'พงษ์ศักดิ์'ชู7แนวทาง จัดหาพลังงาน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556
"พงษ์ศักดิ์"เปิด 7 นโยบายกระทรวงพลังงาน ดันโครงการเอ็นเนอร์ยี่บริดจ์ ผลักดันสำรองน้ำมันกว่า 100 วันภายใน 10 ปี
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าตนได้มอบนโยบายสำคัญให้กับกระทรวงพลังงานในการสัมมนาทิศทางพลังงานปี2556 โดยกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยจะต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญมากที่สุด คือความสมดุลทางนโยบายระหว่างการพัฒนาพลังงานที่มีอยู่ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่ออนาคต
โดยมีแนวทางนโยบายสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ 1. นโยบาย Energy Bridge ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีชายฝั่ง (Coastline) ทั้ง 2 ด้าน คือ ฝั่งทะเลอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย สามารถใช้จุดแข็งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมระบบการค้าเพื่อพัฒนาประเทศ ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยมีประเทศที่กำลังเติบโตอย่างมาก เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ส่วนฝั่งตะวันออกก็เป็นทางที่ไปยัง จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ได้ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกลุ่มประเทศ BRICS (Brazil, Russia, India, China and South Africa) ในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้น ปริมาณน้ำมันที่ผ่านจากศูนย์กลางการผลิตในตะวันออกกลาง ไปยังศูนย์กลางการบริโภคในเอเชียก็จะสูงขึ้น การพัฒนา Energy Bridge เพื่อเชื่อมโยงการค้าน้ำมันที่ผ่านทางฝั่งทะเลอันดามัน มายังฝั่งอ่าวไทย จะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันของภูมิภาค
2. นโยบายกำหนดราคาน้ำมันเท่ากันทั่วประเทศ นโยบายนี้เป็นนโยบายที่จะมีส่วนในการสร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานให้กับพี่น้องประชาชน โดยจะกำหนดให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเท่ากัน โดยอาศัยท่อขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
3. นโยบายสำรองเชื้อเพลิงเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน คาดว่าหลังจากท่อส่งน้ำมันเอ็นเนอร์ยี่บริดจ์จะทำให้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีปริมาณสำรองน้ำมันเกิน 100 วัน
4. การพัฒนาวิสาหกิจพลังงานทดแทนในชุมชน การผลิตพลังงานจากหญ้าเนเปียร์ เกษตรกรจะมีรายได้ประมาณ 1.2-2.4 หมื่นบาทต่อไร่ต่อเดือน รัฐบาลจะให้เงินอุดหนุน 4.50 บาทต่อหน่วย และในอนาคต 3-4 ปีราคาไฟฟ้าฐานจะเพิ่มขึ้นเท่ากับต้นทุนโรงไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ จนรัฐไม่ต้องอุดหนุน ซึ่งจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางไฟฟ้ามากขึ้น
5.การพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากภาคเกษตรเพื่อสร้าง New Growth ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายสำคัญของโลก เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เอทานอล นอกจากนี้ อ้อยและมันสำปะหลังสามารถนำมาผลิตเป็น “ไบโอพลาสติก” สร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยประมาณ 7 เท่าและผลปาล์มนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล และจะขยายไปสู่น้ำมันไบโอดีเซล บีเอชดี ซึ่งสามารถต่อยอดไปเป็นน้ำมันสำหรับเครื่องบินได้ในภายใน 2 ปี
6. ด้านการอนุรักษ์พลังงาน เป็นมิติที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 7.เรื่องการกำกับราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานมีนโยบายปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม ที่มีการบิดเบือนราคามาเป็นเวลานานหลายสิบปี
"เรามีกลไกชดเชยให้กับผู้มีรายได้น้อย ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน เข้มงวดการลักลอบส่งออก LPG และลักลอบบรรจุผิดประเภท ตลอดจนการขยายการให้บริการ NGV แต่ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อก๊าซ จะส่งเสริมให้มีการผลิตก๊าซซีบีจีจากหญ้าเนเปียร์ นำมาเติมในรถยนต์ทดแทนเอ็นจีวี "
