ช่วงนี้กระแสฟุตบอลในบ้านเราคงจะเปลี่ยนจากการให้กำลังใจทีมชาติไทยมาเป็นติดตามผลงานของสโมสรภายในประเทศแทนนะครับ เพราะอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ฟุตบอลลีกอย่าง "โตโยต้าไทยพรีเมียร์ลีก" และ "ยามาฮ่าลีกวัน" ก็จะเริ่มต้นแข่งขันกัน
ส่วนดิวิชั่น2 "เอไอเอสลีกภูมิภาค" ก็เริ่มลุยกันไปก่อนแล้วในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนบอลหลายท่านคงอดใจรอแทบไม่ไหว...ผมก็เช่นกัน
ส่วนดิวิชั่น2 "เอไอเอสลีกภูมิภาค" ก็เริ่มลุยกันไปก่อนแล้วในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนบอลหลายท่านคงอดใจรอแทบไม่ไหว...ผมก็เช่นกัน
แต่ก่อนจะได้เชียร์ฟุตบอลในบ้านเรา มีสองทีมตัวแทนประเทศไทยที่ต้องลงทำศึก "เอเอฟซีแชมเปี้ยนลีก" ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย รายการที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ หนึ่งคือ "เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด" ในฐานะแชมป์ลีก และสองคือ "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" แชมป์เอฟเอคัพซึ่งผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จหลังจากเอาชนะ "บริสเบน โรว์" ทีมจาก เอลีก ออสเตรเลีย ในรอบเพลย์ออฟ โดยแมตช์แรกของรอบแบ่งกลุ่มจะลงทำการแข่งขันกันในวันที่ 26กุมภาพันธ์ นี้แล้ว
นี่ถือเป็นครั้งแรกครับที่ "กิเลนผยอง" ได้ลงเล่นในฟุตบอลรายการนี้ เพราะก่อนหน้านี้ทีมจากไทยยังไม่ได้โควต้าเข้ารอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ จึงต้องลงทำการแข่งขันในรอบคัดเลือกเสียก่อน ซึ่งเมืองทองฯ ในฐานะแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกปี 2009 และ 2010 ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกได้เลย หลังแพ้จุดโทษให้กับ สิงคโปร์ อาร์มฟอซ จากเอสลีก และ ศรีวิจาย่า ของอินโดนีเซีย สองปีติดต่อกัน
ส่วน "ปราสาทสายฟ้า" เพิ่งผ่านประสบการณ์ในถ้วยนี้มาเมื่อปีก่อน เก็บชัยชนะได้ในสองเกมแรก ก่อนจะแพ้รวดในอีกสี่นัดที่เหลือ ตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย เพราะทนแรงเสียดทานของเพื่อนร่วมกลุ่มสุดหินอย่าง กว่างโจว เอฟเวอร์แกรนด์ (จีน) ชุนบุค ฮุนไดมอเตอร์ (เกาหลีใต้) และ คาชิว่า เรย์โซล (ญี่ปุ่น) ไม่ได้นั้นเอง
สำหรับเส้นทางในรอบแรกของฟุตบอลถ้วยเอเชียของสองทีมตัวแทนจากประเทศไทยในปี 2013 เมืองทองฯ จะอยู่ในกลุ่มเอฟ ร่วมกับ กว่างโจ่ว เอฟเวอร์แกรนด์ ที่มาในฐานะดับเบิ้ลแชมป์จากเมืองจีน , ชุนบุค ฮุนไดมอเตอร์ รองแชมป์เคลีก และ อูราวะ เร้ดไดม่อน อันดับที่3 จากเจลีก
ฝั่ง บุรีรัมย์ฯ อยู่สายอี มี เอฟซี โซล แชมป์ลีกจากเกาหลีใต้ , เวกัลตะ เซนได รองแชมป์ลีกจากญี่ปุ่น และ เจียงสู เซนตี้ รองแชมป์จากจีน
