สามก๊กฉบับฮูหยิน (๙)

กระทู้สนทนา
สามก๊กฉบับฮูหยิน (๙)

นางผู้รักลูกยิ่งชีวิต

ญาติผู้พเนจร

"เล่าเซี่ยงชุน"

เมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นเมืองใหญ่ ที่อยู่ใกล้ชิดกับเมืองกังตั๋งในภาคใต้และ มีความสำคัญ ทางยุทธศาสตร์ของสามก๊กอย่างยิ่งนั้น เดิมเจ้าเมืองชื่อ เล่าเปียว เป็นญาติกับ เล่าปี่ ผู้กำลังร่อนเร่พเนจร เพื่อหาถิ่นฐานที่จะตั้งหลักเป็นใหญ่ในแผ่นดินอยู่ มีภรรยาคนแรกชื่อ นางต้านซี มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เล่ากี๋ ต่อมาได้มีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อ นางชัวฮูหยิน มีบุตรชายอีกคนหนึ่งชื่อ เล่าจ๋อง

เมื่อเล่าปี่ยกพลไปตีเมืองฮูโต๋ แล้วพ่ายแพ้แก่ โจโฉ เมื่อ พ.ศ.๗๔๖ นั้น เล่าปี่ได้หนีมาอาศัยอยู่กับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แล้วรับอาสาไปปราบขบถที่เมืองกังแฮ จึงมีความชอบมาก เล่าเปียวไว้ใจส่งสามทหารเสือของเล่าปี่คือ เตียวหุย ไปอยู่รักษาด่านเมืองลำอวดป้องกันพวกฮวน กับให้ กวนอู ไปรักษาด่านเมืองตังฉวน ป้องกัน เตียวฬ่อ และให้ จูล่ง ไปเฝ้าด่านทางเมืองกังตั๋งป้องกัน ซุนกวน ทางทิศใต้

ส่วนตัวเล่าปี่นั้นให้อยู่เป็นที่ปรึกษาในเมืองเกงจิ๋ว

นางชัวฮูหยินก็ไม่ค่อยไว้ใจเล่าปี่อยู่แล้วพอดี ชัวมอ น้องชายมาบอกว่า

"...บัดนี้เล่าเปียวเชื่อถือเล่าปี่ ให้ทหารเล่าปี่ทั้งสามคนนั้น คุมทหาร ออกไปตั้งอยู่ปลายแดนทั้งสามตำบล ตัวเล่าปี่นั้นอยู่ในเมือง นานไปข้าพเจ้าเห็นจะมีภัยมาถึงเล่าเปียวเป็นมั่นคง....."

พอถึงเวลาค่ำนางชัวฮูหยินก็หาโอกาสคุยกับเล่าเปียวว่า

"...ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าชาวเมืองเกงจิ๋วไปมาหาสู่เล่าปี่เป็นอันมาก ขอท่านเร่งระวังตัวจงหนัก หาไม่จงคิดอ่านให้เล่าปี่ไปอยู่รักษาเมืองอื่นซึ่งขึ้นแก่เมืองเราดีกว่า ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้า เห็นภัยจะมาถึงตัวท่าน....."

เล่าเปียวก็ตอบว่าอันเล่าปี่นั้นเป็นคนสัตย์ซื่อ มิได้คิดร้ายต่อเรา นางชัวฮูหยินก็ย้ำว่า

"....ซึ่งท่านจะประมาณใจเล่าปี่ว่าซื่อนั้น เกลือกเขาจะไม่ซื่อเหมือน ใจท่าน....."

เล่าเปียวเกรงใจภรรยาก็นิ่งอยู่ แต่ต่อมาไม่ช้าก็หาทางให้เล่าปี่ไปอยู่เสียที่เมืองซินเอี๋ย ตามที่นางชัวฮูหยินแนะนำ

เล่าปี่ไปอยู่เมืองซินเอี๋ยได้สี่ปี นางกำฮูหยิน ภรรยาใหญ่ก็ได้คลอดบุตรเป็นชายชื่อ อาเต๊า พอรู้ข่าวว่าโจโฉยกทัพไปปราบ อ้วนเสี้ยว ทางทิศเหนือเล่าปี่ก็เข้ามาปรึกษากับเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว ให้ยกทัพไปตีเมืองฮูโต๋อีก แต่เล่าเปียวยังไม่อยาก ให้ไพร่พลเดือดร้อน จึงไม่ตกลงด้วย

