นายพายัพ ชินวัตร (น้องชายของทักษิณ ชินวัตร) ทำการอุปสมบท ได้รับฉายา “พระพายัพ เขมะคุโณ”
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีข่าวว่าท่านได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส สมเด็จพระธีรญาณมุนี ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่
เนื่องจากพระพายัพเพิ่งจะบวชได้ไม่ถึง 10 วัน ในขณะที่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมจะต้องบวชมาแล้วอย่างต่ำ 10 พรรษา
1) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2556 สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์พระพายัพขณะอยู่ที่ประเทศอินเดีย
พระพายัพ เขมะคุโณ ให้สัมภาษณ์ว่า “มีความตั้งใจที่จะบวชมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งวันบวชก็ทำพิธีเงียบ ๆ แบบเรียบง่ายทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ทราบข่าวหลังจากที่บวชแล้วเพราะไม่ได้แจ้งให้ทราบ”
พระพายัพชี้แจงทางโทรศัพท์ ยืนยันว่าได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์จริง
โดยอธิบายว่า “การได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์นั้น ก็คล้ายกับการรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีท่านเห็นว่าอาตมาสร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ ซึ่งเป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งดังกล่าวก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ดังนั้น จึงเป็นภาระตำแหน่งไม่ใช่ความยินดี ท่านก็มอบภาระนี้ให้อาตมาก็รับไว้ อย่างไรก็ตามวันที่ 23 ก.พ.นี้จะเดินทางกลับประเทศไทยเพราะมีเทศน์ที่สวนอัมพรร่วมกับพระพยอม”
2) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ให้สัมภาษณ์เห็นดีเห็นงามไปกับพระพายัพ
อ้างว่า พระพายัพมีผลงานในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น การสร้างโบสถ์ จึงมีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ แม้ว่าหลักเกณฑ์การแต่งตั้งพระฐานานุกรมจะต้องบวชหลายพรรษาก็ตาม “อาตมาเห็นว่า เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย”
ที่ร้ายกว่านั้น คือ พระพยอมอ้างว่า เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากพระพายัพไม่ใช่น้องชายของทักษิณ
ทำเหมือนกับจะให้เข้าใจว่า คนที่วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกจะหาเรื่องทักษิณ
“พระบางรูปบวชมาหลายพรรษา...”
ถ้าพระพุทธศาสนาถือปฏิบัติตามแนวทางที่พระพยอมอ้าง ก็เท่ากับว่า ใครมีเงินมาก ไม่ต้องมีศีลธรรม ไม่ต้องเป็นคนดี ก็สามารถใช้เงินซื้อตำแหน่งในวงการสงฆ์ได้อย่างอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพระวินัย ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือพรรษาของการบวช
ประเดี๋ยวคงมีโจรปล้นเงินแผ่นดิน เจียดเงินไปสร้างโบสถ์ วิหาร กุฏิหรูๆ หอระฆังใหญ่ๆโตๆ ยอยกพระสงฆ์ด้วยทรัพย์ แล้วก็บวชสักเดือน พ่วงขอโบนัสเป็นตำแหน่งใหญ่โตในวงการสงฆ์
3) ล่าสุด นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะแก้เกี้ยวกรณีดังกล่าว
อ้างว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่การแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม แต่เป็นเพียงการตั้ง “ฉายา” สำหรับพระบวชใหม่
อธิบายเรื่องใหม่ บอกว่า พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด”
ยอมรับว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรมนั้น จะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา และเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
น่าคิดว่า นายปรีชามีหน้าที่เป็น “อธิบดีกรมการศาสนา” มิใช่ “โฆษกของพระพายัพ”
การพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำนองว่า ตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์” เป็นเพียงฉายา จะเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนไทยมากไปไหม เพราะในข่าวปรากฏฉายาอยู่ทนโท่ว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ”
ยิ่งกว่านั้น พระพายัพยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากประเทศอินเดีย ยืนยันว่าตนเองได้รับแต่งตั้งตำแหน่ง “พระครูปลัดฯ” จริงๆ ก่อนหน้าที่อธิบดีจะโผล่ออกมาแก้เกี้ยวเสียอีก!
ถ้าตกข่าว ก็ขอให้กลับไปอ่านข้อ 1
หรือถ้าอธิบดีกรมการศาสนาจะยืนยันว่า พระพายัพโกหก อวดอ้างว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็น “พระครูปลัดฯ” ก็พูดออกมาดังๆ ชัดถ้อยชัดคำ!
4) เห็นพฤติกรรมของพระที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้นแล้ว ช่างน่าสลดใจ...
ดูท่าว่า งานนี้ “พระพายัพ” จะพาพระยับ(เยิน) ไปเสียหรือไม่?