งานหนักแน่นอนครับ สำหรับตัวแทนของบ้านเรา เพราะการพบกับทีมจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน มาตรฐานของทีมจากไทยเป็นรองอยู่แล้ว และที่สำคัญนักเตะท้องถิ่นจะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากสำหรับผลงานในการแข่งขันรายการนี้ เนื่องจากกฎการส่งนักเตะต่างชาติลงสนามจะใช้โควต้า 3+1( 3นักเตะนอกทวีปเอเชีย กับ 1นักเตะในทวีปเอเชีย) ดังนั้นศักยภาพของผู้เล่นภายในประเทศจึงต้องเจ๋งจริงหากหวังประสบความสำเร็จ
การวางแผนและทำการบ้านของทั้งสองทีมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดในฤดูกาลนี้ครับ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เห็นทั้งเมืองทองฯ และบุรีรัมย์ฯ กวาดนักเตะทั้งไทยและเทศเข้าสู่รังในปีนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะอย่าลืมว่ามีฟุตบอลถึง4รายการให้ชิงชัยตลอดฤดูกาลทั้ง ไทยพรีเมียร์ เอฟเอคัพ ลีกคัพ และเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก ด้วยเหตุนี้การมีทรัพยากรที่พอเพียงและมีคุณภาพจึงเป็นเรื่องที่ต้องเน้นเป็นที่สุด
เรื่องเหล่านี้ผมเชื่อทีมที่เป็นมืออาชีพทั้งสองได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีครับ ทั้งเรื่องของขุมกำลัง การเก็บตัวที่เข้มข้น หรือการมีเกมอุ่นเครื่องที่มีคุณภาพ มั่นใจว่าสโมสรสามารถควบคุมและรับมือกันได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือเรื่องของโปรแกรมการแข่งขันในทุกรายการมากกว่าที่อาจจะทำร้ายทั้งสองสโมสรนี้
ปัญหาการวางโปรแกรมการแข่งขันเป็นเรื่องคาราคาซังของฝ่ายจัดการแข่งขันบ้านเรามาตลอดหลายปีครับ ทุกซีซั่นเราจะได้เห็นโปรแกรมแข่งที่ทับซ้อนกันของฟุตบอลลีก และ ฟุตบอลถ้วย ยิ่งทีมไหนต้องออกไปเล่นรายการในต่างแดนแล้วด้วย บอกเลยว่าทำใจรอไว้ได้เลย
แล้วเมื่อไปเปิดตารางการแข่งขันของไทยพรีเมียร์ลีก2013 ที่อัพเดตในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ทางเว็บไซต์ www.thaipremierleague.co.th แล้วเอามาเทียบกับตารางแข่งเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีกรอบแบ่งกลุ่มก็ต้องกลุ้มใจ เมื่อโปรแกรมที่ "ทีพีแอล" ประกาศออกมา ในวันพุธที่ 13 มีนาคม เมืองทองฯ กับ บุรีรัมย์ฯ มีเกมลีกต้องลงทำการแข่งขัน ทั้งที่ทั้งสองทีมมีโปรแกรมลงสนามในฟุตบอลถ้วยเอเชียก่อนหน้านั้นแค่1วัน...!!
โปรแกรมจากเอเอฟซีระบุว่า วันอังคารที่ 12 มีนาคม บุรีรัมย์ฯ ต้องเปิดบ้านพบกับ เอฟซี โซล จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่วันรุ่งขึ้นจะลงเล่นในไอโมบายสเตเดี้ยมรับมือ ชัยนาท เอฟซี ตามโปรแกรมลีกที่ระบุไว้
หันมาดูฝั่งเมืองทองฯ ยิ่งแล้วใหญ่ แชมป์ลีก3สมัยของเมืองไทยมีคิวไปเยือน อูราวะ เร้ดไดม่อน ในวันที่12 มีนาคม ไม่ทราบว่าจะต้องเดินทางด้วยพาหนะอะไรที่จะทำให้ขุนพลกิเลนพุ่งจาก เมืองเซนได ไป เมืองชล เพื่อลงทำศึกใหญ่กับชลบุรี เอฟซี ได้ทันในวันรุ่งขึ้น...??
