(ข่าวเก่า)
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=169442:---7-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
วันนี้ (18 ก.พ.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีการประชุมเรื่องนโยบายและทิศทางของกระทรวงพลังงาน และการติดตามผลการดำเนินงานโครงการลดการใช้พลังงานในภาครัฐ โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานมอบนดยบายและทิศทางการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานและข้าราชการในสังกัด
รมว.พลังงาน กล่าวว่า ได้กำหนดทิศทางและนโยบายในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยเน้นย้ำและให้ความสำคัญมากที่สุด คือความสมดุลทางนโยบายระหว่างการพัฒนาพลังงานที่มีอยู่เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่ออนาคต โดยมีแนวทางนโยบายสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่
1.นโยบาย Energy Bridge ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีชายฝั่ง(Coastline) ทั้ง 2 ด้าน คือ ฝั่งทะเลอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย สามารถใช้จุดแข็งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมระบบการค้าเพื่อพัฒนาประเทศ ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยมีประเทศที่กำลังเติบโตอย่างมาก เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอัฟริกา ส่วนฝั่งตะวันออกก็เป็นทางที่ไปยัง จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ได้ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกลุ่มประเทศ BRICS(Brazil, Russia, India, China and South Africa) ในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นปริมาณน้ำมันที่ผ่านจากศูนย์กลางการผลิตในตะวันออกกลางไปยังศูนย์กลางการบริโภคในเอเชียก็จะสูงขึ้น การพัฒนา Energy Bridge เพื่อเชื่อมโยงการค้าน้ำมันที่ผ่านทางฝั่งทะเลอันดามันมายังฝั่งอ่าวไทยจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันของภูมิภาค รวมถึงจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะต่อยอดตามมา
2.นโยบายกำหนดราคาน้ำมันเท่ากันทั่วประเทศ เป็นนโยบายที่จะมีส่วนในการสร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานให้กับประชาชน โดยจะกำหนดให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเท่ากัน โดยอาศัยท่อขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งที่ปลายท่อฯจะมีคลังน้ำมันทำให้ทุกคนได้ใช้น้ำมันในราคาเดียวกัน
3.นโยบายสำรองเชื้อเพลิงเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในอนาคตกรณีที่น้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขาดแคลน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในรูปแบบการจัดเก็บและการก่อสร้างคลังจัดเก็บน้ำมัน
4.นโยบายการพัฒนาวิสาหกิจพลังงานทดแทนในชุมชน เป็นการผลิตพลังงานจากหญ้าเนเปียร์ซึ่งสนองตอบต่อยุทธศาสตร์ประเทศในทุกๆ ด้าน โดยก่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานมากขึ้น และเป็นการพัฒนาพลังงานทดแทน ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะจะทำให้ประชาชนในภูมิภาคมีรายได้เพิ่มขึ้น เกษตรกรได้ประโยชน์จากการปลูกและขายหญ้าในราคาประกัน ทำให้มีรายได้ที่แน่นอน ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีกว่าพืชเศรษฐกิจหลายชนิด
5.นโยบายการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากภาคเกษตรเพื่อสร้าง New Growth ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายสำคัญของโลก เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เอทานอล นอกจากนี้อ้อยและมันสำปะหลังสามารถนำมาผลิตเป็นไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอนาคต สร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยประมาณ 7 เท่า มูลค่าเพิ่มจากมันประมาณ 5 เท่า และผลปาล์มนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล
6.นโยบายการอนุรักษ์พลังงาน เป็นมิติที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมแข่งขันในกลุ่มประเภทเดียวกัน เพื่อสร้างให้เกิดผู้ประกอบการดีเด่นหรือต้นแบบด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน แนวทางนี้จะก่อให้เกิดการแข่งขันการประหยัดพลังงานในกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยกัน
7.นโยบายการกำกับราคาพลังงานที่ชัดเจนเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) ที่มีการบิดเบือนราคามาเป็นเวลานานหลายสิบปี กระทรวงฯมีกลไกและมาตรการชัดเจนที่จะชดเชยให้กับผู้มีรายได้น้อย ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงานดังกล่าว รวมถึงการเข้มงวดกวดขันไม่ให้มีการลักลอบส่งออก LPG และลักลอบบรรจุผิดประเภท ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ตลอดจนขยายการให้บริการก๊าซธรรมชาติผ่านการขยายสถานีบริการ NGV เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ NGV
รมว.พลังงาน มอบนโยบายและทิศทางการทำงาน 7 ข้อ ( + ภาพโรงงานก๊าซชีวภาพ โรงแรกของเมืองไทย)
