บทที่ 2
ร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารดูจะเริ่มหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อเครื่องนั้นเกิดงอแงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เฮ้ย!เป็นไรวะ ยิ่งรีบๆอยู่นะโว้ย”
กรกฎตบเครื่องถ่ายเอกสารดังปังเมื่อไม่ได้ดังใจ ร้อนถึงสตรีร่างท้วมผิวพุทธายังสุกไม่ได้ที่ ต้องรีบลุกจากโต๊ะทำงานมาห้ามศึกก่อนจะเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่
“เดี๋ยวๆพี่ปูจ๋าใจเย็นๆสิจ๊ะ เครื่องถ่ายเอกสารวันนี้อาจจะสลึมสลือนิดหนึ่ง..เมื่อคืนคงจะปาร์ตี้หนักไปหน่อย”
ตวงตาดึงแขนอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกมา หล่อนดึงถาดกระดาษออกอย่างคล่องแคล่ว ด้วยใช้งานอยู่ทุกวันจึงรู้ว่า ‘ปัญหา’ อยู่ตรงไหน
“เออ…เก่งวะ...รู้งี้ใช้ไอ้ตาถ่ายให้เสียแต่แรกก็ดี”
ชายหนุ่มเอ่ยชมดวงหน้าคมค่อยคลายปมยุ่งลง พลางรับเอกสารแผ่นเจ้าปัญหาจากมืออีกฝ่าย
“แล้วก็ไม่บอกนึกว่าแน่ เห็นเดินรี่เข้าไปถึงก็กดเลย” หญิงสาวพูดพลางค้อนให้วงใหญ่
“ก็ทุกวันไม่เห็นเป็นอะไรนี่หว่า” กรกฎบอกเสียงอุบอิบเก็บเอกสารเข้าใส่กระเป๋า
“อ้าว!จะไปเลยหรือพี่ปู ไม่รอพี่ฉายออกจากห้องประชุมก่อนเหรอ”
“ไม่ดีกว่าว่ะ...มีอะไรโทรศัพท์คุยเอาแล้วกัน สายมากแล้วเดี๋ยวลูกค้ารอตาย”
กรกฎฉวยกระเป๋าเอกสารเดินออกจากออฟฟิศไป วิศวกรหนุ่มต้องส่งมอบงานให้ลูกค้าภายในวันนี้ เนื่องจากโรงงานที่สมุทรสาครได้เสร็จสิ้นลงแล้วตามสัญญาจ้าง ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปที่รถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ ขับออกไปด้วยความเร่งรีบเกือบจูบเข้ากับรถแท๊กซี่ที่เลี้ยวเข้ามาพอดี
“เฮ้ย!ขับรถภาษาอะไรว่ะ”
กรกฎสถบแต่ก็เบี่ยงหลบให้รถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้ามา เห็นผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังเพียงแวบ ด้วยรูปทรงหญิงสาวทำให้เขาอดคิดไปว่า
“เด็กใครหว่า!”
พื้นดินที่เคยว่างเปล่ามีเพียงหญ้าสีเขียวปกคลุม บัดนี้มีหลักหมุดสายระโยงระยางของเชือกและเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการก่อสร้างวางอยู่ นาถนพินทอดสายตามองบริเวณดังกล่าว งานก่อสร้างสำหรับ ‘บ้าน’ หลังแรกในชีวิตของเธอ.. พิธียกเสาเอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาววางใบเงิน ทอง นาก และเหรียญเงิน เหรียญทอง ลงไปในก้นหลุมของเสาเอก ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อให้เกิดสิริมงคล เมื่อพระสงฆ์เริ่มสวดชัยมงคลคาถา ประพรมน้ำมนต์ โปรยทรายเสก เจิมและปิดทองเสาเอก ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเสร็จพิธี นาถนพินและเหล่าญาติช่วยกันโปรยข้าวตอกดอกไม้ลงสู่หลุมเสา
“หนูแดงเอาต้นกล้วยต้นอ้อยไปปลูกแถวริมรั้วด้านโน้นนะลูก จะได้เจริญงอกงาม”
ป้าผ่องอำไพมารดาของอรุณฉายแนะนำหญิงสาวเป็นการเสี่ยงทายถึงความงอกงามของเจ้าของบ้าน ช่างเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในทันที หลังกระบวนการทางศาสนาได้สิ้นสุดลง
“แล้วนี้ปูยังไม่มาอีกหรือ?”
อรุณฉายพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ด้วยวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงาน ยังไม่ปรากฏกายให้เจ้าของบ้านได้รู้จัก
“โน่นไงเดินมาพอดี”
ป้าผ่องอำไพบุ้ยใบ้ไปยังถนนคอนกรีตด้านหน้า เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่กำลังเดินตรงเข้ามา ชายหนุ่มยกมือไหว้มารดาของอรุณฉายซึ่งรู้จักดีอยู่แล้ว จากนั้นจึงเป็นคุณทวีพรเมื่อสถาปนิกหนุ่มแนะนำให้รู้จัก สุดท้ายคือนาถนพิน เขาเพียงแต่ก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยวัยของหญิงสาว คงไม่ได้มากไปกว่าเขาอย่างแน่นอน
“พี่ฉายถามเรื่องแบบอีกที ตรงนี้จะให้ทำยังไง?”