ต่อมาได้ข่าวว่าโจโฉมีชัยชนะต่ออ้วนเสี้ยว และจะยกทัพมาตีเมืองเกงจิ๋ว จึงเรียกเล่าปี่มาปรึกษาอีก นางชัวฮูหยินก็คอยแอบฟังอยู่หลังมู่ลี่ตามเคย เมื่อกินโต๊ะเสพสุรากันอยู่นั้น เล่าเปียวก็ร้องไห้ เล่าปี่จึงถามว่าเหตุใดจึงโศกเศร้า เล่าเปียวก็ว่า ความทุกข์นั้นใหญ่หลวงนัก เล่าปี่ก็ขอให้บอกถ้าช่วยได้ก็จะได้ช่วย เล่าเปียวจึงบอกว่า

".....นางต้านซีภรรยาของเราซึ่งตายนั้น มีบุตรอยู่คนหนึ่งชื่อเล่ากี๋ ปัญญานั้นเฉลียวฉลาดอยู่ แต่เป็นคนใจเย็น เห็นจะคิดการสิ่งใดไม่ตลอด แลเล่าจ๋องบุตร นางชัวฮูหยิน ซึ่งเป็นภรรยาเราทุกวันนี้ มีสติปัญญาฉลาด จะคิดสิ่งใดก็หนักแน่น ดีกว่า เล่ากี๋ผู้พี่ บัดนี้เราคิดว่าจะให้เล่าจ๋องเป็นเจ้าเมืองแทนเรา แต่เกรงอยู่ว่าจะผิดธรรมเนียมโบราณ คนทั้งปวงจะครหานินทาได้ ครั้นจะตั้งเล่ากี๋ผู้พี่ให้เป็นเจ้าเมืองตามประเพณีเล่า ก็เกรงอยู่ว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยิน ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองนี้ก็หลายคน แล้วให้คุมทหารอยู่เป็นอันมาก เกลือกเราถึงแก่ความตายแล้ว คนทั้งนี้จะคิดทำร้ายเล่ากี๋เสีย เหตุดังนี้เราจึงว่ามีทุกข์ใหญ่หลวง....."

เล่าปี่ก็ว่า

"....อันท่านจะให้บุตรน้อยเป็นเจ้าเมืองก่อนบุตรผู้ใหญ่นั้น ไม่ควร ซึ่งเกรงว่าญาติพี่น้องนางชัวฮูหยินจะทำร้ายเล่ากี๋นั้นท่านจงค่อยคิดอ่านผ่อนกำลัง คนเหล่านี้เสียให้เบาบาง แล้วจึงตั้งเล่ากี๋เป็นเจ้าเมืองแทน ก็จะไม่มีอันตราย....."

เล่าเปียวก็เห็นด้วย ทั้งสองเสพสุราต่อไปเล่าปี่ก็เมามากขึ้น จึงคุยโวโอ้อวดว่าจะปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้สิ้น ครั้นรู้สึกตัวว่าพูดมากก็ขอลากลับไปที่พัก

ฝ่ายนางชัวฮูหยินแอบฟังอยู่ ได้ความว่าเล่าปี่ไม่เข้าข้างลูกของตน ก็มีความโกรธ พอเล่าปี่ไปแล้วเล่าเปียวกลับมาที่ข้างใน นางก็ยุเล่าเปียวว่า

".....เมื่อกี้นี้เล่าปี่พูดจาหยาบช้าดูหมิ่นหัวเมืองทั้งปวง แลตัวท่านก็เป็นเจ้าเมืองใหญ่อยู่ตำบลหนึ่ง ซึ่งเล่าปี่ว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านเห็นประจักษ์แล้วหรือ นานไปเล่าปี่จะคิดเอาเมืองเกงจิ๋ว อันตรายจะมีมาถึงท่าน ขอให้เร่งคิดกำจัดเล่าปี่เสีย ท่านจึงจะพ้นภัย....."