แม้ในโปรแกรมของไทยพรีเมียร์ลีกจะมีหมายเหตุบอกเอาไว้ว่าตารางแข่งขันอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม แต่ผมสงสัยว่าก่อนจะประกาศโปรแกรมออกมาทำไมไม่ทำให้เหมาะสมก่อนละครับ อย่าลืมว่าสโมสรต่างๆ ต้องวางแผนหลายอย่าง ทีมที่ต้องออกไปเยือนก็ต้องเตรียมการเดินทาง จองที่พัก หรือทีมที่ได้เล่นในบ้านที่ต้องจะทำการประชาสัมพันธ์หรือจำหน่ายตั๋วเข้าชมล่วงหน้าก็ติดขัดไปหมด เพราะการทำงานที่ต้องรอการแก้ไขอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
ยังดีที่ล่าสุด (18 กุมภาพันธ์ 2555) ทีพีแอล ได้อัพเดตโปรแกรมการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีกอันใหม่ออกมา ซึ่งก็มีการแก้ไขให้สอดคล้องกับฟุตบอลรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะไปชนกับรายการอื่นหรือไม่ต้องคอยติดตาม...555
บรรทัดสุดท้ายนี้ผมคงต้องวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารลีกภายในประเทศ ให้ช่วยทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบกว่านี้สักหน่อยนะครับ โครงการที่ไปดูงานสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศเห็นไปกันอย่างต่อเนื่อง ก็ควรเก็บเกี่ยวความรู้และการทำงานที่เป็นมืออาชีพกลับมาพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเราบ้าง อย่ามัวแต่ไปชมฟุตบอลฟรีและก็ถ่ายรูปถือผ้าพันคอสโมสรเมืองนอกกลับมาอย่างเดียว ประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์อะไร...!!!
by สุรเดช มั่นวิมล
ปล. ยังมีพวกรูปภาพ ที่เป็นตารางข้อมูลประกอบอยู่ในเนื้อหาด้วยนะคะ แต่ไม่สะดวกก๊อปมาลง
เครดิต
http://www.hikicker.com/footballthai/news/columnists/6599.html
เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก 2013 ศึกหนักของตัวแทนจากเมืองไทย
ช่วงนี้กระแสฟุตบอลในบ้านเราคงจะเปลี่ยนจากการให้กำลังใจทีมชาติไทยมาเป็นติดตามผลงานของสโมสรภายในประเทศแทนนะครับ เพราะอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ฟุตบอลลีกอย่าง "โตโยต้าไทยพรีเมียร์ลีก" และ "ยามาฮ่าลีกวัน" ก็จะเริ่มต้นแข่งขันกัน
ส่วนดิวิชั่น2 "เอไอเอสลีกภูมิภาค" ก็เริ่มลุยกันไปก่อนแล้วในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนบอลหลายท่านคงอดใจรอแทบไม่ไหว...ผมก็เช่นกัน
ส่วนดิวิชั่น2 "เอไอเอสลีกภูมิภาค" ก็เริ่มลุยกันไปก่อนแล้วในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เชื่อว่าแฟนบอลหลายท่านคงอดใจรอแทบไม่ไหว...ผมก็เช่นกัน
แต่ก่อนจะได้เชียร์ฟุตบอลในบ้านเรา มีสองทีมตัวแทนประเทศไทยที่ต้องลงทำศึก "เอเอฟซีแชมเปี้ยนลีก" ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย รายการที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ หนึ่งคือ "เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด" ในฐานะแชมป์ลีก และสองคือ "บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด" แชมป์เอฟเอคัพซึ่งผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จหลังจากเอาชนะ "บริสเบน โรว์" ทีมจาก เอลีก ออสเตรเลีย ในรอบเพลย์ออฟ โดยแมตช์แรกของรอบแบ่งกลุ่มจะลงทำการแข่งขันกันในวันที่ 26กุมภาพันธ์ นี้แล้ว