กรกฎเอ่ยถามหุ้นส่วนรุ่นพี่ การสนทนานั้นจึงเป็นเพียงเรื่องงานของบุรุษทั้งสอง ทำให้สตรีทั้งสามคนต้องเดินออกห่างออกไปยังร่มไม้ด้านหน้า ด้วยแสงแดดที่เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ตามจำนวนเข็มนาฬิกาที่เริ่มหมุนเพิ่ม
“หนูแดงเอารถคันเล็กของป้ามาใช้ก่อนดีไม๊ลูกจะได้สะดวกเวลาไปไหนมาไหน..จะเข้ามาดูงานก่อสร้างบ้านเราบ่อยๆก็ได้ แถวนี้ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็เข้ามาลำบากเหมือนกันนะ”
ป้าผ่องบอกกับหลานสาวพลางหยิบพัดเล็กในกระเป๋าออกมาคลี่ระบายความร้อนออกไป ด้วยอากาศต้นเดือนเมษายนดูอบอ้าวไม่น้อย
“แล้วคุณป้าจะมีรถใช้หรือคะ?”
หญิงสาวย้อนถามสุ้มเสียงดูเกรงใจผู้อาวุโสไม่น้อย ความจริงเธอเองก็ตั้งใจเอาไว้เหมือนกันว่าเมื่อสร้างบ้านเสร็จคงต้องหารถยนต์มาใช้สักคัน เพราะโครงการที่ปลูกบ้านอยู่นั้น ค่อนออกมาทางชานเมือง รถประจำทางคงไม่สะดวกนักในเวลาอันเร่งรีบ ครั้นจะใช้บริการแท๊กซี่ตลอดข่าวคราวที่ได้รับรู้ตั้งแต่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทำให้หวาดหวั่นได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวนี้ป้าไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนักหรอก นานๆจะไปโน้นไปนี่เสียที ถ้าจะไปก็ให้นายฉายขับรถให้ก็ได้”
“ก็ดีนะลูก หนูแดงเอารถคุณป้ามาใช้สักพักหนึ่งก็ได้ใช้แต่แท๊กซี่มันเปลืองอยู่นะ” คุณทวีพรเอ่ยสนับสนุนบุตรสาว
“พรุ่งนี้หนูแดงก็เข้าไปที่บ้านเลยล่ะกัน...เอ๊ะ! ทำไมตาฉายคุยอะไรกันนานจริง จนป่านนี้ยังไม่เดินออกมา สายแล้วนะเนี่ยแดดก็ร้อน”
ท้ายประโยคคุณผ่องอำไพเอ่ยถึงบุตรชายคนโต
“หนูแดงเข้าไปตามให้ค่ะป้าผ่อง”
นาถนพินรับอาสาหญิงสาวเดินเข้าไปบริเวณงานก่อสร้าง ช่างกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเขมักเขม้น เธอเดินเข้าไปกระซิบบอกเบาๆกับญาติผู้พี่ เมื่อเห็นว่าทั้ง ‘สถาปนิกและวิศวกร’ กำลังปรึกษาหารือกัน
“ปูเขาติงว่าสระน้ำข้างห้องนั่งเล่นดูมันใหญ่ไป อาจจะมีปัญหาเรื่องดินเพราะต้องขุดให้ลึก กลัวจะกระทบถึงตัวบ้านในอนาคตเวลาดินมันทรุดตัวเต็มที่”
‘เจ้าของนามนั้น’ ตวัดสายตาคมมองคนตรงหน้า ผิวแก้มของหญิงสาวเนียนละเอียดเป็นสีระเรื่อราวกลีบกุหลาบ เพราะอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้น เรือนผมยาวสีช็อกโกแลตดัดเป็นลอนคลายๆปล่อยสยายเคลียไหล่ เส้นผมบางส่วนปลิวคลอเคล้ากับสายลมที่พัดวูบไหวเข้ามาในยามนี้
“สระน้ำขนาดใหญ่ริมตัวบ้านมันสวยก็จริงอยู่ แต่นานวันเข้ามันจะสร้างปัญหาให้กับคุณ...อยู่ไปสักพักน้ำอาจซึมเข้าตัวบ้านทำให้บ้านทรุดตัวได้ อีกอย่างค่าบำรุงรักษาก็สูง… แค่ค่าจ้างคนมาล้างสระคุณก็อ้วกแตกแล้วล่ะ!”
