หวังว่าคงไม่สายจนเกินไปสำหรับการที่ผมจะกล่าวถึง เกมหยุดโลกระหว่าง แมนยูฯ เจอเรอัลมาดริด ในวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา
ผมห่างเหินจากการเขียนคอลัมน์มาพักใหญ่ คอลัมน์ก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปวันที่ 28 ม.ค.เลยทีเดียว ซึ่งบทความนี้จริงๆก็น่าจะถึงสายตาท่านผู้อ่านประมาณ2วันที่แล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านละกันครับ
วันนี้ผมอยากเขียนประเด็นเกี่ยวกับแมทช์หยุดโลกคู่นี้ซักหน่อย ทุกท่านที่ชอบแทคติคฟุตบอล ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากแน่นอนกับบทความชิ้นนี้
สถิติในการมาเยือน ซานติเอโก้ เบร์นาบิว ของแมนยูฯ ไม่สู้ดีนัก ไม่เคยมาชนะที่นี่ได้เลย (เสมอ 2 แพ้ 2) และ การคุมทีมของ เฟอร์กี้ นั้นเอาชนะลูกทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ ได้แค่ 2 ครั้ง จาก14 ครั้งที่พบกัน (เสมอ 6 แพ้ 6)
อย่างไรก็ตาม สถิติทั้งหลายก็เป็นแค่เรื่องของสถิติ ก่อนเกม ผมนึกอะไรพิศดารๆปลอบใจตัวเองก่อนแข่งว่า มันเป็นวันที่ 13 ปี 2013 (เลข 3 กลับหัวหงายขึ้นและเลข 1เป็นด้าม เป็นสามง่ามอาวุธของปีศาจ) และแข่งในคืนวันพุทธเป็นวันของพระราหู ผีคงไม่แพ้กลับออกไปหรอก เพราะเป็นทั้งวันแห่งผี(นอกจากเลข666) และเป็นวันของพระราหูอสูรตนหนึ่ง ผลออกมาคงรู้กันแล้วสินะครับ ฮ่าๆ
เรอัล มาดริด ใช้แผนถนัด 4-2-3-1 เบนเซม่า เป็นหน้าเป้า มิดฟืลด์ตัวรุกคือ โอซิล กราบซ้ายใช้ โรนัลโด้ ทางขวาใช้ ดิ มาเรีย กลางสองคนถัดลงมาใช้ อลอนโซ่ คู่ เคดิร่า แนวรับใช้แบ๊กซ้าย โคเอนเทรา แบ๊กขวา อาร์เบลัว กองหลังตัวกลางสองคนคือ วาราน และ รามอส ผู้รักษาประตูคือ โลเปซ
ทางด้านแมนยูฯ ทีมเยือน แม้ในกระดานเราจะเห็นเป็น 4-4-2 แต่การเล่นจริงๆ ในนัดนี้คือ 4-2-3-1 รูนี่ย์ ไม่ได้เป็นหน้าต่ำตามฝังกระดาน แต่เป็นตัวรุกในแผงมิดฟืลด์ ผู้เล่นแมนยูใช้ ฟาน เพอร์ซี่ เป็นหน้าเป้า รูนี่ย์ เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลาง ทางกราบซ้ายใช้ คากาวะ กราบขวา เวลเบ็ค กองกลาง2คนใช้ ฟิล โจนส์ คู่กับ คาร์ริค แผงหลังแบ็คซ้ายใช้ เอวร่า แบ๊คขวา ราฟาเอล กองหลังตัวกลางคือ เฟอร์ดินานด์ และ อีแวนส์ ผู้รักษาประตูคือ เด เคอา
