะมีความสุขไปตลอดชีวิตเหมือนความเชื่อแบบไทยๆ ดังสะท้อนในนิยายน้ําเน่าอยู่เนืองๆ
ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้นเลย เราได้ยินเรื่องเล่านานาชาติของ “ช่ัวคนท่ีสาม” ท่ีจะทําให้เงินมลายหายไป
กล่าวคือพ่อในชั่วคนแรกทํางานหนักสะสมเงินทอง ลูกในช่ัวคนท่ีสองยังทันเห็นพ่อแม่ทํางานหนักหาเงินทอง
จึงยังพอรู้จักใช้เงินและเห็นคุณค่าเงิน ถึงแม้ตนเองจะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายก็ตาม แต่เม่ือถึงลูกในช่ัวคนท่ีสาม
ซ่ึงเติบโตมาโดยไม่เห็นการทํางานหนักของพ่อแม่ มีความ “เคารพ” ในเงินน้อยเพราะได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องทํางาน
ขาดแรงจูงใจที่จะทํางานหาเงิน คราวน้ีก็จะใช้เงินอย่าง สนุกและเงินก็จะละลายหายไปหมด
เม่ือกลางปี 2008 Bill Gates ผู้ก่อต้ัง Microsoft ยืนยันว่าจะบริจาคเงินทั้งหมดของเขาประมาณ 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ให้การกุศลแทนท่ีจะให้ลูก 3 คน Warren Buffet ก็ได้ประกาศมอบเงินให้มูลนิธิ Bill Gates เป็นจํานวนร้อยละ 95 ของเงินที่เขามี
ซ่ึงใกล้เคียงกับที่ Bill Gates มี เพราะเขาเช่ือว่าเงินมากๆ จะทําลายลูกเขามากกว่าทําให้ลูกเขามีชีวิตที่มีความหมาย
นักจิตวิทยาบอกว่าสําหรับเงินในตัวของมันเองมิได้ ทําลายลูกเศรษฐี แต่มันทําให้เด็กเหล่าน้ีได้รับเสรีภาพมากเกินไป
กล่าวคือได้ทุกส่ิงท่ีตนปรารถนา และสภาวะนี้แหละนําไปสู่ความรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิที่จะได้มันโดยธรรมชาติจากการเกิดมาเป็นลูก
โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ซ่ึงก็คือความเห็นแก่ตัว และภายใต้ความเห็นแก่ตัวนี้ก็คือ ความรู้สึกไม่มั่นใจในความม่ันคงของตนเอง
กล่าวคือเด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมาโดยถามตนเองอยู่เสมอว่าคนอื่นๆ ชอบเขาเพราะฉันมีอะไร หรือ เพราะเป็นตัวฉันจริงๆ
ผู้เช่ียวชาญบอกว่าส่ิงท่ีเด็กเหล่าน้ีจะต้องมีหากจะเติบโต เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก็คือการพัฒนาอัตลักษณ์ (Identity) ของตนเองขึ้นมา
โดยตัดขาดจากพ่อแม่และ เงินของพ่อแม่
นอกจากปัญหาเหล่านี้แล้ว เด็กจะอ่อนแอเพราะมีคนช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนรถ เลขานุการ บอดี้การ์ด คนใช้ ฯลฯ
คนพวกนี้จะเป็นคนช่วยปัดเป่าแก้ไขปัญหาให้อยู่เสมอ จนท้ายท่ีสุดแล้วตนเองแก้ไขปัญหาไม่เป็นมีชีวิตสนุกสนานอยู่ไปวันๆ อย่างรกโลก
พ่อแม่เศรษฐีของเด็กเหล่าน้ีมักใช้เงินถมหลุมท่ีลูกเดิน เพื่อลูกจะได้ไม่ต้องลําบากแก้ไขปัญหา
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง การแก้ไขปัญหาหลุมบ่อเหล่าน้ีแหละคือ การเรียนรู้ชีวิต
คําถามสําคัญก็คือแล้วพ่อแม่ท่ีพอมีเงินเป็นมรดกให้ลูก ควรทําอย่างไร คําตอบก็คือพ่อแม่ต้องวางรากฐานชีวิตในลักษณะที่ทําให้ลูกรู้ว่า
เงินเป็นส่ิงที่ต้องหามาและต้องดูแลเป็นอย่างดี มันไม่ใช่สิทธิอันเกิดจากการเกิดเป็นลูกคนมีเงิน ที่จะเผาผลาญเงินเล่นอย่างไรก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญแนะนํา 3 ขั้นตอนของการวางรากฐานชีวิต เช่นน้ีคือ
(1) ให้เงินลูกจํากัดจํานวนหนึ่งต่ออาทิตย์หรือ ต่อเดือนเม่ือเริ่มไปโรงเรียน เพ่ือให้เขาเรียนรู้เรื่องของความจำกัด เรียนรู้เรื่องงบประมาณ
รู้จักวางแผนท่ีจะซ้ือสิ่งที่ตนเองต้องการ และประการสําคัญ รู้จักผลัดเล่ือนการได้รับความสุข (Delayed Gratification)
(2) เมื่อลูกโตขึ้นขนาดวัยรุ่นให้ทํางาน เพ่ือจักได้รู้จัก คุณค่าของเงิน รู้ว่าเงินแต่ละบาทท่ีได้มาน้ันยากเย็น เงินไม่ได้ฉกฉวยเอามาได้จากอากาศ
หรือจากพ่อแม่ ฝรั่งบอก ว่า “Earning is Learning” (การหาเงินคือการเรียนรู้) ไม่ควรให้ทํางานในบริษัทของครอบครัว
เพราะจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซ่ึงไม่สอดคล้องกับความจริงของชีวิต
(3) พ่อแม่เป็นซูเปอร์โมเดลของลูกในการสอนให้รู้จักอด ออม รู้จักให้ มีจิตสาธารณะ ซาบซึ้งในบุญคุณ
เด็กทุกคนจะเลียนแบบพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักการให้ ก็อย่าหวังเลยท่ีลูกจะชื่นชมการให้
สุดท้าย “การใช้เงินเป็น” ของพ่อแม่ กล่าวคือรู้จักคิด ไตร่ตรองการใช้เงิน รู้จักมัธยัสถ์ไม่เสียเงินในเร่ืองที่ไม่ควรเสีย
ท้ังหมดนี้เป็นบทเรียนท่ีสาํคัญอย่างยิ่งแก่ลูก อย่าคิดว่าแค่มีเงินมากๆ จะแก้ไขทุกปัญหาของชีวิตได้
เม่ือมีเงินแล้วจะมีแต่ความสะดวกสบาย สบายกาย สบายใจ ความทุกข์ไม่มาเยือน
และอย่าคิดว่ามีเงินให้ลูกมากๆ แล้วจะทำให้ลูกมีความสุขในอนาคต
สะสมเงินให้ลูกในอนาคตสําคัญ แต่ที่สําคัญกว่าคือทํา อย่างไรให้เขามีความสุข และมีชีวิตที่มีความหมายกับเงินที่สะสมไว้ให้เขาด้วย
อาหารสมอง : วีรกร ตรีเศศ ปีที่ 29 ฉบับที่ 1486 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 หน้า 44