ถ้อยคำนั้นแม้ผู้พูดจะไม่ได้ใส่อารมณ์อะไรมากมายนัก หากเจ้าของบ้านกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูกวนชอบกล น้ำเสียงของนาถนพินที่เปล่งออกไปจึงออกจะห้วนเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วขนาดเท่าไร...ถึงจะเรียกว่าพอดี”
“ก็แล้วแต่คุณกำหนด แต่ต้องไม่ใช่สเปคนี้...คุณกะจะว่ายสี่คูณร้อยเลยหรือไงครับ ถึงต้องสร้างสระใหญ่ขนาดนี้”
วิศวกรหนุ่มมองดวงหน้าเรียวรูปไข่นั้นอีกครั้ง...ก็สวยดีอยู่หรอก...แต่ ‘จืดชืด’ เกินไปสำหรับรสนิยมของเขา
“ก้อ.…คุณเป็นวิศวกรจะไม่ให้คำแนะนำกับฉันบ้างหรือคะ” เจ้าของบ้านย้อนถาม
“แล้วถ้าผมแนะนำไป คุณจะทำตามหรือเปล่าล่ะ”
‘วิศวกร’ ย้อนศรบ้าง ดวงตาสีเข้มนั้นดูยิ้มเยาะ ถึงความไม่รู้ของอีกฝ่าย ผู้หญิงจะมารู้เรื่องก่อร่างสร้างแบบอะไรนักหนา
“ก็ลองบอกมาซิคะ ทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับการตัดสินในตอนสุดท้ายของฉัน”
นาถนพินบอกย้ำเสียงหนัก ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเริ่มกรุ่นขึ้นทีละนิด
“ซื้อสระปูนเล็กๆมาเดี๋ยวผมให้ลูกน้องขุดให้ เลือกมุมตามใจชอบ ไม่ต้องมาขุดสระให้วุ่นวายผมเห็นมาหลายรายแล้วอยู่ไปซักพักวันดีคืนดีจะรื้อทิ้งเสียยังงั้น บอกว่าใหญ่ไปมั่งแหละ ไม่มีเวลาล้างมั่งล่ะ ไม่ใช่ผมไม่อยากได้งานนะคุณ แต่มันน่ารำคาญผมไม่ชอบมารื้องานเก่าแล้วทำใหม่…มันเซ็ง!”
กรกฎบอกตรงประเด็น หากคนรับฟังชัก ‘ขุ่น’ หนักขึ้น ก็ในเมื่อเธอเป็นเจ้าของบ้านย่อมปราถนาให้ที่อยู่อาศัยขอตัวเป็นดั่งความฝันที่ตั้งไว้
“ฉันไม่ต้องการสระปูนอะไรแบบนั้น ฉันต้องการสระน้ำในแบบฉบับของตัวเอง...เพราะว่าฉันชอบน้ำมันชุ่มชื่นเวลามองเห็น”
น้ำเสียงของหญิงสาวดูเด็ดเดี่ยว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับ
“ความชุ่มชื่นของคุณอาจจะมาพร้อมกับปลวกรู้หรือเปล่า ที่ไหนชื้นที่นั้นปลวกถามหาทุกราย หน้าบ้านคุณก็มีทะเลสาบอันเบ่อเร่ออยู่แล้ว มันน่าจะเกินชุ่มชื่นแล้วนะ”
“เฮ้ย!เอางี้”
อรุณฉายตัดบทด้วยเห็นสีหน้าของญาติผู้น้องที่เริ่มแดงขึ้น ‘เจ้าน้องคนนี้’ มันเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือก็จริงอยู่ หากแววตาขุ่นเขียวเยี่ยงนี้ แสดงว่า ‘เริ่มเดือด’ ส่วนหุ้นส่วนรุ่นน้องใครที่เคยร่วมงานด้วยมักเข้าใจ ในธรรมชาติของเจ้าตัวว่าบางครั้งก็ชอบยืม ‘ปากตูบมาเป็นปากตัว’
“หนูแดงเดี๋ยวพี่จะแก้แบบให้ใหม่ ย่อสระน้ำให้เล็กลงมาหน่อยจะได้ไม่ต้องขุดลึกมาก เอาแบบปลูกบัวเลี้ยงปลาหางนกยูงได้เป็นฝูง ยกเว้นแต่ปลาฉลามเท่านั้นแหละที่เลี้ยงไม่ได้”
ญาติผู้พี่พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนขบขันเสียเต็มประดา ทำให้ดวงหน้าแดงเพราะริ้วอารมณ์เมื่อครู่ของสตรีเพียงหนึ่งเดียวนั้น คลายลง...เพียงหนึ่งขีด
“คุณลองเอาคำพูดของผมไปประกอบการพิจารณาดูนะครับว่าแท้จริงแล้ว คุณอยากได้สระหรืออยากได้อ่าง”
กรกฎยังตอกย้ำทิ้งทวนกวนอีกฝ่ายให้หน้าแดงหนักขึ้น
“ฉันอยากได้สระค่ะ ไม่ใช่อ่าง!”