รูปแบบการเล่นของ เรอัล มาดริด ในเกมนี้เป็นฝ่ายครองเกมได้ดีกว่า แต่ผมมองว่า จุดอ่อนของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้ที่ต้องปรับปรุงเลยคือการประสานงานกันระหว่าง มิดฟิลด์ตัวรุกคือ โอซิล และศูนย์หน้าตัวเป้า หลายครั้งมันดูขาดๆเกินๆ ไม่เป็นสูตรสำเร็จตายตัว ซึ่งแผนนี้สำคัญมากๆ ที่ผู้เล่นในตำแหน่งนี้ต้องประสานงานกันให้ได้ เพราะมันเป็นแผนที่ใช้ศูนย์หน้าเพียงคนเดียว และเกมนี้ก็เป็นไปอย่างทีเห็น เราแทบไม่ได้เห็นการประสานงานกันอย่างลงตัวเลย ระหว่าง โอซิล กับ เบนเซม่า หรือ อิกวาอิน ที่เปลี่ยนลงมาแทนเลย
ถ้าเทียบกับฝ่าย แมนยูฯ แล้ว ฟาน เพอร์ซี่ กับ รูนี่ย์ ประสานงานกันได้อย่างลงตัวในแผนนี้ โดยใช้โอกาสไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองด้วยซ้ำ
โดยในครึ่งแรก เริ่มเกมมา เรอัล มาดริด มีเกมรุกที่คึกคักดุดันเลยทีเดียว และในนาที่ที่ 6 เท่านั้นที่ เรอัล มาดริด เกือบขึ้นนำจาก โคเอนเทรา ซึ่งต้องชม เด เคอา ที่เซฟชนิดปลายนิ้วมือแบบสุดๆ ส่งผลให้บอลไปชนเสาเด้งออกมา
นี้คือจุดเปลี่ยน จุดหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว ท่า แมนยูฯ โดนนำเร็วขนาดนั้น ฝ่าย มาดริด ที่กำลังเล่นเกมรุกได้อย่างคึกคัก เป็นฝ่ายได้ใจแน่นอน ซึ่ง แมนยูฯ ที่ยังตั้งตัวไม่ติด ถ้าเล่นเกมรุกสู้แล้วหลังลอยดันสูงขึ้น มีโอกาสโดนลูกที่สองอีกแน่
แม้แทคติคจะเตรียมตัวดีมาแค่ไหน แต่การโดนยิงเร็ว เชื่อว่าเป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากในการตัดสินเกมในเวลาทีเหลือ
ซึ่งแม้ เรอัล มาดริด จะต่อบอลด้วยความมั่นใจแต่ ยิงนำไม่ได้ เมื่อ แมนยูฯ มีโอกาสก็สามารถฉกฉวยไว้ได้จากทีเด็ดของ เวลเบ็ค ในการขึ้นโหม่งนำจากลูกเตะมุม
ในเกมระดับสูงนั้นเมื่อ เกมโอเพ่นเพลย์ไม่สามารถทำประตูได้ แต่ละทีมต้องเน้นการทำประตูในลูกเซทพีทแทน การเสียประตูในลูกเซทพีทเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมทั้งหลายเกลียดที่สุด เพราะมันเป็นการพลาดนอกเหนือจากรูปเกมที่อุตสาห์พยายามวางแผนมานั่นเอง
ราฟาเอล ในครึ่งแรกนั้น ดูเกร็งจนเกินไปพอสมควร ทำให้มีหลายครั้งไม่สามารถหยุดแนวรุกทางกราบที่เขาป้องกันได้เลย จุดหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ ราฟาเอล เป็นผู้เล่นที่มีชั้นเชิงในแนวรับไม่เด่นมากอยู่แล้ว การเข้าสกัดของเขามักใจร้อนเข้าทั้งตัว
บ่อยครั้งจึงมักประกบผู้เล่นที่แพรวพราวไม่อยู่ ประกอบกับ ทางขวาของ แมนยูฯ นั้นใช้ เวลเบ็ค ซึ่งเป็นผู้เล่นที่เด่นแนวรุก จังหวะ บุกของ เรอัล มาดริด จึงสามารถผ่านมารุมกินโต๊ะทาง ราฟาเอล แบบนันสต๊อปทีเดียว
บทความนี้ยาวมากค่ะ นี่ยังไม่จบนะคะ แค่บางส่วน ไม่สะดวกอัพต่อ เพราะมีทั้งรูปภาพประกอบ
เครดิต :
http://www.hikicker.com/football/news/columnists/6539.html