ภาพใหญ่แผนพลังงาน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556
"พงษ์ศักดิ์"เปิด 7 นโยบายกระทรวงพลังงาน ดันโครงการเอ็นเนอร์ยี่บริดจ์ ผลักดันสำรองน้ำมันกว่า 100 วันภายใน 10 ปี
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าตนได้มอบนโยบายสำคัญให้กับกระทรวงพลังงานในการสัมมนาทิศทางพลังงานปี2556 โดยกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยจะต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญมากที่สุด คือความสมดุลทางนโยบายระหว่างการพัฒนาพลังงานที่มีอยู่ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่ออนาคต
โดยมีแนวทางนโยบายสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ 1. นโยบาย Energy Bridge ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ มีชายฝั่ง (Coastline) ทั้ง 2 ด้าน คือ ฝั่งทะเลอันดามัน และฝั่งอ่าวไทย สามารถใช้จุดแข็งนี้มาเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมระบบการค้าเพื่อพัฒนาประเทศ ฝั่งตะวันตกของประเทศไทยมีประเทศที่กำลังเติบโตอย่างมาก เช่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ส่วนฝั่งตะวันออกก็เป็นทางที่ไปยัง จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย รวมถึงสหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ได้ ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อกลุ่มประเทศ BRICS (Brazil, Russia, India, China and South Africa) ในอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น การใช้น้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้น ปริมาณน้ำมันที่ผ่านจากศูนย์กลางการผลิตในตะวันออกกลาง ไปยังศูนย์กลางการบริโภคในเอเชียก็จะสูงขึ้น การพัฒนา Energy Bridge เพื่อเชื่อมโยงการค้าน้ำมันที่ผ่านทางฝั่งทะเลอันดามัน มายังฝั่งอ่าวไทย จะเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันของภูมิภาค
2. นโยบายกำหนดราคาน้ำมันเท่ากันทั่วประเทศ นโยบายนี้เป็นนโยบายที่จะมีส่วนในการสร้างความเสมอภาค และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงพลังงานให้กับพี่น้องประชาชน โดยจะกำหนดให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเท่ากัน โดยอาศัยท่อขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง
3. นโยบายสำรองเชื้อเพลิงเชิงยุทธศาสตร์ เป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน คาดว่าหลังจากท่อส่งน้ำมันเอ็นเนอร์ยี่บริดจ์จะทำให้ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยจะมีปริมาณสำรองน้ำมันเกิน 100 วัน
4. การพัฒนาวิสาหกิจพลังงานทดแทนในชุมชน การผลิตพลังงานจากหญ้าเนเปียร์ เกษตรกรจะมีรายได้ประมาณ 1.2-2.4 หมื่นบาทต่อไร่ต่อเดือน รัฐบาลจะให้เงินอุดหนุน 4.50 บาทต่อหน่วย และในอนาคต 3-4 ปีราคาไฟฟ้าฐานจะเพิ่มขึ้นเท่ากับต้นทุนโรงไฟฟ้าจากหญ้าเนเปียร์ จนรัฐไม่ต้องอุดหนุน ซึ่งจะทำให้ไทยมีความมั่นคงทางไฟฟ้ามากขึ้น
5.การพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจากภาคเกษตรเพื่อสร้าง New Growth ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายสำคัญของโลก เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ที่สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ อาทิ เอทานอล นอกจากนี้ อ้อยและมันสำปะหลังสามารถนำมาผลิตเป็น “ไบโอพลาสติก” สร้างมูลค่าเพิ่มจากอ้อยประมาณ 7 เท่าและผลปาล์มนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล และจะขยายไปสู่น้ำมันไบโอดีเซล บีเอชดี ซึ่งสามารถต่อยอดไปเป็นน้ำมันสำหรับเครื่องบินได้ในภายใน 2 ปี
6. ด้านการอนุรักษ์พลังงาน เป็นมิติที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 7.เรื่องการกำกับราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานมีนโยบายปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะราคาก๊าซหุงต้ม ที่มีการบิดเบือนราคามาเป็นเวลานานหลายสิบปี
"เรามีกลไกชดเชยให้กับผู้มีรายได้น้อย ไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน เข้มงวดการลักลอบส่งออก LPG และลักลอบบรรจุผิดประเภท ตลอดจนการขยายการให้บริการ NGV แต่ในพื้นที่ห่างไกลจากแนวท่อก๊าซ จะส่งเสริมให้มีการผลิตก๊าซซีบีจีจากหญ้าเนเปียร์ นำมาเติมในรถยนต์ทดแทนเอ็นจีวี "