“เอาน่าหนูแดงสระก็สระงั้นก็กลับเลยล่ะกัน พี่จะขับรถไปส่ง ป่านนี้แม่กับน้าพรลมแดดถามหาแล้วมั้งเนี่ย...ร้อนจริงๆ” อรุณฉายกระตุกแขนญาติผู้น้องให้เดินตาม ก่อนจะหันไปบอกกล่าวล่ำลากับ ‘วิศวกรโยธา’
ช่วงเวลายามบ่ายของร้านอาหารแนวสมัยนิยม มุมเงียบๆสไตล์สีเอิร์ธโทนทำให้บรรยากาศรู้สึกอบอุ่น ด้วยลูกค้า ดูบางตา อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาบ่ายจัด ผู้คนรอบตึกที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน ยังอยู่บนอาคาร นาถนพินผลักประตูกระจกของร้านเข้าไป หญิงสาวกวาดสายตามองภายในเมื่อเห็นบุคคลที่นัดหมายจึงเดินตรงเข้าไปทักทาย
“คุณตั๋ง...มารอหนูแดงนานหรือยังคะ?” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ไม่นานหรอกครับ เพิ่มมาถึงเหมือนกัน”
บุรุษตรงหน้านั้นมีผิวขาวจัดอย่างลูกจีนทั่วไป ดวงตาคู่นั้นดูยิบหยีแต่โชคดีที่เจ้าตัวมีคิ้วเข้ม จมูกเป็นสันนิดหน่อยพอให้หายใจได้สะดวก แม้ลำตัวจะดูอวบท้วมด้วยอาหารการกินทางบ้านคงจะสมบูรณ์พูนสุข หากชายหนุ่มก็ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไปหากสาวคนไหนจะตัดสินใจเดินควง
“หนูแดงจะสั่งสปาเก็ตตี้ไม๊ครับร้านนี้เขาทำอร่อยนะ รสชาติดีไม่เลียน”
ดิลกธรรมชักชวน เขารู้จักกับสตรีตรงหน้า ตั้งแต่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ นาถนพินเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวและครอบครัวของเธอพอสมควรจนเรียนจบชายหนุ่มเดินทางกลับมาก่อน แต่ก็ยังติดต่อหล่อนอยู่เรื่อยๆทางอีเมล์
“ผมเสียใจด้วยนะเรื่องคุณพ่อของหนูแดง”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวมบทบาทพระเอกจึงต้องรีบทำคะแนนเสียหน่อย เดี๋ยวสาวเจ้าเกิดอาการน้อยใจขึ้นมา ‘แต้ม’ ที่อุตส่าห์สะสมมาแรมปีจะหดหายไปก็งานนี้ จากนั้นจึงสั่งอาหารให้ตัวเองและหญิงสาว หากนาถนพินเอ่ยค้าน หล่อนทานข้าวกลางวันกับคุณแม่มาแล้ว จึงไม่ต้องการอาหารจานหนักอีก
“ขอเป็นไอศครีมถั่วเหลืองแล้วกันค่ะ ดูจากหน้าตาคงจะอร่อย”
นาถนพินบอกกับพนักเสิร์ฟพลางหัวเราะเบาๆกับการคาดเดาของตัวเอง ด้วยยุคนี้แม้แต่อาหารยังตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก
“ตกลงหนูแดงจะยึดอาชีพนักเขียนถาวรเลยหรือครับ” เขาเอ่ยถาม ดวงตาเรียวเล็กดูวาวระยับประหลาด เมื่อทอดมองคนตรงหน้า
“ค่ะ...ก็หนูแดงเขียนหนังสือมาตั้งหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนมหาลัย รู้สึกชอบเหมือนกันค่ะ...อิสระดี”
“ผมจะมาชวนหนูแดงไปทำงานที่โรงงานทำลูกชิ้นของเตี่ย ตอนนี้กำลังไปได้สวยลูกค้าเข้าเยอะมากเรามีแผนจะส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย”
เมื่อแรกที่หญิงสาวรู้จักสรรพนามเรียกบุคคลในครอบครัวดูเป็นมาตรฐานสากล พวงท้ายด้วยไอเอสโอหมื่นสี่กว่าๆหากเวลาเพิ่มขึ้น ‘สรรพานาม’ จึงกระชับให้สั้นเข้าเหลือเพียงแค่ 5 ส
“หนูแดงไม่มีความรู้เรื่องอาหารเลยนะคะคุณตั๋ง จบทางด้านดีไซน์มาด้วยซ้ำไปจะทำได้หรือคะ?”
หญิงสาวบอก พลางเบี่ยงตัวให้พนักงานเสริฟ์วางจานอาหารและถ้วยไอศครีมลงบนโต๊ะ
“ก็มาออกแบบลูกชิ้นให้ก็ได้นี่ครับ จากกลมๆอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือไม่ก็ห้าเหลี่ยมถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการลูกชิ้นหมูบ้านเรา แปลกแหวกแนวเข้ากับสโลแกนของบริษัท ‘เด้งดึ่งโดยไม่พึ่งบอเรต’ ”
เมื่อพูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะครื้นเครง ด้วยเส้นขำช่างตื้นเขินเสียเหลือเกิน หากคนฟังกลับยิ้มจืดเพราะคู่สนทนาตรงหน้า หรือเพราะรสชาติไอศครีมถั่วเหลืองที่เจ้าตัวตักชิมเข้าไป
“ไม่อร่อยเหรอครับหนูแดง ทำหน้าชอบกล”
ดิลกธรรมหยุดหัวเราะราวกดปุ่มปิดสวิทย์ได้ดั่งใจ พลางถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเครียดเหมือนเห็นหุ้นตก