เจาะลึกศึกราชันย์ปะทะอสูร by...จ้าวแห่งพิชัยยุทธลูกหนัง
หวังว่าคงไม่สายจนเกินไปสำหรับการที่ผมจะกล่าวถึง เกมหยุดโลกระหว่าง แมนยูฯ เจอเรอัลมาดริด ในวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา
ผมห่างเหินจากการเขียนคอลัมน์มาพักใหญ่ คอลัมน์ก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปวันที่ 28 ม.ค.เลยทีเดียว ซึ่งบทความนี้จริงๆก็น่าจะถึงสายตาท่านผู้อ่านประมาณ2วันที่แล้วด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านละกันครับ
วันนี้ผมอยากเขียนประเด็นเกี่ยวกับแมทช์หยุดโลกคู่นี้ซักหน่อย ทุกท่านที่ชอบแทคติคฟุตบอล ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากแน่นอนกับบทความชิ้นนี้
สถิติในการมาเยือน ซานติเอโก้ เบร์นาบิว ของแมนยูฯ ไม่สู้ดีนัก ไม่เคยมาชนะที่นี่ได้เลย (เสมอ 2 แพ้ 2) และ การคุมทีมของ เฟอร์กี้ นั้นเอาชนะลูกทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ ได้แค่ 2 ครั้ง จาก14 ครั้งที่พบกัน (เสมอ 6 แพ้ 6)
อย่างไรก็ตาม สถิติทั้งหลายก็เป็นแค่เรื่องของสถิติ ก่อนเกม ผมนึกอะไรพิศดารๆปลอบใจตัวเองก่อนแข่งว่า มันเป็นวันที่ 13 ปี 2013 (เลข 3 กลับหัวหงายขึ้นและเลข 1เป็นด้าม เป็นสามง่ามอาวุธของปีศาจ) และแข่งในคืนวันพุทธเป็นวันของพระราหู ผีคงไม่แพ้กลับออกไปหรอก เพราะเป็นทั้งวันแห่งผี(นอกจากเลข666) และเป็นวันของพระราหูอสูรตนหนึ่ง ผลออกมาคงรู้กันแล้วสินะครับ ฮ่าๆ
เรอัล มาดริด ใช้แผนถนัด 4-2-3-1 เบนเซม่า เป็นหน้าเป้า มิดฟืลด์ตัวรุกคือ โอซิล กราบซ้ายใช้ โรนัลโด้ ทางขวาใช้ ดิ มาเรีย กลางสองคนถัดลงมาใช้ อลอนโซ่ คู่ เคดิร่า แนวรับใช้แบ๊กซ้าย โคเอนเทรา แบ๊กขวา อาร์เบลัว กองหลังตัวกลางสองคนคือ วาราน และ รามอส ผู้รักษาประตูคือ โลเปซ
ทางด้านแมนยูฯ ทีมเยือน แม้ในกระดานเราจะเห็นเป็น 4-4-2 แต่การเล่นจริงๆ ในนัดนี้คือ 4-2-3-1 รูนี่ย์ ไม่ได้เป็นหน้าต่ำตามฝังกระดาน แต่เป็นตัวรุกในแผงมิดฟืลด์ ผู้เล่นแมนยูใช้ ฟาน เพอร์ซี่ เป็นหน้าเป้า รูนี่ย์ เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกตรงกลาง ทางกราบซ้ายใช้ คากาวะ กราบขวา เวลเบ็ค กองกลาง2คนใช้ ฟิล โจนส์ คู่กับ คาร์ริค แผงหลังแบ็คซ้ายใช้ เอวร่า แบ๊คขวา ราฟาเอล กองหลังตัวกลางคือ เฟอร์ดินานด์ และ อีแวนส์ ผู้รักษาประตูคือ เด เคอา