เล่าเปียวก็นิ่งเฉยเสียอีก

นางชัวฮูหยินจึงให้คนใช้ไปตามชัวมอมาปรึกษาชัวมอก็ว่าอย่าวิตกเวลานี้เล่าปี่กำลังเมาอยู่ จะรีบไปฆ่าเสียแล้วจึงค่อยกลับมาแจ้งแก่เล่าเปียว นางชัวฮูหยินก็เร่งให้น้องชายไปจัดการโดยเร็ว

แต่เมื่อไปถึงที่พักของเล่าปี่ในเวลาประมาณสองยามก็ปรากฎว่าเล่าปี่ได้หนีกลับไปเมืองซินเอี๋ยเสียแล้ว ชัวมอจึงแค้นเป็นอันมาก แกล้งเขียนโคลงสี่บทไว้ที่ฝาผนังตึกข้างที่นอนของเล่าปี่ แล้วรุ่งเช้าก็พาเล่าปี่ไปดูโคลงนั้นมีความว่า

สู้จำใจทุกข์ทรมานเป็นหลายปี ตั้งใจคิดการจะเอาราชสมบัติ ธรรมดาชาติมังกรซึ่งจะอยู่ในสระและห้วยหนองนั้นไม่ได้ ถ้าได้ทีแล้วก็จะขึ้นไปสำแดงฤทธิ์บนอากาศ

ทีแรกเล่าเปียวอ่านแล้วก็โกรธเป็นอันมาก แต่ก็กลับคิดได้ว่า เล่าปี่นั้นไม่มีความรู้พอที่จะเขียนคำโคลงได้ จึงเห็นว่าเป็นอุบายของผู้ที่เกลียดชังเล่าปี่ ก็มิได้ทำประการใด ชัวมอก็นำความมาเล่าให้นางชัวฮูหยินฟัง นางก็ให้หาหนทางอื่นต่อไป

ต่อมาใกล้จะถึงวันขึ้นปีใหม่ ชัวมอก็บอกกับเล่าเปียว ให้เตรียมตัวที่จะไปต้อนรับและให้โอวาท แก่เจ้าเมืองขึ้นที่จะมาประชุมกันที่เมืองซงหยง ตามประเพณี เล่าเปียวก็ว่าป่วยอยู่จะให้เล่ากี๋กับเล่าจ๋องไปต้อนรับแทน ชัวมอก็แย้งว่าบุตรทั้งสองยังอ่อนแก่ความคิด ไม่ควรจะให้ไปคอยรับขุนนางผู้ใหญ่ เล่าเปียวจึงให้เชิญเล่าปี่มาแทนตน ชัวมอก็ยินดีรีบแต่งคนไปแจ้งให้เล่าปี่ทราบ

พอถึงวันขึ้นปีใหม่เล่าปี่ก็มาที่เมืองซงหยง พร้อมด้วยจูล่งทหารเอก กับพลทหารอีกสามร้อยคน เพื่อเป็นประธานต้อนรับเจ้าเมืองที่มาประชุมกัน ซึ่งมีเจ้าเมืองโทเก้าเมืองเจ้าเมืองตรีจัตวาสี่สิบสองหัวเมือง

ชัวมอก็ให้น้องชายสามคนคือ ชัวโฮ คุมทหารไปดักตรงประตูทิศตะวันออก ชัวต๋ง คุมทางประตูทิศใต้ ชัวหุน คุมประตูทิศเหนือคงเหลือแต่ประตูทิศตะวันตก ซึ่งมีแม่น้ำตันเขขวางอยู่

พอประชุมเสร็จก็มีการเลี้ยงโต๊ะกันตามธรรมเนียม ชัวมอก็ให้ทหารห้าร้อยคน ล้อมที่กินเลี้ยงไว้

ขณะที่กินเลี้ยงนั้น จูล่งก็ถือกระบี่คอยรักษาเล่าปี่อยู่ ชัวมอก็ให้ขุนนาง มาเชิญจูล่งออกไปกินโต๊ะข้างนอก แม้จูล่งจะอิดเอื้อน แต่เล่าปี่ก็ออกปากอนุญาตให้ไปได้
ชัวมอก็รอเวลาให้เล่าปี่เมาสุรา แล้วจะได้จับตัวฆ่าเสีย แต่มีผู้หวังดีต่อเล่าปี่แอบกระซิบ ให้เล่าปี่ลอบหนีออกทางด้านหลังไปเสีย ก่อนที่ชัวมอจะลงมือ

เล่าปี่ควบม้าไปทางประตูทิศตะวันตกแต่ผู้เดียว นายประตูก็มาแจ้งให้ชัวมอทราบ จึงรีบพาทหาร ตามไปประมาณสามสิบเส้น ถึงริมฝั่งแม่น้ำตันเข ก็เห็นเล่าปี่ขี่ม้าข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้ามแล้ว ทั้ง ๆ ที่แม่น้ำนั้นกว้างประมาณสิบวาน้ำก็ลึกมาก ชัวมอตามไปไม่ได้ ก็ตะโกนถามว่าเหตุใดจึงไม่อยู่กินโต๊ะจะรีบไปไหน