“ก็อร่อยดีค่ะ ...หวานๆเย็นๆ”
ชายหนุ่มพยับหน้ารับทราบ จากนั้นจึงยิงคำถามต่อไปเสมือนเจ้าตัวกลัว ‘ภาวะสูญญากาศ’
“หนูแดงปลูกบ้านแถวไหนหรือครับ? แล้วตอนนี้เริ่มสร้างไปเยอะหรือยัง? ”
ปลูกรักริมใจ ตอนที่ 2
ร่างสูงใหญ่ที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารดูจะเริ่มหงุดหงิดไม่น้อย เมื่อเครื่องนั้นเกิดงอแงขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เฮ้ย!เป็นไรวะ ยิ่งรีบๆอยู่นะโว้ย”
กรกฎตบเครื่องถ่ายเอกสารดังปังเมื่อไม่ได้ดังใจ ร้อนถึงสตรีร่างท้วมผิวพุทธายังสุกไม่ได้ที่ ต้องรีบลุกจากโต๊ะทำงานมาห้ามศึกก่อนจะเกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่
“เดี๋ยวๆพี่ปูจ๋าใจเย็นๆสิจ๊ะ เครื่องถ่ายเอกสารวันนี้อาจจะสลึมสลือนิดหนึ่ง..เมื่อคืนคงจะปาร์ตี้หนักไปหน่อย”
ตวงตาดึงแขนอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกมา หล่อนดึงถาดกระดาษออกอย่างคล่องแคล่ว ด้วยใช้งานอยู่ทุกวันจึงรู้ว่า ‘ปัญหา’ อยู่ตรงไหน
“เออ…เก่งวะ...รู้งี้ใช้ไอ้ตาถ่ายให้เสียแต่แรกก็ดี”
ชายหนุ่มเอ่ยชมดวงหน้าคมค่อยคลายปมยุ่งลง พลางรับเอกสารแผ่นเจ้าปัญหาจากมืออีกฝ่าย
“แล้วก็ไม่บอกนึกว่าแน่ เห็นเดินรี่เข้าไปถึงก็กดเลย” หญิงสาวพูดพลางค้อนให้วงใหญ่
“ก็ทุกวันไม่เห็นเป็นอะไรนี่หว่า” กรกฎบอกเสียงอุบอิบเก็บเอกสารเข้าใส่กระเป๋า
“อ้าว!จะไปเลยหรือพี่ปู ไม่รอพี่ฉายออกจากห้องประชุมก่อนเหรอ”
“ไม่ดีกว่าว่ะ...มีอะไรโทรศัพท์คุยเอาแล้วกัน สายมากแล้วเดี๋ยวลูกค้ารอตาย”
กรกฎฉวยกระเป๋าเอกสารเดินออกจากออฟฟิศไป วิศวกรหนุ่มต้องส่งมอบงานให้ลูกค้าภายในวันนี้ เนื่องจากโรงงานที่สมุทรสาครได้เสร็จสิ้นลงแล้วตามสัญญาจ้าง ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปที่รถยนต์ส่วนตัวที่จอดอยู่ ขับออกไปด้วยความเร่งรีบเกือบจูบเข้ากับรถแท๊กซี่ที่เลี้ยวเข้ามาพอดี
“เฮ้ย!ขับรถภาษาอะไรว่ะ”
กรกฎสถบแต่ก็เบี่ยงหลบให้รถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้ามา เห็นผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลังเพียงแวบ ด้วยรูปทรงหญิงสาวทำให้เขาอดคิดไปว่า
“เด็กใครหว่า!”
พื้นดินที่เคยว่างเปล่ามีเพียงหญ้าสีเขียวปกคลุม บัดนี้มีหลักหมุดสายระโยงระยางของเชือกและเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับการก่อสร้างวางอยู่ นาถนพินทอดสายตามองบริเวณดังกล่าว งานก่อสร้างสำหรับ ‘บ้าน’ หลังแรกในชีวิตของเธอ.. พิธียกเสาเอกเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ หญิงสาววางใบเงิน ทอง นาก และเหรียญเงิน เหรียญทอง ลงไปในก้นหลุมของเสาเอก ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อให้เกิดสิริมงคล เมื่อพระสงฆ์เริ่มสวดชัยมงคลคาถา ประพรมน้ำมนต์ โปรยทรายเสก เจิมและปิดทองเสาเอก ขั้นตอนสุดท้ายก่อนเสร็จพิธี นาถนพินและเหล่าญาติช่วยกันโปรยข้าวตอกดอกไม้ลงสู่หลุมเสา
“หนูแดงเอาต้นกล้วยต้นอ้อยไปปลูกแถวริมรั้วด้านโน้นนะลูก จะได้เจริญงอกงาม”
ป้าผ่องอำไพมารดาของอรุณฉายแนะนำหญิงสาวเป็นการเสี่ยงทายถึงความงอกงามของเจ้าของบ้าน ช่างเริ่มดำเนินงานก่อสร้างในทันที หลังกระบวนการทางศาสนาได้สิ้นสุดลง
“แล้วนี้ปูยังไม่มาอีกหรือ?”
อรุณฉายพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา ด้วยวิศวกรโยธาผู้ควบคุมงาน ยังไม่ปรากฏกายให้เจ้าของบ้านได้รู้จัก
“โน่นไงเดินมาพอดี”
ป้าผ่องอำไพบุ้ยใบ้ไปยังถนนคอนกรีตด้านหน้า เมื่อบุรุษร่างสูงใหญ่กำลังเดินตรงเข้ามา ชายหนุ่มยกมือไหว้มารดาของอรุณฉายซึ่งรู้จักดีอยู่แล้ว จากนั้นจึงเป็นคุณทวีพรเมื่อสถาปนิกหนุ่มแนะนำให้รู้จัก สุดท้ายคือนาถนพิน เขาเพียงแต่ก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยวัยของหญิงสาว คงไม่ได้มากไปกว่าเขาอย่างแน่นอน
“พี่ฉายถามเรื่องแบบอีกที ตรงนี้จะให้ทำยังไง?”