นี่ถือเป็นครั้งแรกครับที่ "กิเลนผยอง" ได้ลงเล่นในฟุตบอลรายการนี้ เพราะก่อนหน้านี้ทีมจากไทยยังไม่ได้โควต้าเข้ารอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ จึงต้องลงทำการแข่งขันในรอบคัดเลือกเสียก่อน ซึ่งเมืองทองฯ ในฐานะแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกปี 2009 และ 2010 ไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกได้เลย หลังแพ้จุดโทษให้กับ สิงคโปร์ อาร์มฟอซ จากเอสลีก และ ศรีวิจาย่า ของอินโดนีเซีย สองปีติดต่อกัน
ส่วน "ปราสาทสายฟ้า" เพิ่งผ่านประสบการณ์ในถ้วยนี้มาเมื่อปีก่อน เก็บชัยชนะได้ในสองเกมแรก ก่อนจะแพ้รวดในอีกสี่นัดที่เหลือ ตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย เพราะทนแรงเสียดทานของเพื่อนร่วมกลุ่มสุดหินอย่าง กว่างโจว เอฟเวอร์แกรนด์ (จีน) ชุนบุค ฮุนไดมอเตอร์ (เกาหลีใต้) และ คาชิว่า เรย์โซล (ญี่ปุ่น) ไม่ได้นั้นเอง
สำหรับเส้นทางในรอบแรกของฟุตบอลถ้วยเอเชียของสองทีมตัวแทนจากประเทศไทยในปี 2013 เมืองทองฯ จะอยู่ในกลุ่มเอฟ ร่วมกับ กว่างโจ่ว เอฟเวอร์แกรนด์ ที่มาในฐานะดับเบิ้ลแชมป์จากเมืองจีน , ชุนบุค ฮุนไดมอเตอร์ รองแชมป์เคลีก และ อูราวะ เร้ดไดม่อน อันดับที่3 จากเจลีก
ฝั่ง บุรีรัมย์ฯ อยู่สายอี มี เอฟซี โซล แชมป์ลีกจากเกาหลีใต้ , เวกัลตะ เซนได รองแชมป์ลีกจากญี่ปุ่น และ เจียงสู เซนตี้ รองแชมป์จากจีน
งานหนักแน่นอนครับ สำหรับตัวแทนของบ้านเรา เพราะการพบกับทีมจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน มาตรฐานของทีมจากไทยเป็นรองอยู่แล้ว และที่สำคัญนักเตะท้องถิ่นจะเป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากสำหรับผลงานในการแข่งขันรายการนี้ เนื่องจากกฎการส่งนักเตะต่างชาติลงสนามจะใช้โควต้า 3+1( 3นักเตะนอกทวีปเอเชีย กับ 1นักเตะในทวีปเอเชีย) ดังนั้นศักยภาพของผู้เล่นภายในประเทศจึงต้องเจ๋งจริงหากหวังประสบความสำเร็จ
การวางแผนและทำการบ้านของทั้งสองทีมจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดในฤดูกาลนี้ครับ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่เห็นทั้งเมืองทองฯ และบุรีรัมย์ฯ กวาดนักเตะทั้งไทยและเทศเข้าสู่รังในปีนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะอย่าลืมว่ามีฟุตบอลถึง4รายการให้ชิงชัยตลอดฤดูกาลทั้ง ไทยพรีเมียร์ เอฟเอคัพ ลีกคัพ และเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก ด้วยเหตุนี้การมีทรัพยากรที่พอเพียงและมีคุณภาพจึงเป็นเรื่องที่ต้องเน้นเป็นที่สุด
เรื่องเหล่านี้ผมเชื่อทีมที่เป็นมืออาชีพทั้งสองได้เตรียมตัวเป็นอย่างดีครับ ทั้งเรื่องของขุมกำลัง การเก็บตัวที่เข้มข้น หรือการมีเกมอุ่นเครื่องที่มีคุณภาพ มั่นใจว่าสโมสรสามารถควบคุมและรับมือกันได้สบายๆ แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงคือเรื่องของโปรแกรมการแข่งขันในทุกรายการมากกว่าที่อาจจะทำร้ายทั้งสองสโมสรนี้
ปัญหาการวางโปรแกรมการแข่งขันเป็นเรื่องคาราคาซังของฝ่ายจัดการแข่งขันบ้านเรามาตลอดหลายปีครับ ทุกซีซั่นเราจะได้เห็นโปรแกรมแข่งที่ทับซ้อนกันของฟุตบอลลีก และ ฟุตบอลถ้วย ยิ่งทีมไหนต้องออกไปเล่นรายการในต่างแดนแล้วด้วย บอกเลยว่าทำใจรอไว้ได้เลย
แล้วเมื่อไปเปิดตารางการแข่งขันของไทยพรีเมียร์ลีก2013 ที่อัพเดตในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ทางเว็บไซต์ www.thaipremierleague.co.th แล้วเอามาเทียบกับตารางแข่งเอเอฟซี แชมเปี้ยนลีกรอบแบ่งกลุ่มก็ต้องกลุ้มใจ เมื่อโปรแกรมที่ "ทีพีแอล" ประกาศออกมา ในวันพุธที่ 13 มีนาคม เมืองทองฯ กับ บุรีรัมย์ฯ มีเกมลีกต้องลงทำการแข่งขัน ทั้งที่ทั้งสองทีมมีโปรแกรมลงสนามในฟุตบอลถ้วยเอเชียก่อนหน้านั้นแค่1วัน...!!