รูปแบบการเล่นของ เรอัล มาดริด ในเกมนี้เป็นฝ่ายครองเกมได้ดีกว่า แต่ผมมองว่า จุดอ่อนของ เรอัล มาดริด ในฤดูกาลนี้ที่ต้องปรับปรุงเลยคือการประสานงานกันระหว่าง มิดฟิลด์ตัวรุกคือ โอซิล และศูนย์หน้าตัวเป้า หลายครั้งมันดูขาดๆเกินๆ ไม่เป็นสูตรสำเร็จตายตัว ซึ่งแผนนี้สำคัญมากๆ ที่ผู้เล่นในตำแหน่งนี้ต้องประสานงานกันให้ได้ เพราะมันเป็นแผนที่ใช้ศูนย์หน้าเพียงคนเดียว และเกมนี้ก็เป็นไปอย่างทีเห็น เราแทบไม่ได้เห็นการประสานงานกันอย่างลงตัวเลย ระหว่าง โอซิล กับ เบนเซม่า หรือ อิกวาอิน ที่เปลี่ยนลงมาแทนเลย
ถ้าเทียบกับฝ่าย แมนยูฯ แล้ว ฟาน เพอร์ซี่ กับ รูนี่ย์ ประสานงานกันได้อย่างลงตัวในแผนนี้ โดยใช้โอกาสไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองด้วยซ้ำ
โดยในครึ่งแรก เริ่มเกมมา เรอัล มาดริด มีเกมรุกที่คึกคักดุดันเลยทีเดียว และในนาที่ที่ 6 เท่านั้นที่ เรอัล มาดริด เกือบขึ้นนำจาก โคเอนเทรา ซึ่งต้องชม เด เคอา ที่เซฟชนิดปลายนิ้วมือแบบสุดๆ ส่งผลให้บอลไปชนเสาเด้งออกมา
นี้คือจุดเปลี่ยน จุดหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว ท่า แมนยูฯ โดนนำเร็วขนาดนั้น ฝ่าย มาดริด ที่กำลังเล่นเกมรุกได้อย่างคึกคัก เป็นฝ่ายได้ใจแน่นอน ซึ่ง แมนยูฯ ที่ยังตั้งตัวไม่ติด ถ้าเล่นเกมรุกสู้แล้วหลังลอยดันสูงขึ้น มีโอกาสโดนลูกที่สองอีกแน่
แม้แทคติคจะเตรียมตัวดีมาแค่ไหน แต่การโดนยิงเร็ว เชื่อว่าเป็นตัวแปรสำคัญอย่างมากในการตัดสินเกมในเวลาทีเหลือ
ซึ่งแม้ เรอัล มาดริด จะต่อบอลด้วยความมั่นใจแต่ ยิงนำไม่ได้ เมื่อ แมนยูฯ มีโอกาสก็สามารถฉกฉวยไว้ได้จากทีเด็ดของ เวลเบ็ค ในการขึ้นโหม่งนำจากลูกเตะมุม
ในเกมระดับสูงนั้นเมื่อ เกมโอเพ่นเพลย์ไม่สามารถทำประตูได้ แต่ละทีมต้องเน้นการทำประตูในลูกเซทพีทแทน การเสียประตูในลูกเซทพีทเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมทั้งหลายเกลียดที่สุด เพราะมันเป็นการพลาดนอกเหนือจากรูปเกมที่อุตสาห์พยายามวางแผนมานั่นเอง
ราฟาเอล ในครึ่งแรกนั้น ดูเกร็งจนเกินไปพอสมควร ทำให้มีหลายครั้งไม่สามารถหยุดแนวรุกทางกราบที่เขาป้องกันได้เลย จุดหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ ราฟาเอล เป็นผู้เล่นที่มีชั้นเชิงในแนวรับไม่เด่นมากอยู่แล้ว การเข้าสกัดของเขามักใจร้อนเข้าทั้งตัว
บ่อยครั้งจึงมักประกบผู้เล่นที่แพรวพราวไม่อยู่ ประกอบกับ ทางขวาของ แมนยูฯ นั้นใช้ เวลเบ็ค ซึ่งเป็นผู้เล่นที่เด่นแนวรุก จังหวะ บุกของ เรอัล มาดริด จึงสามารถผ่านมารุมกินโต๊ะทาง ราฟาเอล แบบนันสต๊อปทีเดียว
บทความนี้ยาวมากค่ะ นี่ยังไม่จบนะคะ แค่บางส่วน ไม่สะดวกอัพต่อ เพราะมีทั้งรูปภาพประกอบ
เครดิต : http://www.hikicker.com/football/news/columnists/6539.html