ปวดตับ! เมื่อผมศึกษาเรื่อง "การทำธุรกิจ การออม การลงทุน" เพื่อนด่า_ทำไมไม่รู้จักอยู่แบบเรียบง่าย พอเพียง

ผมเลยตอบมันกลับไปว่า

"ก็เพราะว่ากรูอยากอยู่แบบเรียบง่าย พอเพียงนี่ไง ถึงต้องศึกษาเรื่องการทำธุรกิจ การออม การลงทุน
ถ้ากรูไม่ปฏิบัติ หรือปฏิบัติโดยไม่ศึกษานี่สิ รับรอง ในอนาคตชีวิตกรูได้ยุ่งยากแน่"

มันก็ตอบผมกลับมาว่า
"ว่างๆลองไปศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงดูนะ พอเมื่อไหร่ ชีวิตก็สุขเมื่อนั้น ไม่ต้องดิ้นรนอะไร
ดูอย่างกรูนี่ ตื่นเช้ามากรูก็ทำไร่ทำสวนไว้กินเอง สายๆกรูก็ไปตกปลา ชีวิตกรูมีความสุข สบายจะตาย เงินทองไม่จำเป็นเลยสำหรับกรู"

ซึ่งผมก็ได้ศึกษาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาพอสมควร
ผมคิดว่า สิ่งที่เพื่อนผมกำลังทำอยู่นั้น คือ "เกษตรทฤษฎีใหม่" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ครับ
แต่ก็ไม่ได้เป็นทั้งหมดทั้งมวลของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ท่านแนะนำวิธีการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ให้กับเกษตรกร แต่ท่านก็ทรงย้ำอีกว่า เกษตรกรก็ยังคงต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
และ "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเรื่องของทุกๆคน

ผมว่าเพื่อนผมมันคงจะเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจพอเพียง" ที่ในหลวงทรงตรัสเสียแล้วครับ
มันคงตีความหมายของคำว่า "พอเพียง" ไปเป็น "พอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ต้องกลับไปปลูกผัก ทำนาเท่านั้น ถึงจะพอเพียง"
แถมมันยังไม่เก็บเงินเก็บทองหรือทรัพย์สินใดๆไว้เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือเพื่ออนาคตด้วย

ตอนนั้นในกระเป๋าผมมีเอกสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงอยู่พอดี
ผมจึงยื่นพระราชดำรัสด้านล่างนี้ไปให้เพื่อนผมอ่าน

พระราชดำรัสเกี่ยวกับ "เศรษฐกิจพอเพียง"



  “...ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียงความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือทำจากรายได้ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียง คือทำเป็น Self-Sufficiency มันไม่ใช่ความหมายไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...”

พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล
๑๗ มกราคม ๒๕๔๔



และในกระดาษนั้น ก็มีรูปนี้ด้วยครับ



เพื่อนผมมันก็ยังไม่พูดอะไร แถมมันยังด่าผมกลับมาอีกว่าผมเป็นพวกโลภ ไม่รู้จักพอเพียง

เฮ้อ! ผมหละเหนื่อยกับเพื่อนผมจริงๆครับ

ป.ล. เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยประถมแล้วนะครับ ไม่ได้เจอกันจะร่วม 10 ปีแล้ว
เจอกันปุ๊ป มันเห็นผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนอยู่ จึงเกิดบทสนทนา ดังที่ผมได้เล่าไปนี่หละครับ

** แก้ไขคำที่พิมพ์ผิดครับ **
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่