โปรแกรมจากเอเอฟซีระบุว่า วันอังคารที่ 12 มีนาคม บุรีรัมย์ฯ ต้องเปิดบ้านพบกับ เอฟซี โซล จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่วันรุ่งขึ้นจะลงเล่นในไอโมบายสเตเดี้ยมรับมือ ชัยนาท เอฟซี ตามโปรแกรมลีกที่ระบุไว้
หันมาดูฝั่งเมืองทองฯ ยิ่งแล้วใหญ่ แชมป์ลีก3สมัยของเมืองไทยมีคิวไปเยือน อูราวะ เร้ดไดม่อน ในวันที่12 มีนาคม ไม่ทราบว่าจะต้องเดินทางด้วยพาหนะอะไรที่จะทำให้ขุนพลกิเลนพุ่งจาก เมืองเซนได ไป เมืองชล เพื่อลงทำศึกใหญ่กับชลบุรี เอฟซี ได้ทันในวันรุ่งขึ้น...??
แม้ในโปรแกรมของไทยพรีเมียร์ลีกจะมีหมายเหตุบอกเอาไว้ว่าตารางแข่งขันอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม แต่ผมสงสัยว่าก่อนจะประกาศโปรแกรมออกมาทำไมไม่ทำให้เหมาะสมก่อนละครับ อย่าลืมว่าสโมสรต่างๆ ต้องวางแผนหลายอย่าง ทีมที่ต้องออกไปเยือนก็ต้องเตรียมการเดินทาง จองที่พัก หรือทีมที่ได้เล่นในบ้านที่ต้องจะทำการประชาสัมพันธ์หรือจำหน่ายตั๋วเข้าชมล่วงหน้าก็ติดขัดไปหมด เพราะการทำงานที่ต้องรอการแก้ไขอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
ยังดีที่ล่าสุด (18 กุมภาพันธ์ 2555) ทีพีแอล ได้อัพเดตโปรแกรมการแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีกอันใหม่ออกมา ซึ่งก็มีการแก้ไขให้สอดคล้องกับฟุตบอลรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะไปชนกับรายการอื่นหรือไม่ต้องคอยติดตาม...555
บรรทัดสุดท้ายนี้ผมคงต้องวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารลีกภายในประเทศ ให้ช่วยทำงานด้วยความละเอียดรอบคอบกว่านี้สักหน่อยนะครับ โครงการที่ไปดูงานสโมสรฟุตบอลในต่างประเทศเห็นไปกันอย่างต่อเนื่อง ก็ควรเก็บเกี่ยวความรู้และการทำงานที่เป็นมืออาชีพกลับมาพัฒนาวงการฟุตบอลบ้านเราบ้าง อย่ามัวแต่ไปชมฟุตบอลฟรีและก็ถ่ายรูปถือผ้าพันคอสโมสรเมืองนอกกลับมาอย่างเดียว ประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์อะไร...!!!
by สุรเดช มั่นวิมล
ปล. ยังมีพวกรูปภาพ ที่เป็นตารางข้อมูลประกอบอยู่ในเนื้อหาด้วยนะคะ แต่ไม่สะดวกก๊อปมาลง
เครดิต http://www.hikicker.com/footballthai/news/columnists/6599.html