เล่าปี่ก็ตอบว่าชัวมอคิดร้ายจะฆ่าตนจึงหนีมาเสีย ชัวมอก็ชักลูกเกาทัณฑ์
ออกจะยิง เล่าปี่จึงควบม้าหนีต่อไปทางทิศตะวันตก ชัวมอคิดว่าชรอยเทพยดาจะช่วยให้เล่าปี่ข้ามแม่น้ำไปได้ จึงไม่คิดจะติดตามไปอีก

เมื่อเล่าปี่กลับไปถึงเมืองซินเอี๋ยแล้ว ก็ให้ ซุนเขียน ถือหนังสือมาถึงเล่าเปียวมีความว่า

"....ซึ่งท่านให้หาข้าพเจ้ามากินโต๊ะรับคำนับขุนนาง ข้าพเจ้าก็ได้มา และขณะเมื่อเลี้ยงโต๊ะกันอยู่นั้น ชัวมอคิดจะทำร้ายข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าหนีได้จึงพ้นจากอันตราย แลเหตุผลทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้ทันจะแจ้งแก่ท่าน ด้วยจะรีบหนีเอาตัวรอด...."

เล่าเปียวอ่านแล้วก็โกรธ ให้เรียกตัวชัวมอมาด่าว่า

"....บังอาจ คิดจะฆ่าเล่าปี่ผู้น้องกูเสียตามอำเภอใจ หามีความยำเกรงไม่....."

แล้วก็สั่งให้ทหารเอาตัวไปประหารเสีย

ขณะนั้นนางชัวฮูหยินรู้เรื่องจึงรีบออกมาขอร้องว่า

"..ซึ่งชัวมอบังอาจ ทำการทั้งนี้ โทษก็ผิดอยู่แล้ว ท่านจะให้เอาไปฆ่าเสียนั้นก็ควรอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอโทษไว้สักครั้งหนึ่งก่อน....."

เล่าเปียวเกรงใจภรรยาก็นิ่งอยู่ ซุนเขียนจึงพูดเป็นเชิงไมตรีว่า

".....ชัวมอทำผิดท่านจะให้ประหา ชีวิตเสียนั้นก็ชอบอยู่ แต่ว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า ถ้าชัวมอตายแล้วเล่าปี่จะอยู่ในแว่นแคว้นของท่านก็คงไม่มีความสุข ซึ่งเอ็นดูเล่าปี่นั้นก็เหมือนหาประโยชน์ไม่....."

เล่าเปียวก็เห็นชอบด้วย จึงได้แต่คาดโทษชัวมอไว้ครั้งหนึ่ง แล้วก็ให้เล่ากี๋บุตรคนโตไปเมืองซินเอี๋ยกับซุนเขียน เพื่อขอขมาเล่าปี่แทนตน

ปีต่อมาเมื่อ โจโฉ ปราบ อ้วนเสี้ยว ผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือ เรียบร้อยลงแล้ว ก็ยกกองทัพมุ่งลงมาทางใต้ ตั้งใจจะตีดะตั้งแต่เมืองซินเอี๋ยไปจนถึงเมืองเกงจิ๋ว และเมืองกังตั๋งของ ซุนกวน

เล่าเปียว ก็เชิญ เล่าปี่ มาปรึกษา และจะให้เข้ามาช่วยว่าราชการในเมืองเกงจิ๋วด้วย แต่เล่าปี่ก็ปฏิเสธและออกอุบายให้ เล่ากี๋ บุตรชายคนโตของเล่าเปียว ไปรักษาเมืองกังแฮให้พ้นภัยจาก นางชัวฮูหยิน มารดาเลี้ยง แล้วตนเองก็ขอลากลับไปรักษาเมืองซินเอี๋ยตามเดิม

นางชัวฮูหยินจึงต้องหาโอกาสใหม่ เพื่อกำจัดเล่าปี่ญาติผู้พเนจร มิให้เป็นก้างขวางทางขึ้นเป็นใหญ่ ของบุตรอันเป็นที่รักแห่งตน ให้จงได้.

##########


วางเมื่อ ๑๘ ก.พ.๕๖ เวลา ๑๙.๕๔
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่