กรกฎเอ่ยถามหุ้นส่วนรุ่นพี่ การสนทนานั้นจึงเป็นเพียงเรื่องงานของบุรุษทั้งสอง ทำให้สตรีทั้งสามคนต้องเดินออกห่างออกไปยังร่มไม้ด้านหน้า ด้วยแสงแดดที่เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ตามจำนวนเข็มนาฬิกาที่เริ่มหมุนเพิ่ม
“หนูแดงเอารถคันเล็กของป้ามาใช้ก่อนดีไม๊ลูกจะได้สะดวกเวลาไปไหนมาไหน..จะเข้ามาดูงานก่อสร้างบ้านเราบ่อยๆก็ได้ แถวนี้ถ้าไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็เข้ามาลำบากเหมือนกันนะ”
ป้าผ่องบอกกับหลานสาวพลางหยิบพัดเล็กในกระเป๋าออกมาคลี่ระบายความร้อนออกไป ด้วยอากาศต้นเดือนเมษายนดูอบอ้าวไม่น้อย
“แล้วคุณป้าจะมีรถใช้หรือคะ?”
หญิงสาวย้อนถามสุ้มเสียงดูเกรงใจผู้อาวุโสไม่น้อย ความจริงเธอเองก็ตั้งใจเอาไว้เหมือนกันว่าเมื่อสร้างบ้านเสร็จคงต้องหารถยนต์มาใช้สักคัน เพราะโครงการที่ปลูกบ้านอยู่นั้น ค่อนออกมาทางชานเมือง รถประจำทางคงไม่สะดวกนักในเวลาอันเร่งรีบ ครั้นจะใช้บริการแท๊กซี่ตลอดข่าวคราวที่ได้รับรู้ตั้งแต่ยังใช้ชีวิตอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทำให้หวาดหวั่นได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวนี้ป้าไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนักหรอก นานๆจะไปโน้นไปนี่เสียที ถ้าจะไปก็ให้นายฉายขับรถให้ก็ได้”
“ก็ดีนะลูก หนูแดงเอารถคุณป้ามาใช้สักพักหนึ่งก็ได้ใช้แต่แท๊กซี่มันเปลืองอยู่นะ” คุณทวีพรเอ่ยสนับสนุนบุตรสาว
“พรุ่งนี้หนูแดงก็เข้าไปที่บ้านเลยล่ะกัน...เอ๊ะ! ทำไมตาฉายคุยอะไรกันนานจริง จนป่านนี้ยังไม่เดินออกมา สายแล้วนะเนี่ยแดดก็ร้อน”
ท้ายประโยคคุณผ่องอำไพเอ่ยถึงบุตรชายคนโต
“หนูแดงเข้าไปตามให้ค่ะป้าผ่อง”
นาถนพินรับอาสาหญิงสาวเดินเข้าไปบริเวณงานก่อสร้าง ช่างกำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเขมักเขม้น เธอเดินเข้าไปกระซิบบอกเบาๆกับญาติผู้พี่ เมื่อเห็นว่าทั้ง ‘สถาปนิกและวิศวกร’ กำลังปรึกษาหารือกัน
“ปูเขาติงว่าสระน้ำข้างห้องนั่งเล่นดูมันใหญ่ไป อาจจะมีปัญหาเรื่องดินเพราะต้องขุดให้ลึก กลัวจะกระทบถึงตัวบ้านในอนาคตเวลาดินมันทรุดตัวเต็มที่”
‘เจ้าของนามนั้น’ ตวัดสายตาคมมองคนตรงหน้า ผิวแก้มของหญิงสาวเนียนละเอียดเป็นสีระเรื่อราวกลีบกุหลาบ เพราะอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวขึ้น เรือนผมยาวสีช็อกโกแลตดัดเป็นลอนคลายๆปล่อยสยายเคลียไหล่ เส้นผมบางส่วนปลิวคลอเคล้ากับสายลมที่พัดวูบไหวเข้ามาในยามนี้
“สระน้ำขนาดใหญ่ริมตัวบ้านมันสวยก็จริงอยู่ แต่นานวันเข้ามันจะสร้างปัญหาให้กับคุณ...อยู่ไปสักพักน้ำอาจซึมเข้าตัวบ้านทำให้บ้านทรุดตัวได้ อีกอย่างค่าบำรุงรักษาก็สูง… แค่ค่าจ้างคนมาล้างสระคุณก็อ้วกแตกแล้วล่ะ!”