สำหรับพระที่บวชมานาน หากไม่ได้แก่แต่พรรษา หรือมีกิเลสบังตา พึงสังวรว่า ในสมัยพุทธกาล เคยมีพระสงฆ์พยายามประจบเอาใจคฤหัสถ์ เพียงเพราะพึงพอใจในของฉันที่เขาถวาย
ถึงกับพยายามแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้องต่อคณะสงฆ์
ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียน แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท มีใจความว่า “ภิกษุประทุษร้ายสกุล (ประจบคฤหัสถ์ ทอดตนลงให้เขาใช้) มีความประพฤติเลวทราม เป็นที่รู้เห็นทั่วไป ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวและขับเสียจากที่นั้น ถ้าเธอกลับว่าติเตียน ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศ (เป็นการสงฆ์) ให้เธอละเลิก ถ้าสวดครบ 3 ครั้ง ยังดื้อดึง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.”
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังเตือนภิกษุที่มาบวชให้สำเหนียกว่า การมาบวชแล้วกลับไปแสวงหากามที่ละแล้ว (คือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสที่ทำให้เจริญราคะ) ย่อมเป็นของต่ำทรามและไม่สมควรปฏิบัติ และที่สำคัญคือ พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “พวกเธอ (ภิกษุ) ทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท (คือรับมรดกธรรม) ของเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาท (คือรับมรดกสิ่งของ) เลย”
ที่มา:
http://www.naewna.com/
ปล.แม้แต่วงการศาสนา มันก็ไม่เว้นเลย...เอิ๊ก ๆ ๆ
พระพายัพ-พาพระยับ
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีข่าวว่าท่านได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส สมเด็จพระธีรญาณมุนี ให้เป็นพระฐานานุกรมในตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อึงมี่
เนื่องจากพระพายัพเพิ่งจะบวชได้ไม่ถึง 10 วัน ในขณะที่ตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมจะต้องบวชมาแล้วอย่างต่ำ 10 พรรษา
1) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2556 สื่อมวลชนโทรศัพท์ไปสัมภาษณ์พระพายัพขณะอยู่ที่ประเทศอินเดีย
พระพายัพ เขมะคุโณ ให้สัมภาษณ์ว่า “มีความตั้งใจที่จะบวชมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาและโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งวันบวชก็ทำพิธีเงียบ ๆ แบบเรียบง่ายทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีก็ทราบข่าวหลังจากที่บวชแล้วเพราะไม่ได้แจ้งให้ทราบ”
พระพายัพชี้แจงทางโทรศัพท์ ยืนยันว่าได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์จริง
โดยอธิบายว่า “การได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งพระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์นั้น ก็คล้ายกับการรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษที่สมเด็จพระธีรญาณมุนีท่านเห็นว่าอาตมาสร้างวัดมามาก ทำนุบำรุงศาสนาและปฏิบัติธรรมมาเยอะ ซึ่งเป็นความเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนา ตำแหน่งดังกล่าวก็เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา อนุเคราะห์หมู่สงฆ์ต่อไป ดังนั้น จึงเป็นภาระตำแหน่งไม่ใช่ความยินดี ท่านก็มอบภาระนี้ให้อาตมาก็รับไว้ อย่างไรก็ตามวันที่ 23 ก.พ.นี้จะเดินทางกลับประเทศไทยเพราะมีเทศน์ที่สวนอัมพรร่วมกับพระพยอม”
2) พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ ให้สัมภาษณ์เห็นดีเห็นงามไปกับพระพายัพ
อ้างว่า พระพายัพมีผลงานในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น การสร้างโบสถ์ จึงมีสิทธิได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมได้ แม้ว่าหลักเกณฑ์การแต่งตั้งพระฐานานุกรมจะต้องบวชหลายพรรษาก็ตาม “อาตมาเห็นว่า เราไม่ควรจะไปยึดเรื่องพรรษากันได้แล้ว เพราะพระบางรูปบวชมานานหลายพรรษา แต่ไม่เคยทำคุณงามความดี หรืออะไรที่เป็นประโยชน์แก่พระศาสนา ก็ไม่ควรเลื่อนตำแหน่งอะไรให้เลย”
ที่ร้ายกว่านั้น คือ พระพยอมอ้างว่า เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย หากพระพายัพไม่ใช่น้องชายของทักษิณ
ทำเหมือนกับจะให้เข้าใจว่า คนที่วิจารณ์เรื่องนี้เป็นพวกจะหาเรื่องทักษิณ
“พระบางรูปบวชมาหลายพรรษา...”
