เพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือของข้าพเจ้านัดกันมาหา 2 คน ตั้งใจจะมานอนคุยกันให้หายคิดถึงว่าที่ผ่านมาเนิ่นนานใครเป็นยังไงกันบ้าง ข้าพเจ้าดีใจเป็นนักหนากับการมาเยือนของเพื่อนในครั้งนี้ จึงจัดเตรียมเหล้ายาปลาปิ้งและกับแกล้มอย่างเพียบแป้รรอต้อนรับ
เมื่อเพื่อนเดินทางมาถึง เราต่างทักทายหยอกล้อกันเหมือนเด็กๆด้วยความดีใจที่ได้พบ ต่างคนต่างคุยกันจ้อมิได้ขาดปาก กิ๊วก๊าวกันใหญ่ ครั้นพอตกค่ำ ข้าพเจ้าก็เปิดแอร์ในห้องรับรองของข้าพเจ้า แล้วชวนกันทอดกายลงนอนเรียงรายรอบวง เหมือนเมื่อตอนเราอยู่หอด้วยกันสมัยเรียน สุราอาหารอยู่กลางวง บรรยากาศอบอวลด้วยไออุ่นแห่งมิตรภาพและความหลัง
มีคำกล่าวว่า การเมืองและศาสนาไม่สมควรนำมาถกในวงสุรา แต่เมื่อดีกรีสุกงอม เจ้าเพื่อนคนแรกดันเป็นผู้ทำลายกฏเกณฑ์นี้ อยู่ดีๆ ไม่ทราบว่าเราไปสะกิดต่อมอะไรของเขาเข้า จู่ๆเขาก็ด่าขึ้นด้วยเสียงอันดัง
"ไอ้รัฐบาลนี้มันโง่ บ้านเมืองถึงได้แย่ยังงี้ อีกไม่นานก็คงล้มละลายทางเศรษฐกิจ...ว่ามั้ย?"
"......." เพื่อนๆงง
"ทำไมเงียบกันไป คิดเหมือนกูใช่มั้ย?" มันย้ำเมื่อเห็นเพื่อนๆนิ่งไป
เมื่อประจักษ์ว่าเพื่อนรักเป็นสลิ่มไปแล้วหนึ่งตน ข้าพเจ้ารู้สึกนิ่งอั้น ไม่รู้จะคุยเรื่องการเมืองกับมันยังไงดี ถึงคุยไปให้เหตุผลยังไงไป ท่าทางมันต้อง ignorance แน่นอน และข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ แต่ทันใดนั้น เจ้าเพื่อนอีกคนซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยก็เอ่ยถามขึ้น
" อะไรทำให้คิดว่าเขาโง่วะ?"
ข้าพเจ้าดีใจจริงๆที่เจ้าคนสองเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ นึกในใจ 'อ๊ะ.. ไอ่นี่มีแววเว้ย'
แล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นดีเบตกันอย่างเมามััน ข้าพเจ้าได้แต่คอยทำตลกเป็นระยะๆมันจะได้ไม่เครียด กลัวมันจะต่อยกันน่ะ ฟังมันถกกัน สรุปมันก็เรื่องเดิมๆชนิดที่ 2 คนยลตามช่อง
เรื่องน้ำท่วม ช้ำกันไม่จบจนป่านนี้ โง่แท้ๆ บอกมาได้ว่าเอาอยู่ๆ...
เรื่องแทบเล๊ต เสียมากกว่าได้เห็นๆ ป่านนี้เป็นไงล่ะ เงียบไปแล้วเห็นไหม ดีจริงทำต่อสิฟะ...
เรื่องจำนำข้าว ซื้อเสียงชาวนาจนตลาดพังวายป่วง และปล้นเงินคนชั้นกลางไปให้คนจนนี่หว่า...
เรื่องรถคันแรก ยิ่งโง่ รถยิ่งติดบรรลัยจักร ยังจะให้มันลงมาวิ่งเพิ่มเข้าไปอีก...
รัฐประหารน่ะมัน ok ถ้ามันจะทำให้เรารอดพ้นและไปต่อได้ ดีกว่าปล่อยให้บ้านเมืองพินาศ...