ถ้อยคำนั้นแม้ผู้พูดจะไม่ได้ใส่อารมณ์อะไรมากมายนัก หากเจ้าของบ้านกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูกวนชอบกล น้ำเสียงของนาถนพินที่เปล่งออกไปจึงออกจะห้วนเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วขนาดเท่าไร...ถึงจะเรียกว่าพอดี”
“ก็แล้วแต่คุณกำหนด แต่ต้องไม่ใช่สเปคนี้...คุณกะจะว่ายสี่คูณร้อยเลยหรือไงครับ ถึงต้องสร้างสระใหญ่ขนาดนี้”
วิศวกรหนุ่มมองดวงหน้าเรียวรูปไข่นั้นอีกครั้ง...ก็สวยดีอยู่หรอก...แต่ ‘จืดชืด’ เกินไปสำหรับรสนิยมของเขา
“ก้อ.…คุณเป็นวิศวกรจะไม่ให้คำแนะนำกับฉันบ้างหรือคะ” เจ้าของบ้านย้อนถาม
“แล้วถ้าผมแนะนำไป คุณจะทำตามหรือเปล่าล่ะ”
‘วิศวกร’ ย้อนศรบ้าง ดวงตาสีเข้มนั้นดูยิ้มเยาะ ถึงความไม่รู้ของอีกฝ่าย ผู้หญิงจะมารู้เรื่องก่อร่างสร้างแบบอะไรนักหนา
“ก็ลองบอกมาซิคะ ทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับการตัดสินในตอนสุดท้ายของฉัน”
นาถนพินบอกย้ำเสียงหนัก ความรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าเริ่มกรุ่นขึ้นทีละนิด
“ซื้อสระปูนเล็กๆมาเดี๋ยวผมให้ลูกน้องขุดให้ เลือกมุมตามใจชอบ ไม่ต้องมาขุดสระให้วุ่นวายผมเห็นมาหลายรายแล้วอยู่ไปซักพักวันดีคืนดีจะรื้อทิ้งเสียยังงั้น บอกว่าใหญ่ไปมั่งแหละ ไม่มีเวลาล้างมั่งล่ะ ไม่ใช่ผมไม่อยากได้งานนะคุณ แต่มันน่ารำคาญผมไม่ชอบมารื้องานเก่าแล้วทำใหม่…มันเซ็ง!”
กรกฎบอกตรงประเด็น หากคนรับฟังชัก ‘ขุ่น’ หนักขึ้น ก็ในเมื่อเธอเป็นเจ้าของบ้านย่อมปราถนาให้ที่อยู่อาศัยขอตัวเป็นดั่งความฝันที่ตั้งไว้
“ฉันไม่ต้องการสระปูนอะไรแบบนั้น ฉันต้องการสระน้ำในแบบฉบับของตัวเอง...เพราะว่าฉันชอบน้ำมันชุ่มชื่นเวลามองเห็น”
น้ำเสียงของหญิงสาวดูเด็ดเดี่ยว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับ
“ความชุ่มชื่นของคุณอาจจะมาพร้อมกับปลวกรู้หรือเปล่า ที่ไหนชื้นที่นั้นปลวกถามหาทุกราย หน้าบ้านคุณก็มีทะเลสาบอันเบ่อเร่ออยู่แล้ว มันน่าจะเกินชุ่มชื่นแล้วนะ”
“เฮ้ย!เอางี้”
อรุณฉายตัดบทด้วยเห็นสีหน้าของญาติผู้น้องที่เริ่มแดงขึ้น ‘เจ้าน้องคนนี้’ มันเย็นเป็นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือก็จริงอยู่ หากแววตาขุ่นเขียวเยี่ยงนี้ แสดงว่า ‘เริ่มเดือด’ ส่วนหุ้นส่วนรุ่นน้องใครที่เคยร่วมงานด้วยมักเข้าใจ ในธรรมชาติของเจ้าตัวว่าบางครั้งก็ชอบยืม ‘ปากตูบมาเป็นปากตัว’
“หนูแดงเดี๋ยวพี่จะแก้แบบให้ใหม่ ย่อสระน้ำให้เล็กลงมาหน่อยจะได้ไม่ต้องขุดลึกมาก เอาแบบปลูกบัวเลี้ยงปลาหางนกยูงได้เป็นฝูง ยกเว้นแต่ปลาฉลามเท่านั้นแหละที่เลี้ยงไม่ได้”
ญาติผู้พี่พูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเหมือนขบขันเสียเต็มประดา ทำให้ดวงหน้าแดงเพราะริ้วอารมณ์เมื่อครู่ของสตรีเพียงหนึ่งเดียวนั้น คลายลง...เพียงหนึ่งขีด
“คุณลองเอาคำพูดของผมไปประกอบการพิจารณาดูนะครับว่าแท้จริงแล้ว คุณอยากได้สระหรืออยากได้อ่าง”
กรกฎยังตอกย้ำทิ้งทวนกวนอีกฝ่ายให้หน้าแดงหนักขึ้น
“ฉันอยากได้สระค่ะ ไม่ใช่อ่าง!”