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=169442:---7-&catid=176:2009-06-25-09-26-02&Itemid=524
วันนี้ (18 ก.พ.) ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ มีการประชุมเรื่องนโยบายและทิศทางของกระทรวงพลังงาน และการติดตามผลการดำเนินงานโครงการลดการใช้พลังงานในภาครัฐ โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานมอบนดยบายและทิศทางการทำงานให้แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานและข้าราชการในสังกัด
รมว.พลังงาน กล่าวว่า ได้กำหนดทิศทางและนโยบายในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยเน้นย้ำและให้ความสำคัญมากที่สุด คือความสมดุลทางนโยบายระหว่างการพัฒนาพลังงานที่มีอยู่เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่ออนาคต โดยมีแนวทางนโยบายสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่
1.นโยบาย Energy Bridge ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีชายฝั่ง(Coastline) ทั้ง 2 ด้าน คือ ฝั่งทะเลอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย สามารถใช้จุดแข็งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมระบบการค้าเพื่อพัฒนาประเทศ ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยมีประเทศที่กำลังเติบโตอย่างมาก เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และอัฟริกา ส่วนฝั่งตะวันออกก็เป็นทางที่ไปยัง จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ได้ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกลุ่มประเทศ BRICS(Brazil, Russia, India, China and South Africa) ในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นปริมาณน้ำมันที่ผ่านจากศูนย์กลางการผลิตในตะวันออกกลางไปยังศูนย์กลางการบริโภคในเอเชียก็จะสูงขึ้น การพัฒนา Energy Bridge เพื่อเชื่อมโยงการค้าน้ำมันที่ผ่านทางฝั่งทะเลอันดามันมายังฝั่งอ่าวไทยจะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันของภูมิภาค รวมถึงจะก่อให้เกิดอุตสาหกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่จะต่อยอดตามมา
2.นโยบายกำหนดราคาน้ำมันเท่ากันทั่วประเทศ เป็นนโยบายที่จะมีส่วนในการสร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานให้กับประชาชน โดยจะกำหนดให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเท่ากัน โดยอาศัยท่อขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งที่ปลายท่อฯจะมีคลังน้ำมันทำให้ทุกคนได้ใช้น้ำมันในราคาเดียวกัน
3.นโยบายสำรองเชื้อเพลิงเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในอนาคตกรณีที่น้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขาดแคลน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในรูปแบบการจัดเก็บและการก่อสร้างคลังจัดเก็บน้ำมัน
4.นโยบายการพัฒนาวิสาหกิจพลังงานทดแทนในชุมชน เป็นการผลิตพลังงานจากหญ้าเนเปียร์ซึ่งสนองตอบต่อยุทธศาสตร์ประเทศในทุกๆ ด้าน โดยก่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานมากขึ้น และเป็นการพัฒนาพลังงานทดแทน ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะจะทำให้ประชาชนในภูมิภาคมีรายได้เพิ่มขึ้น เกษตรกรได้ประโยชน์จากการปลูกและขายหญ้าในราคาประกัน ทำให้มีรายได้ที่แน่นอน ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีกว่าพืชเศรษฐกิจหลายชนิด
5.นโยบายการพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากภาคเกษตรเพื่อสร้าง New Growth ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายสำคัญของโลก เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เอทานอล นอกจากนี้อ้อยและมันสำปะหลังสามารถนำมาผลิตเป็นไบโอพลาสติก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอนาคต สร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยประมาณ 7 เท่า มูลค่าเพิ่มจากมันประมาณ 5 เท่า และผลปาล์มนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล
6.นโยบายการอนุรักษ์พลังงาน เป็นมิติที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมแข่งขันในกลุ่มประเภทเดียวกัน เพื่อสร้างให้เกิดผู้ประกอบการดีเด่นหรือต้นแบบด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน แนวทางนี้จะก่อให้เกิดการแข่งขันการประหยัดพลังงานในกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยกัน
7.นโยบายการกำกับราคาพลังงานที่ชัดเจนเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม(LPG) ที่มีการบิดเบือนราคามาเป็นเวลานานหลายสิบปี กระทรวงฯมีกลไกและมาตรการชัดเจนที่จะชดเชยให้กับผู้มีรายได้น้อย ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อนจากการปรับโครงสร้างราคาพลังงานดังกล่าว รวมถึงการเข้มงวดกวดขันไม่ให้มีการลักลอบส่งออก LPG และลักลอบบรรจุผิดประเภท ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ตลอดจนขยายการให้บริการก๊าซธรรมชาติผ่านการขยายสถานีบริการ NGV เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ NGV