ข้าพเจ้าทำตัวเป็น"สรยุทธ์" ไม่เข้าข้างใครเต็มๆ แต่มีแอบเสี้ยมนิดหน่อยเพื่อความมันส์ แต่ถ้าใครอัดเทบไปกรอดูก็จะรู้ว่าข้าพเจ้าน่ะอยู่ฝั่งไหน เจ้าเพื่อนคนหลังมองตาข้าพเจ้าแล้วรู้ดี ส่วนเพื่อนสลิ่มมันไม่รู้ มันมองตาข้าพเจ้าไม่ออก
โชคยังดีที่มิตรภาพของเราแน่นแฟ้นและไปไกลเกินกว่าจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้ ผลการดีเบตจึงลงเอยแบบเสมอๆ ไม่มีใครเอาเป็นเอาตายกัน กระนั้นการครั้งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่าการแตกแยกทางความคิดได้กระจายวงกว้างไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย เพื่อนรักของข้าพเจ้าซึ่งมีโปรไฟล์เหมือนกันทุกประการ กลับมีแนวความคิดแตกต่างกันไปคนละขั้ว ว่าที่จริงแม้แต่ในครอบครัวของข้าพเจ้าเองยังคิดไม่เหมือนกันเลย
พ่อและพี่สาวข้าพเจ้าเป็นสลิ่มเต็มตัว(ชอบ ปชป เชียร์ พธม.)
แต่ข้าพเจ้าและแม่เชียร์เพื่อไทยและเสื้อแดง
คนข้างกายของข้าพเจ้าเองเมื่อก่อนนี้ก็โปรปชป. แต่อาศัยที่ข้าพเจ้านอนเป่าข้างหูอยู่ทุกคืนวัน เดี๋ยวนี้เธอหันมาเห็นดีเห็นงามแบบเดียวกับข้าพเจ้าเป็นปี่เป็นขลุ่ย และมักหงุดหงิดเวลาเห็นพี่มาร์คทำหน้าประหลับประเหลือกออกทีวี
เพื่อนข้าพเจ้ากลับไป 3-4 วันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังนอนคิดถึงพวกมัน โดยเฉพาะไอ้เพื่อนสลิ่ม ขนาดมันเป็นเพื่อนรักของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ายังไม่มีปัญญาที่จะแสดงตัวและอธิบายความตามแง่มุมของข้าพเจ้าเอง คือข้าพเจ้ามีความรู้สึกในใจว่ามัน"ได้ยินแต่ไม่ฟัง"
นี่ขนาดคนที่เป็นเพื่อนกันมาเกือบ 20 ปียังไม่ฟังกัน
นี่ขนาดคนในครอบครัว รักกันจะตายยังไม่ฟังกัน
แล้วประสาอะไรกับพวกเราในเวบที่เอาเข้าจริงก็คงไม่มีใครฟังใคร
แต่อย่างน้อยข้าพเจ้า ครอบครัว และเพื่อนข้าพเจ้า มีสิ่งหนึ่งที่ยังยึดโยงให้เราอยู่ด้วยกันได้ นั่นคือ...ความรัก
ขออภัย...กดเบียร์ไปหลายป๋องแก้เหนื่อยเลยเพ้อรำพันไปนิดจ้า คิดซะว่าแก้เครียดเด้อ
เรื่องเล่าเคล้ากระป๋องเบียร์
เมื่อเพื่อนเดินทางมาถึง เราต่างทักทายหยอกล้อกันเหมือนเด็กๆด้วยความดีใจที่ได้พบ ต่างคนต่างคุยกันจ้อมิได้ขาดปาก กิ๊วก๊าวกันใหญ่ ครั้นพอตกค่ำ ข้าพเจ้าก็เปิดแอร์ในห้องรับรองของข้าพเจ้า แล้วชวนกันทอดกายลงนอนเรียงรายรอบวง เหมือนเมื่อตอนเราอยู่หอด้วยกันสมัยเรียน สุราอาหารอยู่กลางวง บรรยากาศอบอวลด้วยไออุ่นแห่งมิตรภาพและความหลัง
มีคำกล่าวว่า การเมืองและศาสนาไม่สมควรนำมาถกในวงสุรา แต่เมื่อดีกรีสุกงอม เจ้าเพื่อนคนแรกดันเป็นผู้ทำลายกฏเกณฑ์นี้ อยู่ดีๆ ไม่ทราบว่าเราไปสะกิดต่อมอะไรของเขาเข้า จู่ๆเขาก็ด่าขึ้นด้วยเสียงอันดัง
"ไอ้รัฐบาลนี้มันโง่ บ้านเมืองถึงได้แย่ยังงี้ อีกไม่นานก็คงล้มละลายทางเศรษฐกิจ...ว่ามั้ย?"
"......." เพื่อนๆงง
"ทำไมเงียบกันไป คิดเหมือนกูใช่มั้ย?" มันย้ำเมื่อเห็นเพื่อนๆนิ่งไป
เมื่อประจักษ์ว่าเพื่อนรักเป็นสลิ่มไปแล้วหนึ่งตน ข้าพเจ้ารู้สึกนิ่งอั้น ไม่รู้จะคุยเรื่องการเมืองกับมันยังไงดี ถึงคุยไปให้เหตุผลยังไงไป ท่าทางมันต้อง ignorance แน่นอน และข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ แต่ทันใดนั้น เจ้าเพื่อนอีกคนซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยก็เอ่ยถามขึ้น
" อะไรทำให้คิดว่าเขาโง่วะ?"