“เอาน่าหนูแดงสระก็สระงั้นก็กลับเลยล่ะกัน พี่จะขับรถไปส่ง ป่านนี้แม่กับน้าพรลมแดดถามหาแล้วมั้งเนี่ย...ร้อนจริงๆ” อรุณฉายกระตุกแขนญาติผู้น้องให้เดินตาม ก่อนจะหันไปบอกกล่าวล่ำลากับ ‘วิศวกรโยธา’
ช่วงเวลายามบ่ายของร้านอาหารแนวสมัยนิยม มุมเงียบๆสไตล์สีเอิร์ธโทนทำให้บรรยากาศรู้สึกอบอุ่น ด้วยลูกค้า ดูบางตา อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาบ่ายจัด ผู้คนรอบตึกที่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสำนักงาน ยังอยู่บนอาคาร นาถนพินผลักประตูกระจกของร้านเข้าไป หญิงสาวกวาดสายตามองภายในเมื่อเห็นบุคคลที่นัดหมายจึงเดินตรงเข้าไปทักทาย
“คุณตั๋ง...มารอหนูแดงนานหรือยังคะ?” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้าม
“ไม่นานหรอกครับ เพิ่มมาถึงเหมือนกัน”
บุรุษตรงหน้านั้นมีผิวขาวจัดอย่างลูกจีนทั่วไป ดวงตาคู่นั้นดูยิบหยีแต่โชคดีที่เจ้าตัวมีคิ้วเข้ม จมูกเป็นสันนิดหน่อยพอให้หายใจได้สะดวก แม้ลำตัวจะดูอวบท้วมด้วยอาหารการกินทางบ้านคงจะสมบูรณ์พูนสุข หากชายหนุ่มก็ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไปหากสาวคนไหนจะตัดสินใจเดินควง
“หนูแดงจะสั่งสปาเก็ตตี้ไม๊ครับร้านนี้เขาทำอร่อยนะ รสชาติดีไม่เลียน”
ดิลกธรรมชักชวน เขารู้จักกับสตรีตรงหน้า ตั้งแต่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐฯ นาถนพินเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเขา ทำให้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวและครอบครัวของเธอพอสมควรจนเรียนจบชายหนุ่มเดินทางกลับมาก่อน แต่ก็ยังติดต่อหล่อนอยู่เรื่อยๆทางอีเมล์
“ผมเสียใจด้วยนะเรื่องคุณพ่อของหนูแดง”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้สวมบทบาทพระเอกจึงต้องรีบทำคะแนนเสียหน่อย เดี๋ยวสาวเจ้าเกิดอาการน้อยใจขึ้นมา ‘แต้ม’ ที่อุตส่าห์สะสมมาแรมปีจะหดหายไปก็งานนี้ จากนั้นจึงสั่งอาหารให้ตัวเองและหญิงสาว หากนาถนพินเอ่ยค้าน หล่อนทานข้าวกลางวันกับคุณแม่มาแล้ว จึงไม่ต้องการอาหารจานหนักอีก
“ขอเป็นไอศครีมถั่วเหลืองแล้วกันค่ะ ดูจากหน้าตาคงจะอร่อย”
นาถนพินบอกกับพนักเสิร์ฟพลางหัวเราะเบาๆกับการคาดเดาของตัวเอง ด้วยยุคนี้แม้แต่อาหารยังตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก
“ตกลงหนูแดงจะยึดอาชีพนักเขียนถาวรเลยหรือครับ” เขาเอ่ยถาม ดวงตาเรียวเล็กดูวาวระยับประหลาด เมื่อทอดมองคนตรงหน้า
“ค่ะ...ก็หนูแดงเขียนหนังสือมาตั้งหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนมหาลัย รู้สึกชอบเหมือนกันค่ะ...อิสระดี”
“ผมจะมาชวนหนูแดงไปทำงานที่โรงงานทำลูกชิ้นของเตี่ย ตอนนี้กำลังไปได้สวยลูกค้าเข้าเยอะมากเรามีแผนจะส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านด้วย”
เมื่อแรกที่หญิงสาวรู้จักสรรพนามเรียกบุคคลในครอบครัวดูเป็นมาตรฐานสากล พวงท้ายด้วยไอเอสโอหมื่นสี่กว่าๆหากเวลาเพิ่มขึ้น ‘สรรพานาม’ จึงกระชับให้สั้นเข้าเหลือเพียงแค่ 5 ส
“หนูแดงไม่มีความรู้เรื่องอาหารเลยนะคะคุณตั๋ง จบทางด้านดีไซน์มาด้วยซ้ำไปจะทำได้หรือคะ?”
หญิงสาวบอก พลางเบี่ยงตัวให้พนักงานเสริฟ์วางจานอาหารและถ้วยไอศครีมลงบนโต๊ะ
“ก็มาออกแบบลูกชิ้นให้ก็ได้นี่ครับ จากกลมๆอาจจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือไม่ก็ห้าเหลี่ยมถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของวงการลูกชิ้นหมูบ้านเรา แปลกแหวกแนวเข้ากับสโลแกนของบริษัท ‘เด้งดึ่งโดยไม่พึ่งบอเรต’ ”
เมื่อพูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะครื้นเครง ด้วยเส้นขำช่างตื้นเขินเสียเหลือเกิน หากคนฟังกลับยิ้มจืดเพราะคู่สนทนาตรงหน้า หรือเพราะรสชาติไอศครีมถั่วเหลืองที่เจ้าตัวตักชิมเข้าไป
“ไม่อร่อยเหรอครับหนูแดง ทำหน้าชอบกล”
ดิลกธรรมหยุดหัวเราะราวกดปุ่มปิดสวิทย์ได้ดั่งใจ พลางถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเครียดเหมือนเห็นหุ้นตก
“ก็อร่อยดีค่ะ ...หวานๆเย็นๆ”
ชายหนุ่มพยับหน้ารับทราบ จากนั้นจึงยิงคำถามต่อไปเสมือนเจ้าตัวกลัว ‘ภาวะสูญญากาศ’
“หนูแดงปลูกบ้านแถวไหนหรือครับ? แล้วตอนนี้เริ่มสร้างไปเยอะหรือยัง? ”