ถ้าพระพุทธศาสนาถือปฏิบัติตามแนวทางที่พระพยอมอ้าง ก็เท่ากับว่า ใครมีเงินมาก ไม่ต้องมีศีลธรรม ไม่ต้องเป็นคนดี ก็สามารถใช้เงินซื้อตำแหน่งในวงการสงฆ์ได้อย่างอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงพระวินัย ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือพรรษาของการบวช
ประเดี๋ยวคงมีโจรปล้นเงินแผ่นดิน เจียดเงินไปสร้างโบสถ์ วิหาร กุฏิหรูๆ หอระฆังใหญ่ๆโตๆ ยอยกพระสงฆ์ด้วยทรัพย์ แล้วก็บวชสักเดือน พ่วงขอโบนัสเป็นตำแหน่งใหญ่โตในวงการสงฆ์
3) ล่าสุด นายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา ออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะแก้เกี้ยวกรณีดังกล่าว
อ้างว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่การแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรม แต่เป็นเพียงการตั้ง “ฉายา” สำหรับพระบวชใหม่
อธิบายเรื่องใหม่ บอกว่า พระอุปัชฌาย์ของพระพายัพได้ตั้งฉายาให้ว่า “พระครูปลัด”
ยอมรับว่า การจะได้รับตำแหน่งพระฐานานุกรมนั้น จะต้องผ่านการอุปสมบทมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 พรรษา และเป็นพระที่มีคุณงามความดีเผยแผ่พุทธศาสนา และต้องเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม เพื่อนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
น่าคิดว่า นายปรีชามีหน้าที่เป็น “อธิบดีกรมการศาสนา” มิใช่ “โฆษกของพระพายัพ”
การพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ทำนองว่า ตำแหน่ง “พระครูปลัดสัมพิพัฒน์ญาณจารย์” เป็นเพียงฉายา จะเป็นการดูถูกสติปัญญาของคนไทยมากไปไหม เพราะในข่าวปรากฏฉายาอยู่ทนโท่ว่า “พระพายัพ เขมะคุโณ”
ยิ่งกว่านั้น พระพายัพยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจากประเทศอินเดีย ยืนยันว่าตนเองได้รับแต่งตั้งตำแหน่ง “พระครูปลัดฯ” จริงๆ ก่อนหน้าที่อธิบดีจะโผล่ออกมาแก้เกี้ยวเสียอีก!
ถ้าตกข่าว ก็ขอให้กลับไปอ่านข้อ 1
หรือถ้าอธิบดีกรมการศาสนาจะยืนยันว่า พระพายัพโกหก อวดอ้างว่าตนเองได้รับแต่งตั้งเป็น “พระครูปลัดฯ” ก็พูดออกมาดังๆ ชัดถ้อยชัดคำ!
4) เห็นพฤติกรรมของพระที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้างต้นแล้ว ช่างน่าสลดใจ...
ดูท่าว่า งานนี้ “พระพายัพ” จะพาพระยับ(เยิน) ไปเสียหรือไม่?
สำหรับพระที่บวชมานาน หากไม่ได้แก่แต่พรรษา หรือมีกิเลสบังตา พึงสังวรว่า ในสมัยพุทธกาล เคยมีพระสงฆ์พยายามประจบเอาใจคฤหัสถ์ เพียงเพราะพึงพอใจในของฉันที่เขาถวาย
ถึงกับพยายามแสดงความเห็นที่ไม่ถูกต้องต่อคณะสงฆ์
ปรากฏว่า พระพุทธเจ้าทรงติเตียน แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท มีใจความว่า “ภิกษุประทุษร้ายสกุล (ประจบคฤหัสถ์ ทอดตนลงให้เขาใช้) มีความประพฤติเลวทราม เป็นที่รู้เห็นทั่วไป ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวและขับเสียจากที่นั้น ถ้าเธอกลับว่าติเตียน ภิกษุทั้งหลายพึงสวดประกาศ (เป็นการสงฆ์) ให้เธอละเลิก ถ้าสวดครบ 3 ครั้ง ยังดื้อดึง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.”
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังเตือนภิกษุที่มาบวชให้สำเหนียกว่า การมาบวชแล้วกลับไปแสวงหากามที่ละแล้ว (คือ รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสที่ทำให้เจริญราคะ) ย่อมเป็นของต่ำทรามและไม่สมควรปฏิบัติ และที่สำคัญคือ พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ว่า “พวกเธอ (ภิกษุ) ทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาท (คือรับมรดกธรรม) ของเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาท (คือรับมรดกสิ่งของ) เลย”
ที่มา:http://www.naewna.com/
ปล.แม้แต่วงการศาสนา มันก็ไม่เว้นเลย...เอิ๊ก ๆ ๆ