ข้าพเจ้าดีใจจริงๆที่เจ้าคนสองเอ่ยขึ้นมาแบบนี้ นึกในใจ 'อ๊ะ.. ไอ่นี่มีแววเว้ย'
แล้วทั้งคู่ก็เริ่มต้นดีเบตกันอย่างเมามััน ข้าพเจ้าได้แต่คอยทำตลกเป็นระยะๆมันจะได้ไม่เครียด กลัวมันจะต่อยกันน่ะ ฟังมันถกกัน สรุปมันก็เรื่องเดิมๆชนิดที่ 2 คนยลตามช่อง
เรื่องน้ำท่วม ช้ำกันไม่จบจนป่านนี้ โง่แท้ๆ บอกมาได้ว่าเอาอยู่ๆ...
เรื่องแทบเล๊ต เสียมากกว่าได้เห็นๆ ป่านนี้เป็นไงล่ะ เงียบไปแล้วเห็นไหม ดีจริงทำต่อสิฟะ...
เรื่องจำนำข้าว ซื้อเสียงชาวนาจนตลาดพังวายป่วง และปล้นเงินคนชั้นกลางไปให้คนจนนี่หว่า...
เรื่องรถคันแรก ยิ่งโง่ รถยิ่งติดบรรลัยจักร ยังจะให้มันลงมาวิ่งเพิ่มเข้าไปอีก...
รัฐประหารน่ะมัน ok ถ้ามันจะทำให้เรารอดพ้นและไปต่อได้ ดีกว่าปล่อยให้บ้านเมืองพินาศ...
ข้าพเจ้าทำตัวเป็น"สรยุทธ์" ไม่เข้าข้างใครเต็มๆ แต่มีแอบเสี้ยมนิดหน่อยเพื่อความมันส์ แต่ถ้าใครอัดเทบไปกรอดูก็จะรู้ว่าข้าพเจ้าน่ะอยู่ฝั่งไหน เจ้าเพื่อนคนหลังมองตาข้าพเจ้าแล้วรู้ดี ส่วนเพื่อนสลิ่มมันไม่รู้ มันมองตาข้าพเจ้าไม่ออก
โชคยังดีที่มิตรภาพของเราแน่นแฟ้นและไปไกลเกินกว่าจะมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้ ผลการดีเบตจึงลงเอยแบบเสมอๆ ไม่มีใครเอาเป็นเอาตายกัน กระนั้นการครั้งนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่าการแตกแยกทางความคิดได้กระจายวงกว้างไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมไทย เพื่อนรักของข้าพเจ้าซึ่งมีโปรไฟล์เหมือนกันทุกประการ กลับมีแนวความคิดแตกต่างกันไปคนละขั้ว ว่าที่จริงแม้แต่ในครอบครัวของข้าพเจ้าเองยังคิดไม่เหมือนกันเลย
พ่อและพี่สาวข้าพเจ้าเป็นสลิ่มเต็มตัว(ชอบ ปชป เชียร์ พธม.)
แต่ข้าพเจ้าและแม่เชียร์เพื่อไทยและเสื้อแดง
คนข้างกายของข้าพเจ้าเองเมื่อก่อนนี้ก็โปรปชป. แต่อาศัยที่ข้าพเจ้านอนเป่าข้างหูอยู่ทุกคืนวัน เดี๋ยวนี้เธอหันมาเห็นดีเห็นงามแบบเดียวกับข้าพเจ้าเป็นปี่เป็นขลุ่ย และมักหงุดหงิดเวลาเห็นพี่มาร์คทำหน้าประหลับประเหลือกออกทีวี
เพื่อนข้าพเจ้ากลับไป 3-4 วันแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังนอนคิดถึงพวกมัน โดยเฉพาะไอ้เพื่อนสลิ่ม ขนาดมันเป็นเพื่อนรักของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ายังไม่มีปัญญาที่จะแสดงตัวและอธิบายความตามแง่มุมของข้าพเจ้าเอง คือข้าพเจ้ามีความรู้สึกในใจว่ามัน"ได้ยินแต่ไม่ฟัง"
นี่ขนาดคนที่เป็นเพื่อนกันมาเกือบ 20 ปียังไม่ฟังกัน
นี่ขนาดคนในครอบครัว รักกันจะตายยังไม่ฟังกัน
แล้วประสาอะไรกับพวกเราในเวบที่เอาเข้าจริงก็คงไม่มีใครฟังใคร
แต่อย่างน้อยข้าพเจ้า ครอบครัว และเพื่อนข้าพเจ้า มีสิ่งหนึ่งที่ยังยึดโยงให้เราอยู่ด้วยกันได้ นั่นคือ...ความรัก
ขออภัย...กดเบียร์ไปหลายป๋องแก้เหนื่อยเลยเพ้อรำพันไปนิดจ้า คิดซะว่าแก้เครียดเด้อ